Prologue

1459 Words
วันแรกของการสูญเสีย คุณจะรู้สึกมึนงงทำตัวไม่ถูก วันที่สอง ความเศร้าโศกเสียใจจะตามมา คุณจะร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือด ร้องมันปานใจจะขาดให้ได้ หนึ่งสัปดาห์ให้หลังคุณจะหาทางออกและพยายามแก้ไขมัน หนึ่งเดือนหลังจากนั้นคุณจะเริ่มทำอะไรสักอย่างเพื่อหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมาน บางคนอาจเจอหนทางสว่าง บางคนอาจจมดิ่งสู่ก้นหุบเหวลึก ส่วนตัวฉันคงเป็นอย่างที่สอง เพราะการหาทางออกไม่เจอ ทำให้ตัวเองต้องมายืนอยู่ตรงนี้… จุดกึ่งกลางระหว่างความเป็นความตาย เบื้องล่างคือแม่น้ำสายหลักที่เปรียบเสมือนสายธารหล่อเลี้ยงหลายชีวิต ดูเผิน ๆ แล้วผิวน้ำอาจสงบนิ่ง ทว่าใครจะรู้ว่าข้างใต้ความสงบนั้นจะซ่อนความน่ากลัวไว้มากมายเพียงใด ฉันรู้ ฉันรู้ดี เพราะเมื่อไม่นานมานี้เพิ่งเห็นข่าวคนจมน้ำหาย เจออีกทีก็หลายวันให้หลัง ร่างเขาถูกกระแสน้ำซัดไปติดฝั่งหลายกิโลเมตร และหากถามว่ารู้แล้วยังจะมายืนทำอะไรบนสะพานแขวนแห่งนี้ ไม่กลัวตกลงไปจมน้ำหายเหมือนคนอื่น ๆ หรือ คำตอบนั้นง่ายมาก ฉันมาที่นี่ หวังทำสิ่งนั้นอยู่แล้ว ว่ากันว่าคนเรามีขีดจำกัดความอดทนแตกต่างกัน บางคนสามารถทำใจยอมรับความเจ็บปวดได้กระทั่งตาย แต่บางคนอาจอ่อนไหวง่ายแม้เพียงมีดบาดก็สามารถร้องไห้นานหลายนาที ส่วนตัวฉันนั้น…คิดว่าน่าจะเป็นอย่างแรกเสียมากกว่า เมื่อกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ใช่ว่าเพราะผิดหวังจากผู้ชาย ถูกหักอก สอบไม่ติด ผลการเรียนไม่ดีหรือถูกกดดันจากครอบครัว แต่มันคือชีวิตทั้งชีวิตพังทลายต่อหน้า เหมือนโลกทั้งใบของฉันแหลกสลายทั้งที่ตัวเองกำลังไปได้ดีในทุก ๆ เรื่อง ฉันชื่อ ไวท์ เกิดในครอบครัวฐานะปานกลาง พ่อแม่มีธุรกิจส่วนตัว เราไม่ได้ร่ำรวยล้นฟ้า ทว่าก็ไม่ได้จนหรือมีหนี้สิน สามารถซื้อบ้านหลังละหลายล้านได้โดยไม่กระทบเงินลงทุน พ่อแม่มีทรัพย์สินพอจะส่งฉันกับพี่สาวเรียนจบปริญญาเอกได้หากต้องการเสียด้วยซ้ำ แต่ทุกสิ่งล้วนไม่จีรังยั่งยืน นั่นคือสัจธรรม ใครจะคิดว่าในวันหนึ่งจะเกิดโรคระบาดลุกลามไปทั่วโลกขึ้น ใครจะคิดว่ามันสามารถติดต่อกันได้ผ่านการสูดดมหรือสัมผัสสารคัดหลั่ง และใครจะคิดว่ามันจะลุกลามบานปลายกินเวลาติดต่อกันหลายปี ในระยะแรกเรายังสามารถประคองทุกอย่างไว้ได้ พอเข้าปีที่สองเริ่มใช้เงินเก็บมาโปะค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นทุกวัน และพอเข้าปีต่อมา ผลกำไรที่ควรจะได้กลับกลายเป็นหนี้สินที่ขยันงอกเงย มานึกย้อนไปแล้ว ฉันยังรู้สึกเสียใจและผิดหวังที่ครอบครัวเลือกปกปิดเรื่องนี้กับตัวเอง พ่อกับแม่ไม่เคยบอกฉันเรื่องธุรกิจครอบครัวกำลังล้ม มีเพียงพี่บลู พี่สาวแท้ ๆ อายุห่างกันสี่ปีเท่านั้นที่ถูกอนุญาตให้รู้ถึงสถานะทางการเงิน ฉันควรเป็นคนช่างสังเกตให้มากกว่านี้ ควรจะเห็นว่าข้าวของเครื่องใช้ในบ้านหายไปทีละชิ้นสองชิ้น เสื้อผ้าแบรนด์เนม กระเป๋ารองเท้าของพี่บลูเองก็เช่นกัน มีบางครั้งแอบเห็นเธอร้องไห้ พอเข้าไปถามไถ่ คำตอบที่ได้คือเธอทะเลาะกับแฟน ทั้งที่จริง ๆ แล้ว พี่บลูร้องเพราะจำใจขายสมบัติส่วนตัวแสนรักเพื่อใช้หนี้ต่างหาก มีเพียงฉันเท่านั้นยังสุขสบาย มีเพียงฉันที่ตื่นเช้ามาแต่งตัวสวยไปเรียนมหาวิทยาลัยทุกวันโดยรับเงินค่าขนมจากแม่เท่าเดิม ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ถูกปิดหูปิดตาสนิท ชนิดที่ว่าพอลืมตามาเห็นความจริงฉันถึงกับช็อกไปไม่เป็นหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่เจอพ่อกับแม่นอนจมกองเลือดในห้องทำงาน พร้อมจดหมายฉบับเล็ก ๆ เขียนสั้น ๆ ว่า ‘ขอโทษ’ สายลมยามเย็นพัดผ่านมา ความรู้สึกฉันอาจเรียกได้ว่าหนาวสุดขั้วหัวใจมั้ง คงเป็นเพราะฝนกำลังจะตก ไม่ก็เพราะสิ่งที่กำลังทำ ลึก ๆ ในใจฉันแอบกลัวอยู่ก็เป็นได้ แต่ฉันไม่มีหนทางแล้วจริง ๆ ของที่ติดตัวตอนนี้มีเพียงเศษเหรียญที่ตนเคยคิดว่าไร้ค่าสิบบาท มันไม่เพียงพอแม้กระทั่งซื้อบะหมี่ถ้วยในร้านสะดวกซื้อเสียด้วยซ้ำ ฉันกำมันไว้แน่นตลอดเวลา ตัดสินใจเก็บเอาไว้ มันจะเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่ตัวเองเอาติดตัวไปก่อนตาย อย่างน้อยถ้าชาติหน้ามีจริง ฉันจะได้ไม่จน ส่วนโทรศัพท์มือถือ…มันเคยร้องเตือนเมื่อสัปดาห์ก่อน เป็นข้อความสั้น ๆ จากพี่บลูว่า เธอตัดสินใจไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ต่างประเทศ งานที่ทำอาจเปลืองตัวเล็กน้อย ทว่าผลตอบแทนที่ได้รับมันคุ้มค่าจะเสีย ไม่ต้องบอกก็คงพอเดาออกว่ามันคืองานอะไร ฉันกดปิดหน้าจอ เพิกเฉยต่อข้อความจากเพื่อนสนิทอย่างพิมพิศแล้วขว้างมันลงแม่น้ำไป กลัวเหลือเกินว่าจะเปลี่ยนใจหากเปิดอ่านมันแล้วเจอข้อความให้กำลังใจ นานเท่าไรแล้วนะที่ยืนอยู่ตรงนี้ คิดว่ามันน่าจะนานพอควร เพราะเริ่มรู้สึกปวดขาขึ้นมาแล้ว หนึ่งหยดน้ำหยดกระทบหลังมือ ฉันเงยหน้ามองฟ้าที่ตอนนี้สายฝนโปรยปรายลงมา มันเริ่มแรงขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งทุกอย่างตรงหน้าพร่ามัว มีเพียงควันจากไอน้ำปกคลุมทั่วบริเวณเมือง นี่สินะคือเวลาของฉัน เวลานี้แหละจะไม่มีใครเห็นว่ามีคนกำลังโดดสะพาน ผู้ใช้รถใช้ถนนจะโฟกัสแค่การขับขี่ตรงหน้า ไม่มีใครหันมาสนใจข้างถนนกันหรอก มือและเท้าจับราวสะพานมั่น ฉันปีนขึ้นไปนั่งบนนั้น หย่อนขาลงมองแม่น้ำที่ตอนนี้ไหลเชี่ยวกรากขึ้นเพราะฝน แวบแรกหัวใจฉันเหมือนเบาหวิวไปชั่วขณะ ในวินาทีต่อมาความคิดที่ว่าเสียดายชีวิตเริ่มเข้ามาแทรก ก่อนสมองฉันจะตั้งคำถามประหลาด ๆ กับตัวเองขึ้นว่า ‘ถ้าจมน้ำตาย กว่าจะเจอศพฉันคงขึ้นอืดเหมือนอึ่งอ่างพองตัว’ ‘โดดลงไปแล้วฉันจะตายทันทีหรือเปล่า แล้วถ้ามันไม่ตายสมใจอยากแต่ดันพิการแทนล่ะ จะทำยังไง’ ‘แล้วถ้าฉันโดดลงไปจริง ๆ ตายจริง ๆ จะลำบากพี่ ๆ กู้ภัยงมหาร่างไหมนะ เหล่าชาวโซเชียลคงรุมด่าฉันเหมือนหมูเหมือนหมาแน่ ๆ’ ‘ฉันจะแสบคอแสบปอดหรือเปล่า จะทรมานไหมหากปล่อยตัวเองจมน้ำไป ทรายข้างใต้จะเข้าไปในปอด ร่างกายฉันจะหมุนคว้างตามกระแสคลื่นใต้น้ำหรือเปล่า’ ทว่ายังไม่ทันได้ตีกับความคิดในหัว เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นท่ามกลางพายุฝนโหมกระหน่ำ “โดดลงไป ศพไม่สวยนะ” ฉันเพียงหันไปมองเขาเล็กน้อย แล้วทำเป็นไม่สนใจ ยังคงรวบรวมความกล้า พยายามกำจัดความคิดเสียดายชีวิตทิ้งเสีย เมื่ออยู่ไปก็ไม่มีความสุข ฉันสูญสิ้นแล้วทุกอย่าง ไม่มีแม้กระทั่งความหวัง จะมาคิดอะไรตอนนี้ “ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจ คุณจะเล่าให้ผมฟังก็ได้นะ” เขายังคงพูดไม่หยุด น่าแปลกว่าเสียงนั้นเข้ามาใกล้กว่าเดิม “หรือถ้าอยากระบาย ผมยังยืนอยู่ข้าง ๆ คุณตรงนี้” “…” มือที่กำขอบสะพานคลายตัวออก ฉันหลับตาลง ไม่สนใจสิ่งเร้ารอบตัว “หรือถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือ ผมอาจจะช่วยคุณได้” ไม่มีใครสามารถช่วยฉันได้ทั้งนั้น แม้แต่ตัวฉันเองยังทำไม่ได้ “…” “บางทีเราอาจไปทานข้าว กินของอร่อย ๆ แถวเยาวราช ไม่ก็หมูกรอบน้ำจิ้มซีฟู้ดแซบ ๆ เจ้าดัง หรือหาที่อุ่น ๆ นอนพักสักหน่อย ดื่มชาร้อน ๆ ขนมหวาน ๆ ก็ยังดี” “อย่า…” เสียงฉันสั่น ไม่แน่ใจว่าเพราะหนาวหรือหิว ตัดสินใจหันไปมองเขาท่ามกลางความพร่ามัวจากสายฝน แม้ภาพตรงจะไม่ค่อยชัด แต่ก็สามารถมองออกว่าชายคนนี้ดูเป็นผู้ดีเสียเหลือเกิน “อย่าอะไร” “อย่าให้ความหวังกับคนที่กำลังฆ่าตัวตาย” เขายักไหล่ด้วยท่าทียียวน คล้ายไม่ทุกข์ร้อนอะไร
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD