แทนที่ผมจะพักผ่อนตามที่พ่อนพบอก กลับหยิบหนังสือและเอกสารที่ได้รับจากพ่อนพขึ้นมานั่งอ่านที่โต๊ะทำงานภายในห้องพักไปพลางๆ เพราะตอนนี้ก็เป็นเวลาเพียงบ่ายโมงกว่าเองครับ จะให้ผมนอนพักมันไม่ใช่วิสัยของผมตามธรรมชาติครับ ในช่วงเวลาบ่ายๆแบบนี้ถ้าไม่อ่านหนังสือ ผมก็จะเลื่อนโทรศัพท์ดูวีดีโอใน YouTube เกี่ยวกับวิทยาการการรักษาฟันในสายอาชีพที่ผมศึกษามาอยู่ตลอด จะให้ผมมานั่งนอนเล่นแบบคนอื่นผมทำไม่เป็นครับ
ในขณะนั้นเองเสียงประตูห้องก็ดังขึ้น...
ก๊อกๆ... "ขออนุญาตนะครับพี่เหมย"
"เชิญครับน้องแค้มป์ พี่ไม่ได้ล็อคครับ!" ผมขานรับกลับไป ระหว่างที่หูและสายตายังจับจ้องอยู่ที่วีดีโอ YouTube ผ่าน iPad จอใหญ่ไม่ละสายตา
"พี่จะไม่ล็อคประตูห้องแบบนี้ไม่ได้นะครับ!" ผมรู้สึกตกใจกับคำพูดของน้องแค้มป์ ก่อนจะรีบหันไปทางต้นเสียงแล้วยิงคำถามด้วยความสงสัยทันที
"มีอะไรหรือเปล่าครับทำไมต้องหน้าจริงจังแบบนั้นด้วย พี่คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรก็เลยไม่ได้ล็อคห้องอ่ะครับ" ผมตอบกลับเขาด้วยสีหน้าไม่เข้าใจอย่างเช่นเคย
"ไม่ได้นะครับ ต่อไปทุกครั้งที่จะเข้าห้องหรือออกจากห้องพี่ต้องล็อคประตูทุกครั้ง แล้วจะเปิดประตูให้ใครง่ายๆไม่ได้ด้วย....” สีหน้าน้องเขาดูจริงจังมากจนผมรู้สึกกลัวขึ้นมาฉับพลัน ระหว่างนั้นผมก็สังเกตเห็นว่าน้องเขาถือเป้สีดำใบใหญ่พาดไหล่ข้างหนึ่งเดินเข้ามาด้วย พอจะทำให้ผมเข้าใจว่าเขาคงจะมานอนเป็นเพื่อนผมตามที่พ่อนพได้บอกไว้เมื่อช่วงเที่ยง
สำหรับตอนนี้ผมอยากรู้คำตอบมากกว่าเพราะเป็นเพราะอะไร มันเกิดอะไรขึ้นทำไมต้องทำสีหน้าจริงจังกับการไม่ล็อคประตูห้องด้วย
"คือ.... พี่ไม่รู้จริงๆ ครับพี่ขอโทษ แล้วไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นหรอครับที่เกี่ยวกับการไม่ล็อคประตูห้อง"
"พี่แน่ใจหรอครับว่าจะฟังเรื่องนี้.... ผมขอเตือนไว้ก่อนเลยนะครับ!" จากสีหน้าแววตาของน้องแค้มป์ทำให้ผมพอจะคาดเดาได้ไม่ยากว่ามันน่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร ผมจึงตัดสินใจอะไรบางอย่าง....
"ไม่ต้องเล่าแล้วก็ได้ครับ พูดมาแค่นี้พี่ก็พอจะรู้แล้ว ต่อไปนี้พี่จะระมัดระวัง จะล็อคประตูห้องทุกครั้งที่เข้าหรือออกจากห้องนี้ครับ.... นี่เป้นั้นเป็นหมอนกับผ้าห่มหรอครับ?" ผมรีบปฏิเสธก่อนจะเปลี่ยนเป็นเรื่องของในกระเป๋าเป้สีดำของน้องเขาแทน
"ใช่ครับ.... แต่มึงสักครู่นี้ผมเห็นว่าพี่ลืมล็อคห้องแบบนี้ มันทำให้ผมอดเป็นห่วงพี่ไม่ได้.... ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมไปอยู่เป็นเพื่อนพี่เองซักอาทิตย์นึง พี่เหมยจะโอเคไหมครับ" นี่ผมหูฝาดไปใช่ไหม คนที่ผมรู้สึกดีด้วยจะมาอยู่เป็นเพื่อนผมตั้งอาทิตย์นึงแหนะ มีหรอครับที่ผมจะปฏิเสธ
"พี่ยินดีครับน้องแค้มป์ พี่เองก็กำลังจะพูดถึงเรื่องนี้อยู่พอดีหลังจากที่เราบอกว่าน่าจะมีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นถ้าพี่ไม่ล็อคประตูห้องพักอ่ะครับ"
"ไม่ต้องคิดมากครับพี่ ผมมาอยู่เป็นเพื่อนแล้ว" จากประโยคนี้ที่หลุดออกมาจากปากคนที่ผมแอบชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ ยิ่งไปกว่านั้นน้องเขาได้เผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ เป็นช่างเป็นรอยยิ้มที่เห็นแล้วชื่นใจอย่างบอกไม่ถูกเลยครับ ก่อนที่ผมจะคิดอะไรเลอะเทอะไปมากกว่านี้ ผมก็ยื่นมือไปหยิบกระเป๋าเป้ช่วยน้องเขาจัดที่นอนแก้เขิน
เราสองคนต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เล่าประสบการณ์สู่กันฟังหลายเรื่อง เวลายิ่งผ่านไปความรู้สึกดีๆของผมก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น จนกระทั่งถึงเวลาทานมื้อเย็น
"ร้านอาหารแถวนี้มีร้านไหนเด็ดบ้างอ่ะน้องแค้มป์" ผมเปิดประเด็นเพราะมันถึงเวลาที่ผมต้องเติมสารอาหารเข้าสู่ร่างกายแล้ว
"พี่ถามแบบนี้นี่หิวแล้วใช่ไหมครับ"
"ถ้าไม่หิวจะถามไหมล่ะ เรานี่ก็แปลกเนาะ ฮ่าๆ (หัวเราะ)" จากการเริ่มคุ้นชินคำศัพท์การสนทนาก็เริ่มเปลี่ยนไปสู่แนวทางที่ดูสนิทสนมกันมากขึ้น
"พี่แค่บอกมาตรงๆว่าหิว ผมก็จะพาพี่ไปหาร้านอร่อยๆ กินแล้วครับ" สิ้นสุดคำพูดของรุ่นน้องสุดน่ารักที่ผมหมายปอง ก็ต่างพากันหยิบกระเป๋าตังค์แล้วออกจากห้องพักโดยไม่ลืมล็อคประตูห้องอย่างที่น้องแค้มป์ได้บอกไว้
"พี่ทำถูกแล้ว ทุกครั้งที่ออกจากห้องหรืออยู่ในห้องพี่ก็ต้องล็อคประตูทุกครั้ง ถ้าไม่ถ้าไม่ล็อคประตูพี่อายจะได้เจอเหตุการณ์ที่พี่ไม่คาดฝันก็....เป็น....ได้....” ประโยคสุดท้ายนี้ทำให้ผมโคตรหลอนเลยครับ จะแกล้งทำไมเนี่ย.... ผมไม่โต้ตอบก่อนจะเดินตามน้องเขาตัวแทบจะติดกันระหว่างผ่านทางเดินหอพักบุคลากรขอโรงพยาบาล ที่มีสภาพที่ไม่ได้ใหม่จนเกินไปแล้วก็ไม่ได้เก่าจนน่ากลัวมากนัก กลับไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตลอดทางเดินมันดูปลีกวิเวกไฟสลัวแปลกๆ
"ถ้าพี่จะเดินใกล้ผมขนาดนี้ขึ้นหลังผมเลยไหมล่ะ?!"
"ได้เหรอ?" ผมรีบย้อนกลับทันควัน ทำให้น้องเขาถึงกับหัวเราะก๊ากจากคำพูดของผม
แล้วอาหารมื้อค่ำก็ผ่านไปได้ด้วยดี โดยผมได้เติมสารอาหารอย่างข้าวมันไก่น้ำจิ้มสูตรเด็ดเข้าสู่ร่างกายถึง 2 จาน ส่วนน้องแค้มป์พระจัดข้าวหมูแดงไป 3 จาน ไม่รู้ว่าไปเก็บตรงไหน...
หลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จได้มานั่งเช็ดหัวที่บริเวณโต๊ะทำงานด้านข้างเตียงนอนอยู่พักหนึ่ง เสียงประตูห้องน้ำก็ถูกเปิดออกมา ได้ปรากฏตัวหนุ่มน้อยที่มีอายุห่างจากผมเพียง 2 ปี ยืนอยู่บริเวณหน้าประตูห้องน้ำในสภาพมีผ้าเช็ดตัวผืนสีฟ้าพันเอวและในมือขวาถือผ้าเช็ดตัวอีกผืนที่มีขนาดไม่ใหญ่มากขยี้ผมที่เปียกโชกจากการที่เพิ่งอาบน้ำหลังจากผมไม่กี่นาที
ภาพตรงหน้าทำให้ผมแทบจะหลับตาเอียงหน้าหนีไม่ทัน เพราะน้องเขาหุ่นดีมาก ผิวขาวทุกอณู มีมัดกล้ามสมส่วน โดยมีความสูงมากกว่าผมเกือบจะ 20 เซนเห็นจะได้ แผงอกกว้าง หน้าท้องมีซิกแพคพอประมาณ ผมรีบหันหน้าหนีอย่างคนตั้งใจก่อนที่หัวใจของผมจะเต้นไม่เป็นจังหวะไปมากกว่านี้ ใบหน้ามีความรู้สึกร้อนวูบวาบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามใบหน้าและฝ่ามืออย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ผมเองก็ยังอยู่ในชุดผ้าเช็ดตัวเช่นเดียวกับน้องเขา สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อเจ้าน้องชายของผมมีอาการคึกคักขึ้นมาเฉียบพลับ โดยไม่รู้ว่าผมจะควบคุมมันได้ยังไง ผมพยายามนั่งเช็ดหัวโดยไม่แสดงอาการอะไรออกมาเพื่อให้อีกฝ่ายจับสังเกตได้ แต่มันก็ไม่ทันเสียแล้ว...
"พี่เหมยเป็นอะไรหรือเปล่าครับ" ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้น ก็พบว่าน้องแค้มป์นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าผม โดยมีสีหน้าที่เป็นห่วงผมอย่างเห็นได้ชัด สิ่งที่ผมพยายามลืมมันกลับมาอีกครั้ง แล้วคราวนี้สิ่งที่ผมอยากจะลืมกลับอยู่ตรงหน้าผมห่างกันไม่ถึงคืบ ในระหว่างนั้นผมก็พยายามควบคุมน้องชายของผมให้อยู่นิ่งที่สุดก่อนที่มันจะออกมาเพ่นพ่านทำให้คนที่ผมแอบชอบตกใจ
"พี่ไม่เป็นไรครับ แค้มป์แต่งตัวก่อนก็ได้นะครับเดี๋ยวพี่ขอเข้าห้องน้ำแป๊บนึงนะครับ พอดีว่าข้าศึกบุกพี่แล้ว!" ผมพยายามควบคุมและเปลี่ยนเรื่องคุย แผนที่ที่น้องได้ยินว่าข้าศึกบุกผมน้องเขาก็รีบลุกขึ้น ซึ่งเป็นจังหวะเดียวที่ปลายเท้าของน้องเขาเองเหยียบผ้าขนหนูผืนสีฟ้าที่ห่อตัวท่อนล่างอยู่ ส่งผลให้น้องเขาลุกขึ้นผ้าเช็ดตัวผืนนั้นก็หลุดลงไปกองกับพื้น ผมแทบช็อคกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า แล้วเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมจะลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินไปเข้าห้องน้ำในสภาพตัวงอ ไอ้เจ้าน้องชายของน้องแค้มป์ชี้หน้าผมแทบจะชนหน้าผมอยู่รอมร่อ ก่อนที่น้องแค้มป์จะได้สติแล้วรีบก้มลงมาหยิบผ้าขนหนูขึ้นไปพันตัวอีกครั้งด้วยความเขินอาย ส่วนผมเองก็รีบเดินตัวงอเข้าห้องน้ำไปไม่ต่างกัน...
ทันทีที่ผมปิดประตูห้องน้ำ ผมอยากจะกรี๊ดดังๆ ให้ลั่นห้องน้ำเสียด้วยซ้ำ มันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่ ทำไมเหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นติดต่อกัน เหมือนกับว่าจะทดสอบความรู้สึกของผมว่าจะทนต่อสิ่งเร้าได้หรือไม่อย่างไรอย่างนั้นเลยครับ ในที่สุดผมก็ทนต่อสิ่งเร้าไม่ได้ตามคาด ผมจึงจัดการกับน้องชายตัวเองจนรู้สึกโล่งเบาตัวเพียงไม่กี่นาทีต่อมา แล้วทำทีกดชักโครกคล้ายกับว่าผมข้าศึกบุกจริงๆ เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยผมจึงนำผ้าเช็ดตัวผืนเดิมขึ้นพันเอวแล้วเดินออกจากห้องน้ำมาแต่งตัวใส่เสื้อผ้าด้วยเสื้อกล้ามและกางเกงเลตามปกติของผม ส่วนทางหนุ่มน้อยที่ผมแอบชอบตอนนี้เขาอยู่ในชุดบ๊อกเซอร์เพียงตัวเดียว นอนที่อยู่บนที่นอนของเขาโดยเล่นมือถืออยู่ เหมือนกับว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นระหว่างผมกับเขาเลย
"น้องแค้มป์ จะทำอะไรต่อหรือเปล่าครับเดี๋ยวพี่จะปิดไฟแล้ว" ผมเอ่ยถามหนุ่มน้อยด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ เกรงว่าน้องเขาไม่อยากจะพูดกับผมอีกหลังจากที่เกิดเหตุการณ์เมื่อ 10 นาทีที่แล้ว
"พี่ปิดเลยก็ได้ครับ ผมไม่ได้ทำอะไรแล้ว" หนังเสียงน้องเขาฟังดูปกติทุกอย่างอย่างที่ผมคาดเดาไว้
หลังจากนั้นผมก็ปิดไว้ตามที่ได้รับอนุญาตจากหนุ่มน้อยเจ้าของโรงพยาบาลชื่อดัง โดยในช่วงบ่ายที่ผ่านมาเราตกลงเรื่องที่นอนกันว่าให้ผมนอนบนเตียง แล้วเขาจะนอนข้างเตียงกับพื้นเอง เนื่องจากเตียงมีความกว้างเพียง 3 ฟุตเท่านั้น หากนอนสองคนคงไม่ได้ น้องแค้มป์เลยเสียสละให้ผมนอนเตียงแทน เด็กอะไรน่ารักแล้วยังใจดีอีก... แต่จะว่าไปก็ไม่น่าจะเด็กแล้วล่ะ เพราะสิ่งที่ชี้หน้าผมเมื่อ 10 กว่านาทีที่แล้ว มันไม่เด็กอย่างที่ผมคิดเลย ภาพนั้นยังคงติดตาผมไม่เลือนหายแล้วผมควรจะทำอย่างไรเผื่อให้ภาพน้องชายของเจ้าแค้มป์ออกไปจากความทรงจำของผม...
ไม่รู้ว่าผมนอนหลับไปนานแค่ไหน ผมสะดุ้งตื่นกลางดึกเห็นจะได้ เพราะผมได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ดังกึกๆ... กึกๆ... อยู่ตรงประตูห้องพัก ผมเริ่มรู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่ได้ยิน ทีมพยายามรวบรวมความกล้าพนมมือสวดมนต์ในบทที่ผมพอจะจำได้ ผมสวดวนไปวนมาเจ้าเสียงนั้นก็ยังไม่หยุด กลับรู้สึกว่ามันไม่ได้มีแค่เสียง กึกๆ... แล้ว มันยังมีเสียง ครืด... ครืด... เหมือนมีใครกำลังนาคอะไรสักอย่างอยู่ด้านหน้าประตูห้องพัก คราวนี้ผมไม่ทนแล้วครับ ผมนี่เปิดไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือแล้วเอื้อมมือไปปลุกน้องแค้มป์ที่กำลังนอนหลับอยู่ด้านล่างที่ไม่ห่างกันทันที... แต่ไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร
"พี่ลงมานอนกับผมเถอะครับ เชื่อผม!" น้องแค้มป์กระซิบเสียงแผ่วเบาบอกผม เมื่อได้ยินดังนั้นผมไม่รอช้า รีบเคลื่อนตัวลงมาจากเตียงพร้อมดึงหมอนกับผ้าห่มลงมานอนข้างกายหนุ่มน้อยด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกกับเสียงที่ได้ยินจากด้านหน้าประตูห้อง
"พี่ไม่ต้องพูดอะไรนะครับ เดี๋ยวเราค่อยคุยกันพรุ่งนี้เช้า" ผมทำตามอย่างไม่คิดมาก ก่อนจะถูกคนข้างตัวโอบกอดพร้อมกับห่มผ้าห่มผืนเดียวกัน มันทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกแล้วหลับไปแทบจะพร้อมกัน