รถคันหรูแล่นไปตามถนนแสงไฟจากตึกสูงระฟ้าส่องสว่างไปทั่ว มินตรามองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาเหม่อลอยไปกับภาพทิวทัศน์ที่กำลังเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในใจของเธอเต็มไปด้วยความสับสนและความกังวล หญิงสาวไม่รู้เลยว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะนำพาชีวิตของเธอไปในทิศทางใด แต่ที่แน่ๆ คือมันจะไม่มีทางเหมือนเดิมอีกต่อไป
เมื่อรถแล่นพ้นจากเขตเมือง เข้าสู่ถนนชนบทที่มืดมิด มินตราก็รู้สึกถึงความคุ้นเคยที่ทำให้ใจสงบลงเล็กน้อย แต่ความกังวลก็ยังคงเกาะกุมอยู่ในใจ เธอจะอธิบายเรื่องนี้กับป้าจันทร์และลุงชิดอย่างไรดี จะโกหกได้แนบเนียนแค่ไหน และท่านทั้งสองจะเชื่อเธอหรือไม่
ไม่นานนัก รถก็มาจอดเทียบหน้าบ้านไม้หลังเล็กที่คุ้นเคย แสงไฟจากหน้าต่างบ้านส่องออกมา ทำให้รู้ว่าป้าจันทร์กับลุงชิดยังรอเธออยู่แม้จะผ่านมาหลายชั่วโมงก็ตาม
เมื่อเห็นท่านทั้งสองเป็นห่วงเธอมากขนาดนี้เธอก็คิดว่าเรื่องที่ตัดสินใจทำนั้นถูกแล้วเธอทำเพื่อผู้มีพระคุณทั้งสองคน แต่ในใจก็ยังรู้สึกผิดเพราะมินตราไม่เคยต้องโกหกลุงชิดกับป้าจันทร์มาก่อนเลยในชีวิต
“ป้าจันทร์ ลุงชิดมินกลับมาแล้วค่ะ” มินตราเรียกชื่อท่านทั้งสองด้วยน้ำเสียงสั่น
ป้าจันทร์และลุงชิดรีบเปิดประตูออกมายืนต้อนรับด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง
"มิน เป็นยังไงบ้างพวกเขาทำอะไรหนูหรือเปล่า หนูหายไปนานป้าเป็นห่วงแทบแย่” ป้าจันทร์เดินลงมาหาและโอบกอดมินตราแน่น น้ำเสียงสั่นเครือด้วยความโล่งอก
"ป้าจันทร์คะ มินขอโทษค่ะ" มินตรากอดตอบป้าจันทร์แน่น พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมา
“แล้วนี่ใครกันจ๊ะลูก” ลุงชิดเอ่ยถามอย่างสุภาพ พลางมองชายชุดสูทที่ยืนอยู่ไม่ไกล
“สวัสดีครับคุณลุงคุณป้า ผมเป็นคนของคุณสันติครับ พอดีมีเรื่องสำคัญที่จะต้องเรียนให้ทราบ” ชายชุดสูทกล่าวแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ
ป้าจันทร์และลุงชิดหันไปมองหน้ากันด้วยความสงสัย
“มีเรื่องอะไรหรือจ๊ะ” ป้าจันทร์ถามด้วยน้ำเสียงกังวล
มินตราตัดสินใจที่จะพูดความจริงเท่าที่เธอจะบอกได้ โดยไม่ให้รายละเอียดทั้งหมดที่อาจจะทำให้ท่านทั้งสองตกใจ
“ป้าจันทร์คะ ลุงชิดคะ มินจะต้องไปทำงานที่กรุงเทพฯ ค่ะ” มินตราเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้มั่นคงที่สุด
“ไปทำงานอะไรกันจ๊ะลูก อยู่ๆ ทำไมถึงต้องไป” ลุงชิดถามด้วยความแปลกใจ
“คือมินมีน้องสาวฝาแฝดใช่ไหมคะ” มินตราถามกลับ เพื่อปูทางไปสู่เรื่องราวที่จะบอก
“ใช่จ้ะ ทำไมหรือลูก”
“พอดีว่าน้องสาวของมินเธอไม่ค่อยสบายค่ะ แล้วมีเรื่องงานสำคัญที่ต้องทำ มินเลยต้องไปทำหน้าที่แทนเธอไปก่อน” มินตราก้มหน้าหลบสายตาของท่านทั้งสอง เธอรู้สึกผิดที่ต้องโกหกแต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น
ป้าจันทร์และลุงชิดมองหน้ากันด้วยความตกใจระคนสงสัย แต่เมื่อเห็นแววตาจริงจังของมินตราก็เริ่มเชื่อในสิ่งที่เธอพูด
“จริงหรือลูก แล้วน้องสาวของหนูเป็นอะไรมากหรือเปล่าจ๊ะ” ป้าจันทร์ถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วง
“ไม่เป็นไรมากหรอกค่ะป้าจันทร์ แค่ต้องการพักผ่อนเยอะๆ ค่ะ มินต้องไปช่วยงานแทนเธอไปก่อนค่ะ อาจจะต้องไปอยู่กรุงเทพฯ สักพักใหญ่ๆ”
“แล้วเรื่องโรงเรียนล่ะจ๊ะลูก” ลุงชิดถามด้วยความเป็นห่วงงานของมินตรา
“ทางนี้เดี๋ยวผมจะจัดการเรื่องให้ครับคุณลุงคุณป้า ไม่ต้องเป็นห่วงครับ”
ชายชุดสูทรีบเอ่ยเสริม ทำให้ป้าจันทร์และลุงชิดคลายความกังวลลงได้บ้าง
“แล้วหนูจะไปเมื่อไหร่ล่ะจ๊ะ” ป้าจันทร์ถามน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียใจที่จะต้องห่างจากลูกสาว
“พรุ่งนี้มินขอไปบอกนักเรียนที่โรงเรียนก่อนค่ะ แล้วก็เก็บของที่จำเป็น วันมะรืนนี้เขาจะมารับมินไปกรุงเทพฯค่ะ” มินตราตอบ
ป้าจันทร์และลุงชิดมองหน้ากันอีกครั้ง แม้จะยังคงมีคำถามมากมายอยู่ในใจแต่เมื่อเห็นแววตาที่มุ่งมั่นของมินตรา และเห็นว่าเธอไม่ได้ถูกบังคับให้ไป ก็ยอมรับในการตัดสินใจของเธอ
เมื่อชายชุดสูทกลับไปแล้ว มินตราก็เล่ารายละเอียดเท่าที่เธอจะสามารถบอกได้ให้กับป้าจันทร์และลุงชิดฟังอีกครั้ง เธอเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องไปทำงานแทนน้องสาวที่ป่วย และเธอหวังว่าท่านทั้งสองจะเชื่อในสิ่งที่เธอพูด
เช้าวันรุ่งขึ้นมินตราตื่นแต่เช้า เธอช่วยป้าจันทร์ทำอาหารเช้าตามปกติแต่วันนี้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารกลับเงียบเหงากว่าทุกวัน
“ป้าจันทร์คะ ลุงชิดคะ มินไปโรงเรียนก่อนนะคะ” มินตราบอกลาท่านทั้งสองด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้เป็นปกติที่สุด
“ขับรถดีๆ นะลูก แล้วดูแลตัวเองดีๆ นะจ๊ะ” ป้าจันทร์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรักและความห่วงใยเหมือนทุกครั้งที่เธอขับรถออกจากบ้าน
เมื่อมาถึงโรงเรียน เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กๆ ที่กำลังเล่นกันอยู่ในสนามก็ดังขึ้น มินตรารู้สึกใจหายเมื่อคิดว่านี่อาจจะเป็นวันสุดท้ายที่เธอจะได้ใช้ชีวิตแบบนี้ เธอเดินไปที่ห้องเรียน เด็กๆ วิ่งเข้ามาทักทายเธอด้วยรอยยิ้มสดใส
มินตราส่งยิ้มกว้างทักทายพร้อมลูบศีรษะเด็กๆ อย่างอ่อนโยน เธอใช้เวลาตลอดทั้งวันในการสอนเด็กๆ อย่างเต็มที่ และพยายามจดจำภาพรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของพวกเขาไว้ในใจ เพราะเธอไม่รู้ว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกเมื่อไหร่
ในช่วงท้ายชั่วโมงเรียน มินตราตัดสินใจที่จะบอกเด็กๆ เรื่องที่เธอจะต้องไปจากพวกเขาชั่วคราว
“เด็กๆ จ๊ะ วันนี้ครูมีเรื่องจะบอก” มินตรากล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน ทำให้เด็กๆ หันมามองเธอด้วยความสงสัย
“ครูจะต้องไปทำงานที่กรุงเทพฯ สักพักหนึ่งนะจ๊ะ แต่ครูจะกลับมาแน่นอน” มินตราพยายามที่จะอธิบายให้เด็กๆ เข้าใจง่ายที่สุด
เด็กๆ บางคนเริ่มทำหน้าเศร้า บางคนก็เริ่มถามคำถาม
“ครูจะไปนานแค่ไหนครับ” เด็กคนหนึ่งถามขึ้น
“ครูไม่แน่ใจจ้ะ แต่ครูจะคิดถึงพวกเธอทุกคนนะจ๊ะ” มินตรากล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ เธอรู้สึกผูกพันกับเด็กๆ เหล่านี้มาก
เมื่อเลิกเรียน มินตราใช้เวลาพูดคุยกับเพื่อนครู เพื่อฝากฝังงานและบอกกว่าตนเองจะต้องไปจากโรงเรียนชั่วคราว เพื่อนครูต่างก็แปลกใจและสอบถามรายละเอียด แต่เธอก็บอกเพียงว่าเธอมีเหตุจำเป็นต้องไปทำงานที่กรุงเทพฯและจะกลับมาถ้าทุกอย่างเรียบร้อย
เมื่อกลับถึงบ้าน เธอช่วยป้าจันทร์ทำอาหารและนั่งคุยกับลุงชิดถึงเรื่องราวต่างๆ เหมือนเช่นทุกวัน
แต่ในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ปนเปกันระหว่างความเศร้าและความหวัง เธอรู้ดีว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอไปตลอดกาล แต่เธอก็เชื่อว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเพื่อคนที่เธอรัก และเพื่อปลดเปลื้องภาระอันหนักอึ้งที่คอยบีบคั้นชีวิตของท่านทั้งสอง
ในคืนนั้นมินตรานอนไม่หลับ เธอพลิกตัวไปมาบนเตียง พยายามหลับตาลง แต่ภาพของคฤหาสน์หลังใหญ่ ใบหน้าของคุณสันติและคำพูดของเขาที่ว่าเธอจะต้องสวมรอยเป็นมันตรายังคงวนเวียนอยู่ในความคิด เธอไม่รู้ว่าชีวิตในวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร แต่เธอก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม