หลังจากได้เครื่องประทินผิว ต่อไปคือเสื้อผ้าซึ่งเป็นปัจจัยที่ขาดไม่ได้ ตอนแรกฉันดึงเขาเข้าร้านราคากลาง ๆ ไม่แพงมากนัก ทว่าพอเห็นชื่อแบรนด์เท่านั้น คุณบีสต์ถึงกับจิ๊ปากใส่ ลากฉันเข้าช็อปใหญ่ที่ชีวิตนี้เคยเข้ามาเหยียบเพียงสามครั้งเท่านั้น ครั้งแรกคือพาพิมพิศมาซื้อเครื่องประดับตามไอดอลคนไทยที่ดังไกลระดับโลก และสองครั้งคือพาพี่บลูมาซื้อกระเป๋า นอกจากนั้นฉันมักจะเดินผ่านไม่ชายตาแลมันเลย
“ดูแลเธอด้วย” คุณบีสต์ออกคำสั่งกับพนักงานหญิงคนหนึ่ง เธอยิ้มและโค้งให้เขาเล็กน้อย คล้ายกับว่ารู้จักกันดีอยู่แล้ว “ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมไวท์”
“ค่ะคุณบีสต์”
“คุณใส่ชั้นในกับกางเกงในไซซ์อะไร”
คนถามหน้าตาย ทว่าคนฟังถึงกับเบิกตากว้าง หน้าร้อนไปถึงใบหูแล้ว
เขาถามขนาดชุดชั้นในผู้หญิงด้วยสีหน้าเรียบเฉยแบบนั้นได้อย่างไร นี่มันใช่เรื่องควรถามกลางที่สาธารณะไหม ทั้งเราสองยังเป็นคนแปลกหน้าต่อกันอยู่ด้วย แบบนี้มัน…
น่าอาย
“ไวท์ซื้อเองดีกว่าค่ะ”
“บอกขนาดมา ผมจะไปซื้อให้”
“อย่าลำบากเลยค่ะ”
“เด็กดี อย่าดื้อครับ”
ฉันกำลังทำตัวดื้ออยู่สินะ ถ้าขืนยังต่อล้อต่อเถียงกันต่อ คุณบีสต์จะทิ้งฉันไปหรือเปล่านะ
“ชะ ชุดชั้นในคัพ B32 ค่ะ ส่วนกางเกงไซซ์ S” พูดไปหน้าร้อนไป ฉันเขินเกินกว่าจะมองเขาด้วยซ้ำ ได้แต่ก้มหน้างุดมองรองเท้าแตะยี่ห้อดังของคุณบีสต์แทน
“เดี๋ยวมานะ อยู่นี่ไปก่อน ไม่นานหรอก” เขาวางมือบนหัวฉัน ส่งฉันให้ถึงมือพนักงานหญิงคนนั้น ก่อนเดินตัวปลิวออกไปจากร้าน
“มาค่ะคุณหนู พี่จะช่วยดูชุดให้นะคะ” เธอยิ้มอ่อน ผายมือให้นั่ง ทำราวกับดูแลเจ้าหญิงอยู่ก็ไม่ปาน
“อย่าเรียกคุณหนูเลยค่ะ เพราะหนูไม่ใช่”
“ถ้าอย่างนั้นให้พี่เรียกอะไรคะ”
“เรียกน้องเฉย ๆ ก็ได้ค่ะ”
ยังดีที่เธอไม่ได้ส่งสายตาหรือสัญญาณการดูถูกดูแคลนกลับมา นับว่าเป็นพนักงานที่น่ารักคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ พี่พนักงานสาวเลือกสองสามชุดมาให้ฉันลอง และให้เลือกเองประมาณสี่ห้าชุด ตลอดเวลามักจะเอ่ยชมผิวพรรณและใบหน้าจิ้มลิ้มของฉัน ทั้งยังบอกว่าฉันน่าอิจฉาที่เกิดมาหน้าสวยใสไม่ต้องพึ่งศัลยกรรม ฉันไม่ได้อยากถามเธอกลับหรอกนะว่ารู้ได้ไงว่าไม่ได้ทำหน้ามา นั่นเพราะไม่อยากให้เธอหน้าเสีย แต่พอนานเข้าบ่อยเข้าก็เริ่มรู้สึกรำคาญ จนเผลอถอนหายใจใส่เธอถึงได้เลิกชมไป
“เลือกชุดอะไรของคุณน่ะ”
แม่ร่วง! เขาเข้ามาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียงอีกครั้ง ทำฉันตกใจเกือบกรี๊ดลั่น ทั้งในนี้คือห้องลองชุดด้วย ทำไมพนักงานถึงปล่อยให้ชายหนุ่มแบบเขาเข้ามาได้น่ะ
“คะ คุณบีสต์ นี่ห้องลองชุดนะคะ” มือทั้งสองยกปิดหน้าอกโดยอัตโนมัติ แม้ว่าตอนนี้จะใส่ทุกชิ้นบนตัว ปิดมิดเกือบคลุมเท้าอยู่ก็ตาม
“ใครเลือกชุดนี้ให้ ชุดนั้นอีก แล้วนั่นคืออะไร เชยมาก” เขาไม่ฟัง หยิบชุดที่ห้อยบนไม้แขวนมาดูทีละชุดพลางบ่นไปด้วย
“ฉันเลือกเองค่ะ”
แล้วชุดที่เขาหยิบมาดูมีแต่ของตัวเองเลือกมากับมือด้วยสิ
น่าอายจัง
“ไม่เอาทั้งหมดนั่น เดี๋ยวผมจัดการเลือกให้เอง”
“มะ…”
“อย่าดื้อ”
นิ้วชี้จิ้มจมูกฉัน แล้วเดินออกไปข้างนอกทันที ไม่นานร่างสูงก็กลับมาพร้อมเสื้อผ้าชุดใหม่ เขาให้ฉันลองทั้งหมดก่อนออกคำสั่งให้พนักงานไปหาชุดใหม่ในสต็อกมาแทนตัวลอง
หลังจ่ายเงินเสร็จคุณบีสต์ได้ลากฉันเข้าห้องลองชุดอีกประมาณสองสามร้าน เสียเงินไปอีกหลายหมื่นหรืออาจเป็นแสน ก่อนเราสองคนจะหอบหิ้วทุกอย่างเข้าร้านอาหารหรูหราแห่งหนึ่งด้วยท้องที่เรียกว่าหิวโหยยังได้
วันนี้ทั้งวันข้าวยังไม่ตกถึงท้องเลย เขาเองคงยังไม่ทานอะไรเหมือนกัน ก่อนออกมายังใช้พลังงานไปเยอะกับกิจกรรมส่วนตัว ตอนนี้คงหิวไม่ใช่น้อย
พออาหารทุกอย่างมาวางตรงหน้า คำว่าสงวนท่าทีพลันหายไปจากสมองฉันเกลี้ยง รู้ตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงหัวเราะหึจากชายหนุ่มตรงข้าม เขายิ้มกริ่ม มองฉันทานข้าวมูมมามอย่างคนไร้มารยาท
“ขะ ขอโทษค่ะคุณบีสต์”
“ขอโทษทำไม คุณไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”
ฉันก้มหน้างุด วันนี้ทำเรื่องน่าอายไปแล้วกี่ครั้งกันนะ “ไวท์ทานข้าวมูมมาม คุณบีสต์อาจไม่ชอบ”
“ก็น่ารักดี”
น่ารักอีกแล้ว เขาชมฉันว่าน่ารักบ่อยเกินไปแล้วหรือเปล่า
“ผมชอบนะ”
“…”
เขาบอกว่าชอบฉันอย่างนั้นหรือ…
“หมายถึงชอบมองคุณทานข้าว”
อย่างนั้นเองสินะ เขาไม่ได้ชอบผู้หญิงไร้หัวนอนปลายเท้าอย่างเธอเสียหน่อยไวท์ เข้าข้างตัวเองเกินไปแล้ว
“การมีชีวิตอยู่มันดีใช่ไหมล่ะ” เขายังถามต่อ
“ค่ะ” ฉันยิ้มจนตาหยีให้เขา “การมีชีวิตอยู่มันดีจริง ๆ ค่ะ”
ไร้เสียงใดระหว่างบทสนทนา มีเพียงรอยยิ้มบางจากใบหน้าคมคายเท่านั้น
มีอยู่จริงหรือคนที่ทำดีด้วยโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน มีจริงหรือผู้ชายที่แสนอบอุ่นอย่างเขา แม้ลึก ๆ จะรู้ดีว่าคุณบีสต์ทำดีด้วยตอนนี้คงหวังบางอย่างจากตัวเองก็ตาม แต่ทำไมฉันยังยอมให้เขาเข้ามามีบทบาทควบคุมร่างกายราวกับหุ่นเชิดตัวหนึ่งกันนะ
เพราะเขามีพระคุณอย่างนั้นหรือ
หรือเพราะว่าฉันสิ้นหวังแล้วเขาดันเป็นแสงเดียวที่คว้าไว้ได้กัน…
ก่อนในหัวจะคิดเตลิดไปไกล หนึ่งเสียงที่ไม่คุ้นเคยจากชายหนุ่มอีกคนพลันดึงกลับมาอยู่กับปัจจุบัน ชายร่างสูงคนนั้นเดินตรงมาหาเราที่โต๊ะ มองมายังฉันสลับกับถุงช็อปปิงมากมายด้วยสายตาดูถูกดูแคลนอย่างไม่ต้องการปิดบังมัน
“พริชช์…” เขาหันไปหาคุณบีสต์ เรียกชื่อเขาด้วยเสียงโทนต่ำ
“ถ้าจะเข้ามาทักแล้วทำหน้าเหมือนคนอมขี้มาทั้งวันแบบนี้ อย่ามาให้เสียอารมณ์จะดีกว่านะ ไปเถอะที่รัก แถวนี้มีวิญญาณอาฆาต” พูดจบก็คว้าเอาถุงช็อปปิงเดินอ้อมมาทางฉัน ดึงแขนกันให้ลุกตามเขาไป
“แฟนแกเหรอ” คนถามเลิกคิ้วขึ้น ระดับความสูงของตัวเขาทั้งสองต่างกันเพียงเล็กน้อย แต่นั่นก็เพียงพอให้ฉันที่อยู่ตรงกลางดูเล็กลงได้ “หาดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว?”
“นี่ดีกว่าเมียคุณก็แล้วกัน” มือใหญ่บีบมือฉันแน่นขณะโต้ตอบ “ไหน ๆ ก็มาแล้ว ช่วยจ่ายค่าอาหารให้ด้วยละกัน ไปล่ะ”
คุณบีสต์จูงฉันเดินหนีจากร้านโดยมีพนักงานสาวคนหนึ่งทำท่าจะเดินตามมา ทว่าชายคนนั้นกลับรั้งเธอไว้ แล้วยื่นบัตรให้เพื่อจ่ายเงินค่าอาหารแทนเรา คำถามมากมายอยู่ในหัวฉันผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด อยากถามเหลือเกินว่าเขาเป็นใคร อยากรู้เหลือเกินว่าเขาเกี่ยวข้องอะไรกับคุณบีสต์
แต่ฉันหรือจะมีสิทธิ์ถาม
ตัวเองอยู่ในสถานะที่สามารถตั้งคำถามกับเขาได้ด้วยอย่างนั้นหรือ