ไม่ใช่สัตว์เลี้ยง

1377 Words
พอประตูปิดลง เสียงครวญครางก็ตามหลังมาทันที ความคิดฉันตอนนี้คือ ทำไมคอนโดฯ หรูหรา มีเฟอร์นิเจอร์ราคารวมกันหลายสิบล้านถึงไม่ทำห้องเก็บเสียงกันนะ แบบนี้เกิดฉันทำอะไรคนข้างนอกไม่ได้ยินหมดน่ะหรือ มันไม่มีความเป็นส่วนตัวเลย “บีสต์คะ อ๊ายย!!” แม่เจ้า เธอกรีดร้องเสียงแหลมลั่นจนฉันต้องลุกลี้ลุกลนเชื่อมต่อแอร์พอดกับโทรศัพท์มือถือ ยัดมันใส่หูแล้วเปิดเพลงเสียงดังทันที ยอมรับว่าเสียงพวกนั้นน่ารังเกียจเล็กน้อยเมื่อไม่ใช่เสียงตัวเอง แล้วฉันก็ไม่มีอารมณ์มานั่งฟังผู้หญิงครางตลอดชั่วโมงหรอกนะ มันสะอิดสะเอียน ระหว่างรอคุณบีสต์ทำกิจกรรมของเขาจึงจัดการล็อกอินบัญชีโซเชียลต่าง ๆ ให้มันกลับมาใช้งานอีกครั้ง อนึ่งเพื่อให้เพื่อนสนิทอย่างพิมพิศรู้ว่าตนยังมีชีวิตอยู่ และฉันอยากรู้ข่าวสารเกี่ยวกับพี่บลูด้วย ไม่รู้ว่าป่านนี้เธอเป็นอย่างไรบ้าง ชีวิตเธอลำบากไหม เธอจะอยู่สุขสบาย มีเงินใช้ มีข้าวกินอิ่มหรือเปล่า ดูเหมือนว่าพี่บลูจะสบายยิ่งกว่าฉันเสียอีก… น้ำใสไหลออกจากดวงตาร้อนผะผ่าวอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อฉันเห็นว่าเธอถ่ายรูปยิ้มกว้างพร้อมเพื่อนฝูงในต่างแดน เธอมีเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านใส่ มีกระเป๋าแบรนด์เนมราคาแพงใบใหม่ถือ และที่สำคัญใบหน้าเธอเต็มอิ่มเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข ฉันกำลังอิจฉา ไม่ได้ยินดีกับหล่อนเลยสักนิด ยอมรับว่าเสียใจที่ถูกทอดทิ้งให้เผชิญหน้ากับปัญหาเพียงคนเดียวที่นี่ ฉันรู้ดีว่าพี่คงไม่ได้อยากปล่อยฉันทิ้ง ครั้นจะพาไปด้วยก็ไม่ได้อีก ลำพังเงินเธอคงไม่เพียงพอต่ออีกหนึ่งชีวิต ที่สำคัญฉันคงเอาตัวไม่รอดแน่ หิ้วไปด้วยมีแต่จะเป็นภาระเท่านั้น เนื้อร้ายเก็บเอาไว้รังแต่จะทำให้ส่วนอื่นเน่าตาม สู้ตัดมันทิ้งไปไม่ดีกว่าหรือ ฉันทิ้งเครื่องมือสื่อสารไปไกลตัว ไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว คงต้องปิดไม่ติดตามพี่บลูไปอีกสักพัก ยังไงเสียเธอก็ไม่ได้คิดจะติดต่อมาถามว่าฉันสุขสบายดีหรือเปล่าอยู่แล้ว ปล่อยให้เธอไปใช้ชีวิตของตัวเองคงดีสุด นานเท่าไรไม่รู้ที่นอนร้องไห้กับความรู้สึกเสียใจและผิดหวังในตัวพี่สาว ฉันเผลอหลับไปเพราะความเพลียจากอาการป่วยเมื่อวานยังไม่หมดแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ สะดุ้งตื่นอีกทีเมื่อสัมผัสเย็น ๆ แตะตรงแก้ม พอลืมตาตื่น ใบหน้าของคุณบีสต์ก็เป็นสิ่งแรกที่เห็น ที่พึ่งหนึ่งเดียวของฉันคือเขาเท่านั้นสินะ ไม่เหลือใครอีกแล้วในชีวิต “ร้องไห้ทำไมคนดี” “ฉัน…” ไม่ได้ร้องสักหน่อย แค่น้ำตามันไหลเองก็เท่านั้น “เธอไม่ใช่แฟนผมหรอกนะ แค่ไฮโซโสเภณีก็เท่านั้น” เขาคงคิดว่าฉันร้องไห้เสียใจเพราะเธอคนนั้น ซึ่งไม่ใช่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับผู้หญิงคนไหนทั้งนั้น ฉันแค่ปลื้มใจ อย่างน้อยในวันที่ไม่เหลือใคร ยังมีคนแปลกหน้าที่รู้แค่ชื่อคอยอยู่เคียงข้างต่างหาก “ไม่ใช่ค่ะ ไวท์ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น” รีบปฏิเสธก่อนเขาจะเข้าใจผิด ฉันไม่ได้คิดเกินเลยกับเขา เรียกว่าไม่กล้าเลยยังจะดีกว่า “ครับผม” มือใหญ่แตะหัวฉันเบา ๆ คล้ายกำลังปลอบโยน “ไปล้างหน้าแล้วออกไปข้างนอกกันเถอะ อยู่แต่ในห้องอุดอู้ เดี๋ยวเป็นซึมเศร้าไปจะแย่เอา” พูดเหมือนฉันอยู่ในนี้มาเป็นเดือนแล้ว ทั้งที่มันเพิ่งผ่านมาแค่สองวันเอง แต่กระนั้นก็ไม่ได้ขัดขืนคำสั่ง เข้าไปล้างหน้าแปรงฟัน ทำตัวให้สวยขึ้นเพื่อให้สมกับการเดินเคียงข้างคุณบีสต์ ประมาณครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น เราสองก็มาอยู่ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำใจกลางเมืองกรุง เมื่อก่อนฉันมักจะมาที่นี่บ่อย ๆ กับพิมพิศ ส่วนใหญ่คือมาช็อปปิงทำตัวฟุ่มเฟือยบ้าง และที่เพื่อนฉันได้เข้าวงการบันเทิง นั่นเพราะบังเอิญมีคนมาเจอเข้าตอนกำลังรอรถไฟฟ้า “อย่าก้มหน้าเดิน คุณเป็นคนสวยเดี๋ยวเสียบุคลิกนะ” มือแสนอุ่นแตะเข้าที่ไหล่ฉัน ที่จริงเขากำลังโอบมันเลยต่างหาก ทำฉันถึงกับหยุดชะงักด้วยความไม่เคยชิน “ขอโทษค่ะ จะพยายามเดินปกตินะคะ” “คนดี” มือนั่นเลื่อนจากไหล่มาลูบหัวฉัน “เชื่อฟังแบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย” หากฉันไม่เชื่อฟังเขา ฉันจะกลายเป็นคนไม่น่ารักอย่างนั้นหรือ หากฉันขัดคำสั่งแม้เพียงนิด เขาจะทิ้งขว้างฉันเหมือนสิ่งของไร้ค่าหรือเปล่า “ไวท์จะพยายามทำตัวให้น่ารักเพื่อคุณบีสต์ค่ะ” “ไม่ต้องพยายามทำอะไรหรอก ทำตัวปกติเถอะ” ทำตัวปกติคืออะไรกันนะ ฉันลืมไปแล้วตั้งแต่เจอพ่อแม่นอนจมกองเลือดต่อหน้า ตอนนี้สิ่งที่แสดงออกมาล้วนมาจากการประดิษฐ์ทั้งนั้น มันไม่ใช่ธรรมชาติของตัวเองเลย ฉันรู้ตัวดี ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้ด้วย ครั้นจะหาทางออกให้ตัวเองนั้น…มันก็แสนยากเย็นราวกับเดินวนในเขาวงกตที่เต็มไปด้วยกับดักไร้ซึ่งหนทางออก “ขอโทษค่ะ” “อย่าใช้คำว่าขอโทษบ่อย อย่าใช้คำว่าขอบคุณพร่ำเพรื่อ เลิกคิดมากแล้วไปเดินเล่นทำตัวให้สบาย ๆ เถอะ วันนี้คุณเข้าได้ทุกช็อป ซื้อได้ทุกอย่างตามใจ ผมจ่ายเอง ไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน” “ขอบคุณค่ะ อ๊ะ” ร้องครางเสียงเบาตอนถูกดีดหน้าผาก “คุณบีสต์ตีไวท์ทำไมคะ” “บอกว่าเลิกพูดขอบคุณ” “ไวท์ซึ้งในน้ำใจคุณนี่คะ ทั้งที่เราไม่เคยรู้จักกันแท้ ๆ แต่คุณกลับช่วยเหลือทุกอย่าง ทำดีด้วยแบบไม่เรียกสิ่งตอบแทน หากไม่พูดว่าขอบคุณ คุณบีสต์จะให้ไวท์ทำยังไงคะ” นี่คงเป็นประโยคที่ฉันพูดยาวสุดตั้งแต่เสียทุกอย่างไป และคงเป็นประโยคที่พูดมาจากความรู้สึกจริง ๆ ภายในใจของตัวเอง “แค่ทำตัวว่านอนสอนง่ายเท่านั้นก็พอแล้ว ผมไม่ชอบผู้หญิงดื้อ” “คุณพูดเหมือนกำลังเลี้ยงสัตว์เลี้ยง…” ฉันคิดแบบนั้นจริง ๆ ทุกครั้งที่เราคุยกัน คุณบีสต์ทำเหมือนฉันเป็นลูกหมาตัวเล็ก ๆ สำหรับเขา “คุณไม่ใช่สัตว์เลี้ยงไวท์ แต่เป็นลูกนกปีกหักที่ต้องการการรักษาก็เท่านั้น” “คุณบีสต์ไม่ได้คิดว่าไวท์เป็นลูกหมาหลงทางเหรอคะ” ฉันพูดออกไปแล้ว พอมาคิดได้ว่าไม่ควรก็สายไป วันนี้จะโดนเฉดหัวทิ้งหรือเปล่านะ กลับกัน เขาหัวเราะร่าเสียงดังแบบไม่อายใคร ไม่สนแม้กระทั่งคนที่เดินผ่านไปมามองเราด้วยสายตาแปลก ๆ “ลูกหมาน่ารักเชื่อฟังกันง่าย ๆ แบบนี้ก็น่าเลี้ยงไว้ดูเล่นนะ” มือใหญ่ยีหัวฉันจนผมยุ่งเหยิง ก่อนจัดทรงให้ตามเดิมแบบไม่ต้องทำเอง “ไปกันเถอะ ก่อนอื่นคงต้องหาเครื่องสำอางใช่ไหม ปกติผู้หญิงต้องคู่กับความงาม” “แค่เสื้อผ้าก็พอค่ะ เครื่องสำอางเอาไว้ทีหลังได้ ไว้ทำงานมีเงินเมื่อไหร่ไวท์จะซื้อมันด้วยตัวเองค่ะ” “ไม่ได้สิ จะปล่อยให้ตัวเองดูโทรมไปทำไม” ก้มลงมองตัวเองสลับมองเงาสะท้อนกระจกห้างแล้วถอนหายใจ ฉันโทรมจริงด้วยสินะ ยิ่งเป็นคนผิวขาวซีดอยู่แล้ว พอไม่แต่งหน้าฉันยิ่งดูเหมือนศพเดินได้ เขาคงอายไม่น้อยที่วันนี้ควงมาเดินห้าง “เลิกคิดมาก ไปกัน” ไม่พูดพร่ำทำเพลงต่อ มือใหญ่ดึงแขนฉันให้เดินตามไปยังเคาน์เตอร์เวชภัณฑ์และเครื่องสำอาง เขาให้ฉันลองทุกอย่างที่คิดว่าดี ซื้อทุกชิ้นที่คิดว่าเข้ากับโทนผิวฉัน และที่สำคัญคือจ่ายเงินโดยไม่สนว่าจำนวนมันมากมายเท่าไร
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD