เวลาหนึ่งสัปดาห์แล้วที่อาศัยอยู่กับคุณบีสต์ มันเป็นหนึ่งสัปดาห์ที่เรียกว่ามีค่ามากสำหรับฉัน แม้ส่วนใหญ่เขาจะไม่ค่อยได้อยู่ด้วยเช่นวันแรก ๆ แต่ตอนเขาไม่อยู่มักจะมีคุณแม่บ้านมาคอยดูแล คอยอยู่เป็นเพื่อนคุยเสมอ และเมื่อใดเขากลับห้อง เมื่อนั้นฉันจะวิ่งไปต้อนรับเขา ดีใจเหมือนลูกแมวคอยเจ้าของกลับบ้าน
พี่บลูยังคงไม่ติดต่อกลับ เธอหายไปเลยเหมือนคนไร้ตัวตน มีเพียงรูปถ่ายที่ยังคงอัปเดตหน้าบัญชีโซเชียลสองสามรูปเท่านั้นที่บอกฉันว่าเธอยังมีชีวิตอยู่
ส่วนพิมพิศ เธอทักมาถามสาระทุกข์สุกดิบบ้างอย่างเช่นปกติ ถึงจะบอกว่าเป็นเพื่อนสนิท แต่ฉันไม่ได้บอกเธอทุกอย่าง พิมยังคงคิดว่าฉันอาศัยอยู่หอพักเก่าหลังมหาวิทยาลัย และคงคิดว่าฉันยังทำงานพาร์ตไทม์แลกค่าแรงแสนถูกอยู่ทุกวัน
ซึ่งมันไม่ใช่ ฉันได้รับการอุปการะจากชายใจดีคนหนึ่ง ที่บังเอิญช่วยชีวิตไว้จากการคิดฆ่าตัวตายเมื่อสัปดาห์ก่อน
“วันนี้อยากให้ผมไปส่งที่มหา’ลัยหรือเปล่า”
เป็นอีกหนึ่งครั้งที่คุณบีสต์ทานข้าวเช้าพร้อมกัน วันนี้เขาบอกว่าจะนอนค้างด้วย โดยให้เหตุผลว่าเขากลัวฉันเหงาเพราะปล่อยทิ้งไว้ในห้องคนเดียวหลายวัน
“ไวท์ไปคนเดียวได้ค่ะ คุณบีสต์ไม่ต้องลำบากหรอกนะคะ”
“คนว่างงานอย่างผมไม่เคยลำบาก เจียดเวลานอนขี้เกียจไปส่งผู้หญิงหน้ามหา’ลัยนิดหน่อยคงไม่เป็นไร”
ฉันไม่คิดว่าเขาว่างจริง ๆ หรอก เคยสงสัยและสังเกตมาหลายครั้งแล้ว คุณบีสต์ถึงจะดูไม่เอาไหน ใช้ชีวิตไปวัน ๆ แต่มีบางครั้งฉันแอบเห็นเขานั่งทำอะไรสักอย่างเงียบ ๆ คนเดียวในห้อง วันนั้นเขาไม่ได้ปิดประตูเลยบังเอิญเจอเข้าพอดี ไม่ได้จะสอดรู้หรือละลาบละล้วงเขาหรอกนะ
“กลัวเป็นที่สนใจค่ะ รถคุณบีสต์มีแต่คันแพง ๆ”
เขาไหวไหล่ให้อย่างไม่ใส่ใจมากนัก “เงินพ่อแม่ผมทั้งนั้น”
“…” แล้วเขาก็พูดแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนเช่นกัน
“ให้ยืมรถไปขับเอาไหม มีใบขับขี่หรือเปล่า”
ช้อนเกือบหล่นมือไป ดีนะที่ฉันยังคุมสติไว้ได้
“ผมให้ยืมรถ ไม่ใด้จะโอนให้ ทำไมต้องทำท่าตกใจขนาดนั้น”
“ไวท์ว่ามันคงไม่เหมาะหรอกค่ะ ไปรถเมล์น่าจะดีกว่า”
ฉันไม่ใช่คนติดหรูขึ้นรถเมล์ไม่ได้ เคยมีนั่งบ้างบางครั้ง แน่นอนว่าค่อนข้างลำบาก แต่ถ้ามันช่วยประหยัดก็นับว่าเป็นทางเลือกที่ไม่เลว
หนึ่งเพราะฉันไม่มีเงินติดตัวเลย มีเพียงสิบบาทสุดท้ายที่เก็บไว้บนหัวเตียงไม่ห่าง
และสอง ค่าใช้จ่ายทุกบาททุกสตางค์ตอนนี้คุณบีสต์เป็นคนออกให้หมด ทั้งเงินสดและบัตรเครดิต ทั้งค่าอาหาร ค่าชุดนักศึกษาใหม่ กระทั่งค่าเทอม หากช่วยเขาประหยัดได้ก็ยินดีจะทำ อีกอย่างฉันกลัวว่าวันหนึ่งหากต้องใช้คืนเขา มูลค่าของมันจะมากเกินไปแล้วชดใช้ไม่ไหวเอาเปล่า ๆ
“ผมจะไปส่งเอง ห้ามดื้อ” เขาพูดดักไว้
“ค่ะคุณบีสต์” คงต้องทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ ชีวิตฉันต่อจากนี้ยังต้องพึ่งพาเขาอีก ไม่อยากขัดใจให้เขาเสียอารมณ์
“แล้วอาการสะดุ้งตื่นตอนดึกยังเป็นอยู่ไหม” สีหน้าเขายังเรียบนิ่งตอนถาม ไม่ได้แสดงความเป็นห่วงเป็นใยออกมาให้เห็นมากนัก
ฉันมักจะสะดุ้งตื่นกลางดึกเกือบทุกคืนตั้งแต่เจอเข้ากับโศกนาฏกรรมนั่น เพราะภาพพวกนั้นคอยตามมาหลอกหลอนราวกับฝันร้ายที่ไม่เคยเลือนลบ เมื่อใดก็ตามที่ตื่น ฉันจะนอนไม่หลับอีกหลายชั่วโมง ทำให้ตอนเช้ากลายเป็นคนไม่สดใส แม้จะทาสกินแคร์แสนแพงที่คุณบีสต์ซื้อให้ ยังไม่สามารถกลบร่องรอยความอ่อนเพลียได้เลย
“เป็นอยู่ค่ะ เกือบทุกคืน” ฉันบอกเขาเมื่อประมาณสองวันก่อน ตอนนั้นคุณบีสต์กลับเข้าห้องตีสามแล้วบังเอิญเจอกันตอนออกไปหาน้ำดื่มพอดี
“ให้ไปนอนเป็นเพื่อนไหม”
“…”
ส่ายหัวทันทีทันควัน ฉันไม่กล้ารบกวนเขาถึงขนาดขอให้มานอนเป็นเพื่อนหรอก ห้องนอนฉันแม้จะเป็นห้องใหญ่ ทว่าเตียงเล็กอึดอัด คงไม่เพียงต่อสองคน
“ไม่ไว้ใจ?” เขาเลิกคิ้วสูงถาม
ไม่ได้คิดเรื่องนั้นเลยสักนิด เกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเราเป็นชายหนุ่มหญิงสาวอาศัยร่วมกัน ในหัวเอาแต่คิดว่าเขาเป็นผู้มีพระคุณเสมอ เลยลืมเรื่องเพศไปเสียสนิท
“ไม่ใช่ค่ะ แค่ไม่อยากให้คุณบีสต์ลำบาก”
“แสดงว่าผมเข้าไปนอนกับคุณได้” มือใหญ่ยกแก้วน้ำจดริมฝีปาก “หรือเปล่า”
น้ำเคลือบบนริมฝีปากเขาวาวฉ่ำทำฉันลอบกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก พอมองขึ้นสบสายตาคม คุณบีสต์ก็ยิ้มกริ่มอย่างมีเลศนัย
“มะ ไม่ได้ค่ะ คุณบีสต์เคยบอกไว้ว่าไวท์ไม่ใช่สเป็ก”
“แต่ก็ไม่ได้แปลว่าคิดอะไรด้วยไม่ได้นี่ จริงไหม?” เขารวบช้อน เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ มองมายังฉันด้วยท่าทีเรียบนิ่ง เหมือนไม่ได้เพิ่งถามคำถามชวนคิดลึก
“คุณบีสต์คิดอะไรกับไวท์อย่างนั้นเหรอคะ”
“ไม่ได้คิด” เขาตอบทันควัน “หรืออยากให้คิดอย่างนั้นเหรอ”
“ไวท์มีสิทธิ์ขอให้คุณบีสต์คิดหรือไม่คิดอะไรด้วยเหรอคะ”
เป็นคำถามซื่อ ๆ ทว่าคนฟังกลับหัวเราะร่า แม้จะไม่เข้าใจว่ามันมีอะไรน่าขำขนาดนั้น แต่ฉันกลับก้มหน้าลอบยิ้มกับตัวเองเมื่อสามารถสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้เขาได้ในรอบสองวันที่ผ่านมา
“ไปกันเถอะ เดี๋ยวเข้าเรียนสายเอานะ”
“ไวท์ต้องล้างจานพวกนี้ก่อนค่ะ วันนี้ป้ามาลีหยุด” หมายถึงแม่บ้านประจำ เธอหยุดงานหนึ่งวันทุกสัปดาห์ ซึ่งวันนี้ตรงกับวันหยุดเธอพอดี
“ทิ้งไว้นี่แหละ ขากลับเดี๋ยวผมจัดการเอง”
“มะ ไม่ได้นะคะคุณบีสต์ เดี๋ยวมือคุณบีสต์ลอกเอา”
คนตัวใหญ่หัวเราะ เดินมาประชิดเก้าอี้ ลูบผมสีดำขลับของฉันเบา ๆ “เครื่องล้างก็มี อยู่นี่มาตั้งสัปดาห์แล้วยังไม่รู้อีกหรือไง”
ฉันคงดูโง่มากสินะ เฮ้อ…
“ไวท์ไม่ได้สังเกตเองค่ะ”
มือใหญ่ขยี้หัวฉันด้วยความมันเขี้ยว ก่อนก้มลงสูดดมเอากลิ่นแชมพูเข้าเต็มปอดโดยไม่บอกกล่าวสักคำ
ฉันตัวแข็งทื่อ ใช่ว่านี่คือการใกล้ชิดถึงขนาดแตะเนื้อต้องตัวกันครั้งแรก แต่ร่างกายและหัวใจอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะรู้สึกหวั่นไหว การใกล้ชิดกับใครคนหนึ่งที่คุณกำลังปลื้มสุดหัวใจ มันอันตรายถึงเพียงนี้เชียวหรือ
“ผมหอมทุกวันเลย” เขายังเล่นผมต่อ ทำเหมือนไม่รู้สึกถึงท่าทีของฉัน “นุ่มมือด้วย”
“คุณบีสต์คะ”
เสียงสั่น มือฉันเองก็สั่นด้วยเช่นกัน มันไม่ใช่ความหวาดกลัวหรือหวาดผวา ฉันไม่เคยมีประสบการณ์ไม่ดีกับเรื่องเพศจึงไม่ได้คิดอะไร ทว่าหัวใจที่ทำงานหนักราวกับต้องการทะลุออกจากอกมาเต้นระบำข้างนอกสร้างปฏิกิริยาลูกโซ่ให้ร่างกายฉัน มันจึงยากจะควบคุมเมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมเพรียงกัน
“กลัวอะไรครับคนดี”
“ไม่ได้กลัวค่ะ”
“แต่ก็ไม่ได้ชอบใช่ไหม” เขาผละออกไปยืนห่างหลายก้าว ส่วนฉันได้แต่มองตามตาละห้อยด้วยความรู้สึกผิดเต็มอก
ทำอะไรขัดใจเขาอีกหรือเปล่านะ
“ไม่ใช่ไม่ชอบค่ะ ไวท์รู้สึกดีนะคะที่คุณบีสต์ลูบหัว แค่…” ถ้าจะบอกว่าหวั่นไหวเขาจะหาว่าฉันใจง่ายหรือเปล่า
“มันคือความไม่ชอบนั่นแหละ ขอโทษที” เขาพูดแล้วเดินหนีไปสวมรองเท้าเร็ว ๆ ก่อนเปิดประตูออกไปข้างนอกโดยไม่รอฉัน