พอประตูปิดลง เสียงครวญครางก็ตามหลังมาทันที ความคิดฉันตอนนี้คือ ทำไมคอนโดฯ หรูหรา มีเฟอร์นิเจอร์ราคารวมกันหลายสิบล้านถึงไม่ทำห้องเก็บเสียงกันนะ แบบนี้เกิดฉันทำอะไรคนข้างนอกไม่ได้ยินหมดน่ะหรือ มันไม่มีความเป็นส่วนตัวเลย
“บีสต์คะ อ๊ายย!!”
แม่เจ้า เธอกรีดร้องเสียงแหลมลั่นจนฉันต้องลุกลี้ลุกลนเชื่อมต่อแอร์พอดกับโทรศัพท์มือถือ ยัดมันใส่หูแล้วเปิดเพลงเสียงดังทันที ยอมรับว่าเสียงพวกนั้นน่ารังเกียจเล็กน้อยเมื่อไม่ใช่เสียงตัวเอง แล้วฉันก็ไม่มีอารมณ์มานั่งฟังผู้หญิงครางตลอดชั่วโมงหรอกนะ มันสะอิดสะเอียน
ระหว่างรอคุณบีสต์ทำกิจกรรมของเขาจึงจัดการล็อกอินบัญชีโซเชียลต่าง ๆ ให้มันกลับมาใช้งานอีกครั้ง อนึ่งเพื่อให้เพื่อนสนิทอย่างพิมพิศรู้ว่าตนยังมีชีวิตอยู่ และฉันอยากรู้ข่าวสารเกี่ยวกับพี่บลูด้วย ไม่รู้ว่าป่านนี้เธอเป็นอย่างไรบ้าง ชีวิตเธอลำบากไหม เธอจะอยู่สุขสบาย มีเงินใช้ มีข้าวกินอิ่มหรือเปล่า
ดูเหมือนว่าพี่บลูจะสบายยิ่งกว่าฉันเสียอีก…
น้ำใสไหลออกจากดวงตาร้อนผะผ่าวอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อฉันเห็นว่าเธอถ่ายรูปยิ้มกว้างพร้อมเพื่อนฝูงในต่างแดน เธอมีเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านใส่ มีกระเป๋าแบรนด์เนมราคาแพงใบใหม่ถือ และที่สำคัญใบหน้าเธอเต็มอิ่มเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข
ฉันกำลังอิจฉา ไม่ได้ยินดีกับหล่อนเลยสักนิด
ยอมรับว่าเสียใจที่ถูกทอดทิ้งให้เผชิญหน้ากับปัญหาเพียงคนเดียวที่นี่ ฉันรู้ดีว่าพี่คงไม่ได้อยากปล่อยฉันทิ้ง ครั้นจะพาไปด้วยก็ไม่ได้อีก ลำพังเงินเธอคงไม่เพียงพอต่ออีกหนึ่งชีวิต ที่สำคัญฉันคงเอาตัวไม่รอดแน่ หิ้วไปด้วยมีแต่จะเป็นภาระเท่านั้น
เนื้อร้ายเก็บเอาไว้รังแต่จะทำให้ส่วนอื่นเน่าตาม สู้ตัดมันทิ้งไปไม่ดีกว่าหรือ
ฉันทิ้งเครื่องมือสื่อสารไปไกลตัว ไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว คงต้องปิดไม่ติดตามพี่บลูไปอีกสักพัก ยังไงเสียเธอก็ไม่ได้คิดจะติดต่อมาถามว่าฉันสุขสบายดีหรือเปล่าอยู่แล้ว ปล่อยให้เธอไปใช้ชีวิตของตัวเองคงดีสุด
นานเท่าไรไม่รู้ที่นอนร้องไห้กับความรู้สึกเสียใจและผิดหวังในตัวพี่สาว ฉันเผลอหลับไปเพราะความเพลียจากอาการป่วยเมื่อวานยังไม่หมดแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ สะดุ้งตื่นอีกทีเมื่อสัมผัสเย็น ๆ แตะตรงแก้ม พอลืมตาตื่น ใบหน้าของคุณบีสต์ก็เป็นสิ่งแรกที่เห็น
ที่พึ่งหนึ่งเดียวของฉันคือเขาเท่านั้นสินะ ไม่เหลือใครอีกแล้วในชีวิต
“ร้องไห้ทำไมคนดี”
“ฉัน…” ไม่ได้ร้องสักหน่อย แค่น้ำตามันไหลเองก็เท่านั้น
“เธอไม่ใช่แฟนผมหรอกนะ แค่ไฮโซโสเภณีก็เท่านั้น”
เขาคงคิดว่าฉันร้องไห้เสียใจเพราะเธอคนนั้น ซึ่งไม่ใช่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับผู้หญิงคนไหนทั้งนั้น ฉันแค่ปลื้มใจ อย่างน้อยในวันที่ไม่เหลือใคร ยังมีคนแปลกหน้าที่รู้แค่ชื่อคอยอยู่เคียงข้างต่างหาก
“ไม่ใช่ค่ะ ไวท์ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น” รีบปฏิเสธก่อนเขาจะเข้าใจผิด ฉันไม่ได้คิดเกินเลยกับเขา เรียกว่าไม่กล้าเลยยังจะดีกว่า
“ครับผม” มือใหญ่แตะหัวฉันเบา ๆ คล้ายกำลังปลอบโยน “ไปล้างหน้าแล้วออกไปข้างนอกกันเถอะ อยู่แต่ในห้องอุดอู้ เดี๋ยวเป็นซึมเศร้าไปจะแย่เอา”
พูดเหมือนฉันอยู่ในนี้มาเป็นเดือนแล้ว ทั้งที่มันเพิ่งผ่านมาแค่สองวันเอง แต่กระนั้นก็ไม่ได้ขัดขืนคำสั่ง เข้าไปล้างหน้าแปรงฟัน ทำตัวให้สวยขึ้นเพื่อให้สมกับการเดินเคียงข้างคุณบีสต์
ประมาณครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น เราสองก็มาอยู่ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำใจกลางเมืองกรุง เมื่อก่อนฉันมักจะมาที่นี่บ่อย ๆ กับพิมพิศ ส่วนใหญ่คือมาช็อปปิงทำตัวฟุ่มเฟือยบ้าง และที่เพื่อนฉันได้เข้าวงการบันเทิง นั่นเพราะบังเอิญมีคนมาเจอเข้าตอนกำลังรอรถไฟฟ้า
“อย่าก้มหน้าเดิน คุณเป็นคนสวยเดี๋ยวเสียบุคลิกนะ” มือแสนอุ่นแตะเข้าที่ไหล่ฉัน ที่จริงเขากำลังโอบมันเลยต่างหาก ทำฉันถึงกับหยุดชะงักด้วยความไม่เคยชิน
“ขอโทษค่ะ จะพยายามเดินปกตินะคะ”
“คนดี” มือนั่นเลื่อนจากไหล่มาลูบหัวฉัน “เชื่อฟังแบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย”
หากฉันไม่เชื่อฟังเขา ฉันจะกลายเป็นคนไม่น่ารักอย่างนั้นหรือ
หากฉันขัดคำสั่งแม้เพียงนิด เขาจะทิ้งขว้างฉันเหมือนสิ่งของไร้ค่าหรือเปล่า
“ไวท์จะพยายามทำตัวให้น่ารักเพื่อคุณบีสต์ค่ะ”
“ไม่ต้องพยายามทำอะไรหรอก ทำตัวปกติเถอะ”
ทำตัวปกติคืออะไรกันนะ ฉันลืมไปแล้วตั้งแต่เจอพ่อแม่นอนจมกองเลือดต่อหน้า ตอนนี้สิ่งที่แสดงออกมาล้วนมาจากการประดิษฐ์ทั้งนั้น มันไม่ใช่ธรรมชาติของตัวเองเลย
ฉันรู้ตัวดี ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้ด้วย ครั้นจะหาทางออกให้ตัวเองนั้น…มันก็แสนยากเย็นราวกับเดินวนในเขาวงกตที่เต็มไปด้วยกับดักไร้ซึ่งหนทางออก
“ขอโทษค่ะ”
“อย่าใช้คำว่าขอโทษบ่อย อย่าใช้คำว่าขอบคุณพร่ำเพรื่อ เลิกคิดมากแล้วไปเดินเล่นทำตัวให้สบาย ๆ เถอะ วันนี้คุณเข้าได้ทุกช็อป ซื้อได้ทุกอย่างตามใจ ผมจ่ายเอง ไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน”
“ขอบคุณค่ะ อ๊ะ” ร้องครางเสียงเบาตอนถูกดีดหน้าผาก “คุณบีสต์ตีไวท์ทำไมคะ”
“บอกว่าเลิกพูดขอบคุณ”
“ไวท์ซึ้งในน้ำใจคุณนี่คะ ทั้งที่เราไม่เคยรู้จักกันแท้ ๆ แต่คุณกลับช่วยเหลือทุกอย่าง ทำดีด้วยแบบไม่เรียกสิ่งตอบแทน หากไม่พูดว่าขอบคุณ คุณบีสต์จะให้ไวท์ทำยังไงคะ”
นี่คงเป็นประโยคที่ฉันพูดยาวสุดตั้งแต่เสียทุกอย่างไป และคงเป็นประโยคที่พูดมาจากความรู้สึกจริง ๆ ภายในใจของตัวเอง
“แค่ทำตัวว่านอนสอนง่ายเท่านั้นก็พอแล้ว ผมไม่ชอบผู้หญิงดื้อ”
“คุณพูดเหมือนกำลังเลี้ยงสัตว์เลี้ยง…” ฉันคิดแบบนั้นจริง ๆ ทุกครั้งที่เราคุยกัน คุณบีสต์ทำเหมือนฉันเป็นลูกหมาตัวเล็ก ๆ สำหรับเขา
“คุณไม่ใช่สัตว์เลี้ยงไวท์ แต่เป็นลูกนกปีกหักที่ต้องการการรักษาก็เท่านั้น”
“คุณบีสต์ไม่ได้คิดว่าไวท์เป็นลูกหมาหลงทางเหรอคะ” ฉันพูดออกไปแล้ว พอมาคิดได้ว่าไม่ควรก็สายไป วันนี้จะโดนเฉดหัวทิ้งหรือเปล่านะ
กลับกัน เขาหัวเราะร่าเสียงดังแบบไม่อายใคร ไม่สนแม้กระทั่งคนที่เดินผ่านไปมามองเราด้วยสายตาแปลก ๆ
“ลูกหมาน่ารักเชื่อฟังกันง่าย ๆ แบบนี้ก็น่าเลี้ยงไว้ดูเล่นนะ” มือใหญ่ยีหัวฉันจนผมยุ่งเหยิง ก่อนจัดทรงให้ตามเดิมแบบไม่ต้องทำเอง “ไปกันเถอะ ก่อนอื่นคงต้องหาเครื่องสำอางใช่ไหม ปกติผู้หญิงต้องคู่กับความงาม”
“แค่เสื้อผ้าก็พอค่ะ เครื่องสำอางเอาไว้ทีหลังได้ ไว้ทำงานมีเงินเมื่อไหร่ไวท์จะซื้อมันด้วยตัวเองค่ะ”
“ไม่ได้สิ จะปล่อยให้ตัวเองดูโทรมไปทำไม”
ก้มลงมองตัวเองสลับมองเงาสะท้อนกระจกห้างแล้วถอนหายใจ
ฉันโทรมจริงด้วยสินะ ยิ่งเป็นคนผิวขาวซีดอยู่แล้ว พอไม่แต่งหน้าฉันยิ่งดูเหมือนศพเดินได้ เขาคงอายไม่น้อยที่วันนี้ควงมาเดินห้าง
“เลิกคิดมาก ไปกัน”
ไม่พูดพร่ำทำเพลงต่อ มือใหญ่ดึงแขนฉันให้เดินตามไปยังเคาน์เตอร์เวชภัณฑ์และเครื่องสำอาง เขาให้ฉันลองทุกอย่างที่คิดว่าดี ซื้อทุกชิ้นที่คิดว่าเข้ากับโทนผิวฉัน และที่สำคัญคือจ่ายเงินโดยไม่สนว่าจำนวนมันมากมายเท่าไร