เสียงนาฬิกาที่ตั้งเอาไว้ดังขึ้นรบกวน พร้อมกับแสงของเช้าวันใหม่ที่สาดเข้ามาในห้อง ปลุกให้เจ้าของใบหน้าหวานค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นอย่างเชื่องช้า เพดานสีขาวคือภาพแรกที่ปรากฏในสายตา หมวยลี่ยกมือขึ้นป้องปาก หาววอดๆ ไปหนึ่งที ก่อนจะใช้แขนยันตัวเองลุกขึ้นนั่งบนเตียง
วันนี้เธอมีเรียนสิบโมงเช้าจึงสามารถตื่นสายได้ สิ่งแรกที่ทำหลังตื่น ไม่ใช่รีบลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว แต่เป็นการเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กก่อน
แชต: โมมายด์
หมวยลี่: มายด์ว่าลี่เจาะสะดือดีไหม
หมวยลี่: เมื่อคืนไถหน้าฟีตเจอคนเจาะ จิวสวยมากเลย
Read
ข้อความขึ้นมาว่าถูกเปิดอ่านแล้ว แต่เพื่อนสนิทยังไม่ยอมตอบกลับ หากให้คาดเดา ตอนนี้โมมายด์คงกำลังช็อกกับประโยคที่เธอพิมพ์ส่งไปเมื่อครู่
หมวยลี่: มายด์อย่าเพิ่งช็อกสิ ลี่จริงจังนะ
โมมายด์: หัวใจจะวาย หมายถึงแกน่ะหรอจะใส่จิว
หมวยลี่: อื้อ เจ็บไหม มายด์ก็ใส่นี่
โมมายด์: แกดื้อแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรเนี่ยลี่
หมวยลี่: เห็นว่ามันสวยดี
โมมายด์: อือ ถ้ามันอยู่บนตัวแกคนที่ได้เห็นคงเลือดกำเดาไหลแน่
หมวยลี่: เกินไปแล้ว
เธอไม่ใช่คนเรียบร้อย เพียงแค่อ่อนน้อมกับผู้ใหญ่และวางตัวดีต่อหน้าคนอื่น ทำให้บุคลิกเป็นแบบนั้น ความจริงเธอก็เป็นแบบผู้หญิงทั่วไป แถมยังมีนิสัยชอบทำตามเวลาเจออะไรที่น่าสนใจตอนเลื่อนดูฟีตในโซเชี่ยล
มีครั้งหนึ่งที่เธออยากสักรูปเสี้ยวพระจันทร์ตรงสีข้าง แต่ถูกซานห้ามเอาไว้ รายนั้นแทบจะกราบขอร้องกันเลยทีเดียว โดยให้เหตุผลว่าไม่อยากให้ผิวสวยๆ เป็นรอย
หมวยลี่มองเวลาบนหน้าจอ เธอวางโทรศัพท์เอาไว้ จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปหยิบผ้าขนหนูหายเข้าไปในห้องน้ำ หลังจากแต่งตัวในชุดนักศึกษาเรียบร้อย เธอก็ตรงไปยังบ้านใหญ่ เพื่อช่วยแม่จัดเตรียมโต๊ะอาหารอย่างทุกวันก่อนออกไปมหาวิทยาลัย
“จะไปเรียนแล้วใช่ไหม” ไกรวิญช์ที่นั่งบนมุมโต๊ะอาหาร เอ่ยถาม
“ค่ะคุณท่าน”
“ติดรถค่ายไปสิ เห็นว่าจะเข้าไปสนาม ไหนๆ ก็เป็นทางผ่านพอดี”
“ไม่เป็นไรค่ะ ลี่เรียกรถเอาไว้แล้ว”
“คนคุ้นเคย ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้นก็ได้”
หัวใจดวงน้อยหล่นวูบ เมื่อได้ยินคำพูดของค่ายที่นั่งบนโต๊ะอาหาร คล้ายว่าเขาจงใจเอ่ยคำกำกวมออกมาเพื่อให้เธอเสียอาการ
และมันก็ได้ผลอย่างดี
“ลี่มีเรียนเช้าค่ะ ถ้ารอเฮียคงไปไม่ทัน”
“อ่า งั้นสินะ”
“ขอตัวนะคะคุณท่าน” ร่างเล็กยกมือไหว้ผู้ใหญ่ ก่อนจะหันมาไว้แม่ และปิดท้ายด้วยการไหว้ร่างสูงที่กำลังจับจ้องเธออย่างไม่ยอมลดละ จากนั้นก็รีบเดินออกจากห้องอาหารทันที
ระหว่างเดินตรงไปยังประตูบานใหญ่ บังเอิญเจอกับจูน ทั้งสองคนเอ่ยคำทักทายกันตามปกติ
“อ้าวลี่ จะไปเรียนแล้วหรอ”
“ค่ะพี่จูน” เธอตอบลูกสาวของแม่บ้านอีกคนที่คุ้นเคยกันอย่างดีตั้งแต่เด็ก
“เป็นอะไรถึงได้หน้าแดงขนาดนั้น”
“ปะ เปล่าค่ะ ลี่แค่วิ่งออกมาจากบ้านเพราะกลัวไปเรียนสาย” เธอลนลานรีบหาข้ออ้างมาปกปิดความรู้สึกสั่นไหวในหัวใจ “ขอตัวก่อนนะคะ”
ช่วงบ่ายแก่ๆ หลังเลิกเรียน ร่างเล็กรีบเดินออกมารอรถที่หน้ามหาวิทยาลัยเหมือนเคย วันนี้เธอต้องแวะเข้าไปทำความสะอาดเพนท์เฮ้าส์ให้ค่ายก่อนกลับบ้าน เพียงแค่คิดถึงสิ่งที่จะเจอ หัวใจดวงน้อยก็เต้นแรงขึ้น
ระหว่างที่กำลังยืนรอรถอยู่ สายจากไกรวิญช์ก็ดังเข้ามา ทำให้หมวยลี่อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ เพราะโดยปกติแล้ว ท่านแทบไม่เคยโทรหาเธอเลยด้วยซ้ำ หมายความว่าคงมีเรื่องด่วนหรือร้อนใจมากจริงๆ
“ฮัลโหลค่ะคุณท่าน”
( ช่วงนี้ลูกชายฉันค่อนข้างแปลก ดูเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ในหัวตลอดเวลา ฝากหนูช่วยดูทีได้ไหม )
“…….” ครั้งก่อนเธอก็ถูกขอร้องให้คอยสอดส่อง ครั้งนี้ไกรวิญช์ดูจะเป็นกังวลมากจนเธอสัมผัสได้จากน้ำเสียง
( อาจจะผิดที่ตัวฉันกลัวว่าลูกจะกลับไปหาผู้หญิงคนนั้น บอกตามตรงว่าตอนนี้ฉันเดาใจไม่ถูกเลยจริงๆ )
คำฝากฝังทำให้ริมฝีปากบางค่อยๆ เม้มเข้าหากันเดี๋ยวนั้น และมีเพียงคำตอบเดียวที่เด็กกตัญญูอย่างหมวยลี่จะเอ่ยออกไปได้
“ลี่จะช่วยดูให้นะคะ”
( หนูรับปากแบบนี้ฉันก็สบายใจ )
หลังจากวางสาย หมวยลี่ก็จ้องหน้าจออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนนิ้วเรียวจะค่อยๆ แตะที่ชื่อแชตของเจ้าของเพนท์เฮ้าส์คนที่เธอกำลังจะไปเจอ
แชต: ค่าย
หมวยลี่: ลี่กำลังจะเข้าไปทำความสะอาดเพนท์เฮ้าส์ให้
หมวยลี่: ตอนนี้เฮียอยู่สนามหรือห้องคะ
ห้านาทีผ่านไป สิบนาทีก็แล้ว แต่ข้อความยังคงไร้การตอบกลับ แม้แต่สถานะอ่านแล้วก็ยังไม่ขึ้น หมวยลี่เริ่มลังเลว่าจะไปเพนท์เฮ้าส์ตอนนี้เลยดีไหม หรือควรรอให้เจ้าของห้องตอบกลับมาก่อนจะดีกว่า
แต่เพราะกลัวว่าจะค่ำมืดซะก่อน เธอจึงตัดสินใจปุบปับ การอยู่กับค่ายสองต่อสองค่อนข้างเป็นอันตราย ถึงยังไงเธอก็ต้องเข้าไปทำความสะอาดอยู่แล้ว คงไม่มีปัญหาอะไร
@เพนท์เฮ้าส์
หมวยลี่เดินมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูบานใหญ่ แขนเล็กค่อยๆ ยกขึ้นเพื่อจะกดออดเรียก ทว่าในจังหวะนั้น ประตูกลับถูกเปิดออกซะก่อน
สมองพลันขาวโพลนไปชั่วขณะ เมื่อสายตาประจันเข้ากับใบหน้าอดีตคนรักของค่ายที่ก้าวออกมาจากภายในห้อง ร่างทั้งร่างคล้ายถูกแช่แข็งด้วยอุณหภูมิที่ลดต่ำจนติดลบ จนแข็งทื่อไม่สามารถขยับได้
เธอได้แต่มองผู้หญิงของค่ายเดินผ่านไป ไม่มีคำพูดใดๆ มีเพียงสายตาดูถูก ที่อีกฝ่ายใช้มองเธอทุกครั้งที่เจอกัน ไม่เคยเปลี่ยน
กลางอกข้างซ้ายเจ็บหนึบ และสับสน ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงเข้ามาอยู่ในเพนท์เฮ้าส์ได้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ตอนนี้ ในวันที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ควรจะจบลงแล้ว ทำไมเธอถึงยังมีสิทธิ์กลับเข้ามาในห้องนี้อีก
ในใจเกิดคำถามมากมาย แม้ลึกๆ จะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว
เพราะเธอคือคนที่ค่ายรัก ต่อให้เขาเจ็บปวดเพราะเธออีกกี่ครั้ง ก็ยังมีสิทธิ์
เมื่อคิดได้แบบนั้น หัวใจของหมวยลี่ก็พลันรัดแน่นขึ้นมาอย่างเจ็บปวด คล้ายถูกบีบด้วยมือของคนที่ชอบเล่นกับความรู้สึกเธอ
ร่างเล็กค่อยๆ ยกขาที่หนักอึ้งราวกับถูกกดทับ ก้าวผ่านเข้ามาภายในห้อง ดวงตากลมสะท้อนภาพแผ่นหลังกว้างของค่ายที่กำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ริมระเบียง เพียงแค่มองจากตรงนี้ ก็รับรู้ได้ทันทีว่าเขากำลังไม่พอใจ อารมณ์ขุ่นมัวแผ่กระจายอยู่รอบตัว
เธอไม่รู้ตัวเองเลย ว่ายืนมองแผ่นหลังกว้างนั้นนานเท่าไร พอเห็นค่ายทิ้งบุหรี่ในมือถึงได้มีสติ และตอนนี้เธอกำลังถามกับตัวเองว่าควรพูดอะไร ทำตัวยังไง เมื่อเขาแทรกผ่านประตูระเบียงเดินกลับเข้ามาภายในห้อง
“คือลี่….”
“มีหน้าที่อะไรก็ไปทำ” แววตาที่เคยให้ความสนใจในตัวเธออย่างทุกครั้ง วันนี้กลับเปลี่ยนไปจากเดิม มันทั้งว่างเปล่าและเย็นชา ราวกับว่าเธอเป็นแค่ใครสักคนที่เขาไม่เคยเหลียวมอง
“…เธอมาทำไมคะ” หมวยลี่รู้ดีว่าเธอกำลังทำตัววุ่นวาย แต่สิ่งที่ปะทุภายในใจทำให้อดตั้งคำถามออกไปไม่ได้
“อยากรู้ไปทำไม? จะเอาไปรายงานพ่อฉันหรือไง”
คำถามย้อนกลับมานั้นทำให้คนฟังต้องบีบมือแน่น ใจหายวาบ เขาฉลาดมากกว่าที่คิด และเหมือนจะรู้ตัวว่าผู้เป็นพ่อสั่งให้เธอคอยจับตาดูพฤติกรรมอยู่ห่างๆ
“รีบคาบข่าวไปฟ้องซะสิ”
“เฮีย”
“อย่ามากวนใจ ตอนที่ฉันอารมณ์ไม่ดี”
เธอไม่ชอบเลยที่ถูกเขาเล่นกับความรู้สึก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ ว่าลึกๆ แล้ว เธอชอบตอนที่เขาใส่ใจมากกว่าเมินเฉย โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าความเงียบที่เกิดขึ้น เป็นเพราะผู้หญิงคนนั้น
หมวยลี่เริ่มรู้แล้วว่าความรู้สึกของตัวเองกำลังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่าเธอชอบให้เขาสนใจ ชอบเวลาที่มีตัวตนอยู่ในสายตา
“ยืนทื่ออยู่ทำไม รีบทำแล้วก็รีบกลับไป”
เสียงทุ้มต่ำที่ตวาด เขาสาดความหงุดหงิดใส่อย่างไม่แยแส ทำให้ร่างเล็กหลุดจากวังวนความคิด เธอมองไปทางค่ายนิ่งๆ มือเล็กกำแน่นขึ้น
“ถ้าวันนี้เฮียหงุดหงิดที่เห็นลี่อยู่ในห้อง เอาไว้ลี่จะมาทำความสะอาดให้วันหลังนะคะ”
“ตามใจ”
เมินเฉย
“ลี่กลับแล้วนะคะ”
“อืม”
และเฉยชา…เธอไม่ชอบเลยจริงๆ
หมวยลี่หันหลังให้กับร่างสูง ก่อนจะเดินตรงไปยังบานประตู หัวใจของเธอกำลังรู้สึกชาหนึบ ในหัวเอาแต่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นกลับมาทำไม ทั้งที่รู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ แต่เธอกำลังหวงเขาจนคิดฟุ้งซ่านมากมาย
ความคิดหลั่งไหลเข้ามาในหัว การรักษาบาดแผลที่เขาเคยร้องขอให้ช่วย มันจะคุ้มค่าแค่ไหนกัน หากเดิมพันในครั้งนี้ไม่ใช่แค่ร่างกาย แต่คือหัวใจและทั้งหมดของความรู้สึกที่มี
สุดท้ายแล้ว ถ้าสิ่งที่เธอได้รับจากเขา คือรอยแผลที่ถูกทิ้งไว้ ถ้าร่างกายและหัวใจต้องเต็มไปด้วยร่องรอยของความเจ็บปวดจากเขา เธอยังจะยอมรับมันไว้ด้วยความเต็มใจหรือเปล่า