ทดสอบ

1528 Words
ผมทำเหมือนเด็กเอาแต่ใจ เดินหนีมาโดยไม่ฟังคำอธิบายอะไรจากเธอเลย หนึ่งเพราะผมอยากรู้ว่าการกระทำที่ผ่านมาส่งผลต่อเธอมากน้อยแค่ไหน อยากรู้ว่าเพียงหนึ่งสัปดาห์ ตัวเองสามารถมีบทบาทมีอิทธิพลต่อตัวเธอเพียงใด “คุณบีสต์คะ” เสียงหวานใสเรียกจากทางด้านหลังทำผมลอบยิ้ม ใช่ มันต้องแบบนี้สิถึงจะเรียกว่าไม่สูญเปล่า ค่อยน่าสนุกขึ้นมาหน่อย ผมยังคงเดินต่อไม่หันไปสนใจเธอ กระทั่งเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้จึงหยุดตรงหน้าลิฟต์ ไวท์วิ่งมาขวางหน้าผมไว้ เธอหอบเล็กน้อยเพราะวิ่งมาไกล ไหนจะขาที่สั้นกว่าผมมากเลยต้องออกแรงวิ่งเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้ทันอีก “ฟังไวท์ก่อนนะคะ คุณบีสต์กำลังเข้าใจผิด” ใบหน้าหวานขาวซีดฉายแววกังวลออกมาอย่างไม่ปิดบัง นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกพอใจ ลูกไก่ตัวน้อย ๆ ของผม ขาเธอก้าวเข้ามาในมือแล้วยังไม่รู้ตัวอีก ช่างน่าสงสาร “ผมคิดว่าตัวเองเข้าใจถูกแล้ว” พูดทั้งยังขยับห่างจากเธอเพื่อเว้นระยะ เห็นดังนั้นเธอยิ่งทำหน้าเศร้าเข้าไปใหญ่ “จะพยายามรักษาระยะห่างเอาไว้ก็แล้วกัน ขอโทษที่ล่วงเกิน” พลันประตูลิฟต์เปิดก่อนเธอทันได้พูดอะไรหลังจากนั้น ผมแทรกตัวเข้าไปข้างในโดยไม่แตะโดนเนื้อตัวนุ่มนิ่มของเธอ เพียงครู่เจ้าหญิงตัวน้อยของผมก็ก้มหน้าทำคอตกเดินตามเข้ามาข้างใน “อย่าคิดมาก ผมไม่ได้รังเกียจคุณ” จากการประเมินสภาพจิตใจของไอ้เบสท์เพื่อนผมที่เป็นจิตแพทย์ มันบอกว่าไวท์ยังอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยง อารมณ์เธอยังไม่นิ่งและอ่อนไหวง่ายมาก ดังนั้นผมจะเล่นกับความรู้สึกเธอเพียงนิด แค่นี้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้แล้วว่าเธอพร้อมกระโดดเข้าสู่กำมือของผมอย่างง่ายดาย มันเพียงพอแล้ว “แอบร้องไห้หรือเปล่า ไหนเงยหน้าขึ้นมาให้ผมดูหน่อย” ไหล่เธอไหว เลยต้องคาดคั้นให้เงยหน้า ผมยังไม่มีอารมณ์ปลอบใจผู้หญิงสักเท่าไร ไม่ใช่ตอนนี้ “เปล่าค่ะ” เธอเงยหน้ามองผมอย่างว่าง่าย “ตาแดง” มือลูบหัวเธอด้วยความลืมตัว ครั้นจะชักมือออกก็ไม่ทัน ผมชอบจับผมเธอ ติดเป็นนิสัยไปเสียแล้ว ไวท์มีเส้นผมนุ่มสวยดำขลับตัดกับผิวขาวซีดของเธอ ทั้งยังมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ตลอดเวลา มันทำให้อดใจไม่ไหว อยู่ใกล้ทีไรเป็นต้องแตะต้องจับทุกที “น้อยใจผมหรือเปล่า” “ไม่ได้น้อยใจค่ะ แค่เสียใจที่คุณบีสต์ไม่ยอมฟังก็เท่านั้น” เธอเหมือนเด็กหลงทาง ที่พึ่งหนึ่งเดียวมีแค่ผมเท่านั้น คงผิดหวัง น้อยใจ เสียใจ ที่ผมไม่ยอมฟังเธออธิบาย ยังคิดตุตะไปเองว่าเธอกลัวผมอีก การเอาใจเด็กว่ายากแล้ว แต่การเอาใจคนอ่อนไหวง่ายยิ่งยากเข้าไปใหญ่ แต่พอมาคิดดูถึงผลตอบแทนที่จะได้รับหลังจากนี้ มันก็คุ้มแสนคุ้ม ทำผมมีกำลังใจปลอบเธอขึ้นมาทันที “ฟังนะเด็กดี” ผมแตะปลายนิ้วที่คางมน ดันขึ้นให้เธอมองสบตากัน “ผมไม่ได้รังเกียจคุณ แต่กลัวคุณจะรังเกียจผมมากกว่า” “ไวท์ไม่เคยรังเกียจคุณบีสต์ค่ะ คุณมีพระคุณกับไวท์มาก จะทำอะไรกับร่างกายนี้ก็ได้ ไวท์ยินดีค่ะ” “จะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นเหรอ” หากเป็นสถานการณ์ปกติผมคงสั่งสอนเธอไปแล้ว ทว่านี่ไม่ใช่ ผมต้องใช้เธอ “ถ้าทำอย่างนี้ จะโอเคหรือเปล่า” ก้มลงสูดความหอมบนแก้มสีชมพูอ่อนอย่างอุกอาจ เธอตัวแข็งทื่อไปอีกครั้งราวกับรูปปั้น ก่อนเนื้อตัวซีดขาวจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้น แดงขึ้นเรื่อย ๆ “กลัวไหม” “…” เธอส่ายหัวไปมา น่ากลัวว่าหัวจะหลุดจากบ่าได้ “ถ้านี่คือการตอบแทนอย่างหนึ่ง คุณบีสต์จะทำบ่อย ๆ ก็ได้ค่ะ” อา…บางทีผมอาจต้องให้ไอ้เบสท์ดูแลจิตใจเธอสักหน่อย เธอควรหวงเนื้อหวงกับคนเพิ่งรู้จักกันบ้าง แบบนี้มันอันตรายเกินไป “เด็กดี น่ารักมากครับ” รอยยิ้มแรกของวันปรากฏบนใบหน้าหวาน พลันทุกอย่างกลับมาสดใสอีกครั้งเมื่อผมเอ่ยชมเธอ ไร้คำพูดหรือการสนทนาใดระหว่างทางไปยังมหาวิทยาลัย ผมส่งไวท์หน้าคณะ รอจนเธอเดินไปเจอเพื่อน ๆ คนหนึ่งรูปร่างหน้าตาดี ผิวพรรณสวย ใบหน้าเฉี่ยวคมโดดเด่น ถ้าเดาไม่ผิดคงเป็นพิมพิศ เพื่อนสนิทเพียงหนึ่งของเธอ และอีกสองน่าจะไม่สนิทมากนัก เป็นสาวผมสั้นประมาณไหล่ตัวเล็กกว่าใครในกลุ่มและหนึ่งชายท่าทางอ้อนแอ้นคล้ายกับ LGBTQ ผมรอจนเธอเดินลับตาไปก่อนจะหันรถกลับ กะว่าจะออกจากมหาวิทยาลัยแวะไปบ้านสักหน่อย ทว่าก่อนพ้นประตูดันสวนทางกับรถหรูคุ้นตา ผมเลยหักพวกมาลัยโดยไม่ลังเล ขับตามเจ้า Camero คันสีเหลืองไปติด ๆ รอกระทั่งเจ้าของรถเดินลงมา ถึงได้รีบออกจากรถก้าวยาว ๆ ไปขวางหน้าชายคนนั้นไว้ ผู้ชายที่หน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกันกับผม ผิดที่แก่กว่าหลายปี ไม่ได้ไว้ผมยาวเหมือนกัน และแน่นอนผมหน้าตาดีกว่าเขาหลายเท่า “บังเอิญดีนะว่าไหม” กอดอกเอ่ยทักทายพี่ชายคนรองของตัวเอง เขามีท่าทีตกใจเล็กน้อย แต่ก็เพียงนิดเดียวเท่านั้น “มาทำอะไรที่นี่” ทำหน้าไม่ยินดียินร้ายที่ได้เจอผมสักนิด คงลืมไปแล้วหรือเปล่าเคยทำวีรกรรมอะไรกับไอ้เด็กคนนี้ไว้บ้างน่ะ “มาส่งเมีย พลคงเล่าให้ฟังแล้วมั้ง ไม่น่าถาม” พลพิพัฒน์ คือพี่ชายคนโตที่บังเอิญเจอกันในร้านอาหารพร้อมกับไวท์เมื่อสัปดาห์ก่อน เขากับพี่ชายคนรองสนิทกันมาก เรื่องนี้คงไปถึงหูตั้งแต่วันนั้นแล้วล่ะ “เสียไปเท่าไหร่แล้วล่ะกับเธอคนนั้น” “คุณสนใจด้วยเหรอ” “พริชช์ อย่ากวนประสาทพี่แต่เช้า!” เขากัดฟันพูด สายตาคอยมองซ้ายมองขวาไม่ขาด นั่นคงเพราะตอนนี้เจ้าตัวอยู่ในฐานะของอาจารย์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นรู้จักโดยทั่วไปของนักศึกษา เขาจะหลุดด้านแย่ ๆ เน่าเฟะของตัวเองออกมาไม่ได้เด็ดขาด “ไม่เรียกบีสต์ ไอ้เด็กปีศาจแบบเดิมล่ะคุณพี” ผมยังคงพูดกวนโมโหเขา ด้วยรู้ว่าพี่ชายคนรองควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดีเท่าคนอื่น ที่สำคัญผมรู้จุดอ่อนเขา รู้ว่าถ้าจี้มันเข้า อาจารย์พีรพัฒน์ได้ตบะแตกแน่ “ตัวเองเป็นคนตั้งชื่อนี้ให้น้องชายแท้ ๆ ไม่ใช่เหรอ” ชื่อจริงของผมคือ พริชช์ แปลว่า ของขวัญจากพระเจ้า คุณแม่ตั้งชื่อนี้เพราะคิดว่าผมเป็นสิ่งมีค่ามากที่สุดที่เธอได้รับมา ทว่าพี่ ๆ ผมไม่คิดเช่นนั้น พวกเขาคิดว่าผมคือเนื้อร้าย จึงรวมหัวกันตั้งฉายาให้ว่า บีสต์ หรือไอ้เด็กปีศาจ ไอ้อสูรกายน่ารังเกียจ “แกต้องการอะไรกันแน่พริชช์” “แค่มาทักทายพี่ชาย ตั้งแต่แต่งงานไปเราก็ไม่ค่อยได้เจอกันเลยว่าไหม เห็นได้ชัดเลยว่าคุณยังไม่เอาไหนอยู่เหมือนเดิม” สองหมัดกำแน่น น่ากลัวว่าถ้าเขาควบคุมตัวเองไม่ได้ผมคงถูกซัดใบหน้าเข้าให้เต็ม ๆ แต่ผมรู้ดีว่าเขาคงไม่กล้าเอาหน้าที่การงานมาเสี่ยงเพราะเรื่องทะเลาะวิวาทหรอก เลยกล้าเชิดหน้าชูคอกวนประสาทเขาต่อ “กี่ปีกี่ปีก็ยังเป็นอาจารย์ในมหา’ลัยอยู่เลย” “ไอ้บีสต์!” ใช่ ต้องอย่างนั้นสิ ทำหน้าอย่างนั้นแหละถึงจะสมกับเป็นเขา “ครับพี่พี เรียกผมทำไมเหรอ” เขากัดฟันกรอด มองหน้าผมด้วยความอาฆาตแค้น หมัดที่กำแน่นอยู่ชกเข้าตรงกระโปรงรถยนต์สีเหลืองตัวเองเบา ๆ ก่อนเจ้าตัวจะค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออก ทำเหมือนพยายามตั้งสติอีกครั้ง “แกมันไอ้เด็กเลว ถ้าต้องการแค่มากวนประสาทฉันเล่นก็กลับไปซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งให้ รปภ. มาคุมตัวออกไปเอง” ผมไหวไหล่ไม่ใส่ใจมากนัก ยังไงเสีย รปภ.ที่ว่าคงไม่กล้าทำอะไรผมหรอก คำขู่นั้นเรียกว่าไร้สาระมากหากพูดตามความจริง “ลืมอะไรไปหรือเปล่าพี่ชาย” ผมเอนตัวพิงรถตัวเองด้วยท่าทีสบาย “มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีชื่อผมเป็นหุ้นอยู่ หุ้นที่คุณพยายามอ้อนวอนกอดขาแม่จะเป็นจะตายเพราะอยากได้มัน แต่ผมแค่เอ่ยปากขอ วันต่อมาก็ได้มาครองแล้ว”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD