พิธีหมั้นเป็นไปอย่างเรียบง่ายสมกับที่บอกว่าเป็นงานภายในเล็กๆ แต่ถึงอย่างนั้นแขกจำนวนไม่ถึงห้าสิบคนซึ่งได้รับเชิญมาก็เป็นคนสำคัญอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะญาติสายรองของตระกูลแฮมิลตันที่ดูเหมือนจะเหยียดหยามและดูถูกเธออยู่ในที เพราะหลายคนต่างรู้กันดีว่าเธอเป็นใครและมีฐานะอะไรในคฤหาสน์แฮมิลตันแห่งนี้
หลังจากสวมแหวนต่อหน้าแขกเหรื่อ ชิดหทัยก็ต้องคอยอยู่เคียงข้างคนเป็นคู่หมั้นตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าเธออยากอยู่ข้างกายเขา แต่ไทเลอร์กลับไม่ยอมปล่อยมือเธอเลยต่างหาก แม้ว่าหญิงสาวจะพยายามดึงมือของตนเองออกจากมือของเขาแทบจะตลอดเวลาก็ตาม จนเธอก็ได้แต่ทำใจยอมปล่อยให้เขาทำเหมือนเธอเป็นตุ๊กตาประจำตัวไปในที่สุด
โชคดีที่งานนี้ไม่ได้ยืดเยื้ออะไรมาก พอเลยเที่ยงไปงานหมั้นก็เสร็จสิ้น ตอนนี้เองที่เธอกับไทเลอร์ได้อยู่กันตามลำพังเสียที และคราวนี้เปลี่ยนจากชายหนุ่มลากเธอเดินไปทั่ว ก็เป็นชิดหทัยที่ลากเขาตรงไปยังห้องสมุดซึ่งอยู่ภายในคฤหาสน์แฮมิลตัน และเป็นห้องที่เงียบสงบที่สุดภายในคฤหาสน์หลังนี้
“ฉันกับคุณมีเรื่องต้องคุยกัน มิสเตอร์แฮมิลตัน”
ชิดหทัยเอ่ยเสียงเรียบ สีหน้าของเธอแสดงออกถึงความอดทนอดกลั้นที่ใกล้จะหมดลง ขณะที่ ‘มิสเตอร์แฮมิลตัน’ กลับทำเพียงแค่เลิกคิ้วเข้มของเขาขึ้นสูง ดวงตาสีเทาจ้องมองเธอคล้ายกับจะขบขัน แม้ริมฝีปากสีสดหยักสวยของเขาจะยังหุบสนิทก็ตามที
พอเห็นว่าเขาไม่พูดอะไร หญิงสาวจึงฉวยโอกาสพูดขึ้นมาทันทีว่า “คุณคงจะเห็นด้วยกับฉันว่าเรื่องหมั้นบ้าๆ นี่จะต้องจบลงให้เร็วที่สุด ซึ่งฉัน...”
“นั่งลงก่อนสิ”
เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขัดขึ้นในระหว่างที่เธอกำลังจะเกริ่นนำถึงเรื่องงานหมั้นในวันนี้และโน้มน้าวเขาให้เห็นด้วยว่านี่เป็นเรื่องงี่เง่าที่สุดในรอบสิบปีที่ผ่านมานี้
“ฉันคิดว่าเราควรจะ...”
ชิดหทัยไม่ได้สนใจสิ่งที่เขาพูด เธอเอ่ยต่อไปตามประสาคนใจร้อน ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่มีท่าทีจะฟังเธอสักนิด ชายหนุ่มทรุดลงนั่งบนโซฟาตัวใหญ่ ท่อนขาในกางเกงสแลคนั้นตวัดไขว้กันด้วยท่วงท่าสบายๆ หากกลับดูน่ามองและเก๋ไก๋ราวกับนายแบบกำลังโพสต์ท่าถ่ายรูป
“นั่งลงก่อนสิ แล้ว ‘เรา’ ค่อยคุยกัน”
ชายหนุ่มย้ำคำว่า ‘เรา’ เสียงหนักเป็นเชิงออกคำสั่ง ดวงตาสีเทาคู่นั้นจ้องมองเธอราวกับจะบอกว่าถ้าเธอไม่ทำตามที่เขาบอก ไทเลอร์ก็ไม่คิดจะฟังในสิ่งที่เธอพูด ทำให้ชิดหทัยที่คิดว่าจะรีบพูดเรื่องหมั้นบ้าบอนี้ให้มันจบๆ ไป จำต้องกระแทกตัวนั่งลงตรงกันข้ามกับเขาในที่สุด
หญิงสาวจ้องมองไทเลอร์นิ่ง แล้วอดที่จะประเมินชายหนุ่มในวันนี้ไม่ได้...
ถึงเธอจะเคยเห็นใบหน้าหล่อเหลาของเขาจนชินตาจากรูปที่ติดอยู่ภายในคฤหาสน์แฮมิลตัน ซึ่งเป็นเหมือนธรรมเนียมที่จะต้องมีภาพเหมือนของเจ้าของคฤหาสน์ทุกรุ่นติดเอาไว้ แต่ตัวจริงของเขานั้นต่างจากในรูปอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสิ่งที่ทำให้ต่างคงจะเป็นกระแสอำนาจ ความกดดันหรือความดื้อดึงเอาแต่ใจที่แผ่ออกมาจากร่างสูงใหญ่นั่นที่ดูกับราวจะข่มให้เธอตัวเล็กลง
ไทเลอร์ แฮมิลตัน เจ้าของอาณาจักรโลจิสติกส์ติดอันดับโลกและโรงแรมในเครือแฮมิลตันอีกกว่าสองร้อยแห่งทั่วโลกนั้นเป็นชายหนุ่มอายุสามสิบสามปี เขามีเส้นผมสีดำสนิทและดวงตาสีเทาที่ดูลุ่มลึก เจ้าเล่ห์ และเอาแต่ใจเป็นที่หนึ่ง ซึ่งวัดได้จากครั้งแรกที่เธอกับเขาได้พบกัน ในตอนนั้นกว่าชายหนุ่มจะยอมให้เธอพบเขาก็เป็นเวลาถึงสามวันเลยทีเดียว
ไทเลอร์ในสายตาของเธอมีใบหน้าคมสัน โหนกแก้มสูง คิ้วเข้มหนารับกับดวงตาสีเทาคมกริบ จมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากหยักสวยอย่างผู้ชาย ทุกอย่างประกอบเป็นไทเลอร์นั้นทำให้เขาดูโดดเด่น หล่อเหลายิ่งกว่านายแบบคนใด ทว่าสำหรับเธอแล้ว เขาคือคนเอาแต่ใจร้ายกาจที่ไม่น่าเข้าใกล้
และตอนนี้ก็เป็นคู่หมั้นที่เธออยากผลักไสไปไกลๆ อีกด้วย!
“เอาละ ชิดหทัย...” เสียงทุ้มนุ่มนั่นเรียกชื่อเธอ มันฟังดูแปลกอย่างไรชอบกลที่ชื่อของเธอดังมาจากปากของเขา “เธออยากจะพูดอะไรกับฉันอย่างนั้นเหรอ”
คำถามนั้นส่งผลให้ชิดหทัยคลายริมฝีปากที่เม้มแน่นออก เธอเชิดหน้าขึ้น ก่อนจะจ้องมองดวงตาคมกริบคู่ที่เธอไม่เคยชอบใจเวลามองสักครั้งเพราะมันเหมือนจะทะลุทะลวงหัวใจอย่างไม่หลบสายตา
“เรื่องหมั้นของเราน่ะค่ะ” หญิงสาวเน้นคำว่า ‘หมั้น’ อย่างชัดเจน “ฉันคิดว่าคุณคงไม่อยากจะขัดใจคุณท่าน...แต่เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้ท่านคงจะเอาแต่ใจมากเกินไปหน่อย”
“หืม” เขาส่งเสียงขัดขึ้นมา ดวงตาสีเทาคู่นั้นดูจะพราวระยับมากขึ้น เมื่อเห็นความพยายามในการจะอธิบายของเธอ
“ฉันเลยคิดว่าถ้าคุณไม่สะดวกใจ เราสองคนช่วยกันเกลี้ยกล่อมคุณท่านกันอีกครั้งดีไหมคะ ฉันเชื่อว่าแม่ของคุณจะต้องยอมรับว่าเราสองคนไม่ได้รักกันหรือรู้จักกันดีเกินกว่าจะเป็นคู่หมั้นกันไปได้”
“ทำไมฉันต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะ”
คำถามที่ไทเลอร์ย้อนกลับมาทำให้ชิดหทัยอึ้ง
คิ้วของหญิงสาวขมวดมุ่น “มันเห็นได้ชัดนะคะว่าเราหมั้นกันไปตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์ เพราะถึงยังไงฉันคงไม่คิดจะแต่งงานกับคุณเด็ดขาด และคงไม่ต้องเท้าความให้เสียเวลาใช่ไหมคะว่าเพราะอะไรเราถึงเข้ากันไม่ได้”
หญิงสาวเอ่ยถึงความบาดหมางเล็กๆ ที่เธอกับเขามีต่อกันในตอนที่เธอทำหน้าที่เป็นตัวแทนส่งสารจากเทเรน่าให้กับผู้เป็นลูกชาย ไทเลอร์ในตอนนั้นแกล้งเธอให้ต้องรอคอยเขานานๆ อย่างเห็นได้ชัด จนกระทั่งเธอทนไม่ไหว บุกเข้าไปส่งสารให้เขาถึงมือแล้วหนีกลับมาเลย ถ้าไม่ใช่เพราะของชิ้นนั้นเป็นของมีค่ามาก เธอคงจะยัดมันใส่มือเลขาฯ ของเขาแล้วหนีกลับบ้านตั้งแต่วันแรกแล้วล่ะ!
“ฉันก็ไม่เห็นว่าเราจะมีปัญหากันตรงไหน” ไทเลอร์เอ่ยขัดความคิดของเธอขึ้น “อีกอย่างเธอคือคนที่คุณแม่พอใจ ฉันก็ไม่อยากขัดใจท่าน”
“อย่าบอกนะคะว่าคุณคิดจะทำหน้าที่ลูกที่ดีในเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่คุณทิ้งแม่คุณไปเป็นปีๆ ไม่เห็นจะกลับมาดูแลอะไรท่านเลย” หญิงสาวอดจิกกัดผู้ชายตรงหน้าไม่ได้ เพราะอดปากไว้ไม่อยู่จริงๆ ดวงตาโตของเธอถลึงใส่เขาด้วยท่าทีไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
“นั่นสินะ” เขาทำท่าเห็นด้วยอย่างน่าหมั่นไส้ ดูราวกับชายหนุ่มไม่ได้สำนึกผิดใดๆ ด้วยซ้ำกับการที่เขาไม่ค่อยกลับบ้านแล้วทิ้งให้มารดาอยู่ที่คฤหาสน์เพียงลำพังกับคนรับใช้อีกโขยงในบ้านเท่านั้น “แต่ทำไมเธอไม่คิดว่า คราวนี้ด้วยสำนึกของลูกที่ดี ฉันเลยอยากทำตามใจแม่ของตัวเองสักครั้ง ด้วยการไม่ขัดใจท่านในเรื่องนี้”
ได้ฟังคำตอบของเขาแล้วชิดหทัยนึกอยากจะอาละวาดใส่อีกฝ่าย แต่ก็ต้องข่มใจเอาไว้ สิ่งที่ทำได้มีเพียงกลั้นโทสะแล้วถามเขาเสียงขุ่นว่า “คุณคิดจะแกล้งฉันใช่ไหม?”
คราวนี้เธอได้ยินเสียงหัวเราะคล้ายกับจะเยาะหยันดังมาจาก อีกฝ่าย “ทำไมฉันต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะ”
“ก็คุณ...!”
หญิงสาวเถียงไม่ออก ความอัดอั้นทำให้เธอได้แต่จ้องมองเขาเขม็งอย่างไม่ชอบใจ
ริมฝีปากหยักสวยของอีกฝ่ายเหยียดยิ้มออกมาทันทีที่เห็นท่าทางเถียงไม่ออกของเธอ
“ถ้าเธอไม่อยากหมั้นกับฉัน เธอคงต้องไปพูดเรื่องนี้เอาเองนะชิดหทัย เพราะฉันจะไม่ช่วยเธอหรอก” คำตอบปฏิเสธหน้าตาเฉยนั้นเป็นอันปิดกั้นหนทางและบอกเธออย่างหมดจดว่าเขาจะไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเธอเด็ดขาด
“คุณก็รู้ว่าฉันไม่มีสิทธิ์พูดออกไป คุณก็ได้ยินสิ่งที่แม่คุณพูดเมื่อเช้า!”
เธอตะโกนใส่เขาอย่างเหลืออด แต่แทนที่จะเดือดร้อน ไทเลอร์กลับทำเพียงยิ้มและยักไหล่อย่างกวนโทสะคนมองอย่างเธอเท่านั้น
ชิดหทัยหลับตาแน่นอย่างพยายามข่มโทสะของตนเองที่กำลังพลุ่งพล่าน และเมื่อคิดว่าตัวเองใจเย็นลงบ้างแล้วจึงยอมเปิดเปลือกตาขึ้นแล้วจ้องมองคนตรงหน้าเขม็งพลางเริ่มเจรจาอีกครั้ง
“ฉันรู้นะคะว่าในใจจริงๆ ของคุณคงไม่อยากจะมาหมั้นหรือแต่งงานอะไรกับเด็กในบ้านอย่างฉัน แถมยังเป็นเด็กกำพร้าที่แม่คุณเลี้ยงดูมา ถ้าเรื่องนี้มันเผยแพร่ออกไป คนที่เสียหายก็มีแต่คุณนะคะมิสเตอร์แฮมิลตัน” หญิงสาวพยายามโน้มน้าวเขาเป็นครั้งสุดท้าย “ฉันก็แค่เด็กในบ้านที่ไม่มีอะไรคู่ควรกับตำแหน่งคู่หมั้นอันทรงเกียรติของคุณ ถ้าคุณปฏิเสธ คุณท่านจะต้องเข้าใจแน่ๆ เพราะเธอรักคุณมากนะคะ”
และบอกตามตรงว่า ถ้าเทเรน่าไม่ใช่ผู้มีพระคุณของเธอล่ะก็ เธอไม่คิดจะหมั้นกับเขาอย่างเด็ดขาด แต่เพราะเธอทำแบบนั้นไม่ได้ เธอไม่ใจแข็งพอจะทำร้ายจิตใจคนที่ส่งเสียดูแลเธอตั้งแต่เด็ก และรับเธอเข้ามาอยู่ในบ้านด้วยกันในยามที่เธอไร้ที่ไป แถมยังช่วยเหลือเธอทุกๆ อย่าง เทเรน่าเป็นยิ่งกว่าผู้มีพระคุณ ท่านเปรียบเสมือนคนในครอบครัวที่เธอรักและเคารพที่สุดด้วยซ้ำ
บางทีถ้าไม่ใช่ไทเลอร์ ชิดหทัยยอมรับว่าเธออาจจะเต็มใจทำตามที่เทเรน่าต้องการก็ได้ แต่นั่นแหละ...เพราะเป็นไทเลอร์เธอถึงไม่อาจทนให้ตัวเองถูกผูกติดกับเขา และปล่อยให้เลยเถิดไปมากกว่านี้ได้
บอกตามตรงว่าใครจะอยากมีความสัมพันธ์กับคนที่ไม่ชอบหน้า และคนๆ นั้นคือคนที่ตัวเองรู้ดีที่สุดว่าอนาคตข้างหน้านั้นไม่ได้มีความสุขเลยสักนิด เพราะต่อให้เธอยอมใจอ่อนแต่งงานเพื่อทดแทนบุญคุณจริงๆ ล่ะก็ ลงท้ายเธอกับไทเลอร์ถ้าไม่หย่าขาดจากกันก็คงเป็นเธอที่ต้องทนทุกข์ทรมานไปทั้งชีวิตกับการอยู่ร่วมกับผู้ชายเจ้าเสน่ห์อย่างเขาที่คงมีผู้หญิงมากมายห้อมล้อม และไม่ได้มีเธอเพียงคนเดียวในชีวิตของเขา
เธอเป็นเด็กกำพร้า สิ่งที่เธอโหยหามากที่สุดก็คือการมีครอบครัวที่อบอุ่นและมีคนที่รักเธออย่างจริงใจ จับมือเดินไปด้วยกันในยามแก่เฒ่า และดูแลกันไปจนวันตาย...
ซึ่งคนๆ นั้นที่วาดหวังเอาไว้ ไม่ได้มีความใกล้เคียงกับผู้ชายอย่างไทเลอร์ แฮมิลตันเลยแม้แต่นิดเดียว!
“เธอยังไม่รู้อะไรหรอก ว่าข้างในใจของฉันจริงๆ รู้สึกอะไร” ไทเลอร์เอ่ยขึ้นหลังจากที่เธอพูดจบและเขาก็เงียบไปพักใหญ่ ดวงตาสีเทาคู่นั้นให้ความรู้สึกเยียบเย็นขึ้นมาแวบหนึ่งในตอนที่มองเธอ ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็วในตอนที่เขาลุกขึ้นยืน ชิดหทัยเงยหน้ามองสบตาเขาที่มองต่ำลงมาประสานสายตากับเธอ “และฉันจะบอกเธออีกเป็นครั้งสุดท้ายนะชิดหทัย...ฉันจะไม่เป็นคนไปพูดเรื่องพวกนี้กับคุณแม่เอง ถ้าเธออยากจะถอนหมั้น คนที่เธอควรจะเจรจาไม่ใช่ฉันแต่เป็นแม่ของฉัน”
“…”
“เพราะท่านเป็นคนสั่งให้ฉันหมั้นกับเธอเอง”