บทที่4 งอน

3057 Words
เช้าวันนี้คฤหาสน์หัสวอนันต์ดูครึกครื้นมากกว่าทุกวันเพราะ… “พี่น้อยหน่าาาา จันทร์ใส่ชุดนี้ดูเป็นยังไงบ้างๆ” คนตัวเล็กกล่าวถามอย่างตื่นเต้นพร้อมกับหมุนกายไปมาอยู่หน้ากระจก เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงขากระบอกสีครีมทำให้จันทร์เจ้ายิ่งดูน่ารักขึ้นเป็นเท่าตัว แต่ที่มาของความน่ารักจริงๆ อาจจะเป็นรอยยิ้มสวยที่ประดับอยู่บนใบหน้า “น่ารักมากค่ะคุณจันทร์” น้อยหน่าเอ่ยชมผู้เป็นเจ้านาย คุณจันทร์ในตอนนี้น่ารักมากๆ นานแล้วที่ไม่ได้เห็นคนตัวเล็กมีรอยยิ้มแบบนี้ น้อยหน่าเป็นสาวรับใช้ที่บ้านของคุณหญิงลดา เมื่อท่านเสียจึงขอติดตามมาดูแลคุณหนูจันทร์เจ้าผู้เป็นหลานรักของคุณหญิงลดา อีกอย่างเธอก็เห็นคุณหนูมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วด้วย เรื่องภายในครอบครัวนิติธาราก็พอจะรู้มาบ้าง รู้ว่าคุณหนูจันทร์เจ้าไม่ใช่คนโปรดของผู้เป็นบิดามารดา ต่างกับคุณหนูน่านฟ้าผู้เป็นพี่ชาย จันทร์เจ้าหมุนกายไปมาอีกสองสามทีก็คว้ากระเป๋าใบเล็กสีดำขึ้นมาสะพาย เขาพร้อมแล้ววววว วันนี้ไปบริษัทคุณสามี~ ร่างสูงของพระรามละสายตาจากแท็บเล็ตตรงหน้า ก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมองคนตัวเล็กที่เพิ่งเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะอาหาร เขาจ้องไปที่รอยยิ้มสวยบนใบหน้าของผู้เป็นภรรยาก่อนจะยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย เหมือนแมวจริงๆ จากที่ไม่เคยสนใจและรู้สึกรำคาญทุกครั้งที่ได้พบหน้า ก็เปลี่ยนเป็นเริ่มสนใจ อาจจะเพราะท่าทีหลายๆ อย่างของคนตรงหน้าที่เปลี่ยนไปด้วยละมั้ง เด็กก้าวร้าวเอาแต่ใจที่เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนทำให้ในบางครั้งเขาก็นึกเอ็นดู เด็กน้อยที่วิ่งมารับเสื้อสูทของเขาทุกครั้งที่กลับบ้าน และในบางครั้งก็ชอบมาออดอ้อนราวกับลูกแมวที่รอเล่นกับเจ้าของ “กินดีๆ” พระรามเอ่ยเสียงเรียบเมื่อเห็นซอสเลอะมุมปากคนตัวเล็ก “เดี๋ยวค่อยเช็ด” กล่าวจบก็งับขนมปังเข้าไปอีกคำ พระรามส่ายหัวเล็กน้อยก่อนจะหยิบทิชชูไปเช็ดมุมปากให้กับคนที่กินไม่ระวัง “กินเลอะเป็นเด็ก” “ยิ่งเลอะยิ่งเยอะประสบการณ์” เถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้แม้จะได้รับสายตาดุๆ กลับมา ดุเก่งจังเลยน้าา เมื่อทั้งคู่จัดการมื้อเช้าเสร็จก็ได้เวลาออกไปบริษัทหัสวอนันต์…จันทร์เจ้าตื่นเต้นที่จะได้ออกไปข้างนอกเป็นครั้งแรกจึงรีบร้อนเปิดประตูรถเข้าไปนั่งด้านใน ทำเอานทีซึ่งเป็นคนขับรถชะงักนิ่งไป ร่างสูงใหญ่พยักหน้าให้เป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร เห็นดังนั้นนทีจึงขึ้นรถไปประจำตำแหน่งของตน รถเก๋งคันสีขาวเคลื่อนออกจากคฤหาสน์หลังงามไปบนท้องถนนในความเร็วคงที่ คนตัวเล็กที่ได้ออกมาข้างนอกเป็นครั้งแรกเบิกตากว้างกับทิวทัศน์สองข้างทาง พระรามชำเลืองมองคนข้างๆ อย่างครุ่นคิด… “...โอ้โห” คนตัวเล็กเผลอส่งเสียงร้องออกมาเมื่อเห็นการคมนาคมในโลกใหม่ที่เขามาอยู่ เพราะการคมนาคมที่เป็นระบบระเบียบทำให้ลดการเกิดรถติด ไหนจะตึกสูงเฉียดฟ้าที่มีรูปทรงแปลกตานั่นอีก จันทร์เจ้าอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นกับสิ่งเหล่านี้ เอาเป็นว่ามีทุกอย่างคล้ายกรุงเทพฯ แหละ แต่ดูมีความพัฒนาขึ้นกว่าโลกเดิมของเขามากๆ อาจจะเพราะที่นี่มีรัฐบาลที่ดีก็ได้มั้ง… ใช้เวลาเพียงไม่นานรถเก๋งคันสีขาวก็ขับเข้ามาจอดที่ชั้นจอดรถวีไอพีของตึกสูงแห่งหนึ่ง ซึ่งจันทร์เจ้าเดาว่าที่นี่คงเป็นบริษัทหัสวอนันต์ของสามีเขาแน่ๆ เพราะช่วงขาที่ต่างกันทำให้ร่างเล็กก้าวตามผู้เป็นสามีไม่ทัน เมื่อจันทร์เจ้าเห็นว่าถ้าขืนยังเป็นแบบนี้ได้ตามไม่ทันแล้วหลงทางแน่ๆ จึงตัดสินใจเปลี่ยนจากก้าวเดินเป็นออกวิ่ง แล้วก็เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาวิ่ง จึงไม่ทันเห็นว่าพระรามได้หยุดรอตัวเองอยู่ เหตุการณ์ไม่คาดฝันจึงเกิดขึ้นเมื่อจันทร์เจ้าวิ่งชนคนตัวสูงเข้าอย่างจัง แรงปะทะทำเอาคนทั้งคู่ล้มลงไปกองกับพื้น จันทร์เจ้าหลับตาแน่นอย่างตกใจ แต่เมื่อรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้นอนอยู่บนพื้นแข็งๆ จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา นั่นทำให้เขาได้สบเข้ากับดวงตาคมของคนที่เขานอนทับอยู่ ก็ว่าทำไมถึงไม่เจ็บ… “บอสสส” ผู้เห็นเหตุการณ์ร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ ในตอนนั้นเองจันทร์เจ้าถึงเข้าใจคำว่าไทยมุง (แม้ที่นี่จะไม่ใช่ประเทศไทย) ร่างสูงใหญ่ของพระรามค่อยๆ ดันตัวคนที่นอนทับตัวเองออกช้าๆ ดวงตาคมมองสำรวจหารอยแผลหรือรอยฟกช้ำจากคนเซ่อซ่าตรงหน้า ดีแค่ไหนที่เขารับไว้ทัน วิ่งมองแต่พื้นแบบนั้นถ้าไม่ชนเขาก็คงได้ไปชนพนักงานสักคน “ไม่มีอะไร แยกย้ายกันไปทำงานได้” เมื่อผู้เป็นเจ้านายกล่าวแบบนั้น ทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน แต่ก็ไม่วายได้ยินเสียงซุบซิบตามมา “ทำไมวันนี้คุณจันทร์มาที่บริษัทบอสล่ะแก” “ไม่รู้สิ แต่เราอย่าไปอยู่ใกล้เลย เดี๋ยวได้โดนวีนใส่” “นั่นสิ แค่นี้ก็ทำวุ่นวายแต่เช้าแล้ว” “...” คนตัวเล็กเม้มปากแน่นเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นอย่างชัดเจน แม้จะไม่ได้หมายถึงตัวเขาที่แท้จริงแต่ก็อดรู้สึกเสียใจไม่ได้ จันทร์เจ้าคนเก่าเอาแต่ใจและนิสัยไม่ดีอย่างที่เขานินทากันจริงๆ นั่นแหละ แต่ใครเล่าจะรู้ว่ามันก็เป็นแค่เปลือกนอกที่จันทร์เจ้าได้สร้างขึ้นมา ใช่…สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นกำแพงปกป้องตัวเอง เพราะไม่อยากให้ใครเห็นว่าตัวเองอ่อนแอ ไม่มีใครรัก ไม่มีใครสนใจ ไม่อยากให้มีใครมารู้สึกสมเพช เลยเลือกวิธีแสดงออกแบบนั้น ถึงแม้จะรู้ว่าผลลัพธ์ที่ตามมามันไม่ดีก็ตาม ดวงตากลมโตวูบไหวเล็กน้อยเมื่อปล่อยความคิดให้ไหลล่องลอยไป เป็นพระรามเองที่เห็นและได้ยินทุกอย่างขยับกายเข้ามาประชิด ก่อนมือหนาจะยกขึ้นวางบนศีรษะคนที่ตัวเล็กกว่า จันทร์เจ้าเหมือนหลุดออกจากห้วงความคิด ใบหน้าหวานค่อยๆ เงยขึ้นมองคนที่วางมืออยู่บนหัว “พี่ราม…” เสียงที่เปล่งออกมาสั่นไหวจนตัวเขาเองยังตกใจ เขาในโลกเดิมไม่เซนซิทีฟแบบนี้หรอก แต่เพราะมาอยู่ในร่างของจันทร์เจ้า ทำให้เขาได้รับรู้ถึงความรู้สึกของร่างนี้ เขาถึงรู้ไงว่าจริงๆ แล้วจันทร์เจ้าคนเก่าน่ะเปราะบางแค่ไหน… “อดีตที่ผ่านมาแล้วมันกลับไปแก้ไขไม่ได้หรอกนะ สิ่งที่ควรทำคือการทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เธอไม่สามารถวิ่งหนีอดีตของตัวเองได้ ในขณะเดียวกันถ้าเธอทำปัจจุบันให้มันดี แม้มันจะไม่สามารถลบล้างเรื่องราวไม่ดีในอดีตได้ แต่มันทำให้คนเปลี่ยนมุมมองได้นะ” ประโยคสุดท้ายจบลงพร้อมกับมือที่ขยับลูบไปมาบนศีรษะคนตัวเล็ก ความรู้สึกที่เหมือนมีฝนตกในใจหายไปเมื่อจันทร์เจ้าได้ยินประโยคปลอบโยนจากคนตัวสูงตรงหน้า นั่นสิ…ในเมื่อเขาไม่สามารถวิ่งหนีสิ่งที่จันทร์เจ้าคนเก่าเคยทำไว้ได้ งั้นเขาที่เป็นจันทร์เจ้าคนใหม่ก็จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อลบคำครหาพวกนั้น ทุกคนจะต้องมองจันทร์เจ้าคนนี้ใหม่! เพราะเขาจะเป็นจันทร์เจ้าที่น่ารักน่าเอ็นดู! คอยดูเลยนะ! ร่างเล็กบอบบางเดินตามพระรามต้อยๆ เหมือนเด็กตัวเล็กๆ ในบางครั้งที่ก้าวขาตามไม่ทันก็ฉวยจับที่เสื้อสูทสีเข้มที่ร่างสูงสวมใส่ พระรามเหลือบมองแต่ไม่ได้ว่าอะไร ในระหว่างทางก็มีพนักงานออกมาก้มหัวทักทายเต็มไปหมด จันทร์เจ้าเพิ่งรู้ว่าจริงๆ แล้วมันมีลิฟต์วีไอพีเฉพาะผู้บริหารที่สามารถขึ้นไปชั้นบนสุดได้เลย แต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมผู้เป็นสามีถึงพาเขาเข้ามาทางนี้ (พี่นทีคนขับรถกระซิบมาว่าปกติอีตาพี่รามจะใช้ลิฟต์วีไอพี) ทันทีที่เข้ามาในห้องทำงานของผู้บริหารหัสวอนันต์ ดวงตากลมโตสีน้ำตาลก็ถือโอกาสมองสำรวจไปรอบๆ ห้องด้วยความสนใจ จันทร์เจ้าประทับใจทิวทัศน์เบื้องหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ของพระรามที่สุด เพราะมันสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองนี้ด้วย ตอนเป็นจันทร์เจ้าที่โลกเดิมเขาไม่เคยได้เห็นอะไรแบบนี้เลย ต้องเรียกว่าไม่มีโอกาสได้เห็นแบบนี้เลยดีกว่า การจะได้มาอยู่บนตึกสูงๆ แบบนี้อย่างน้อยก็ต้องมีเงิน มีหน้าที่การงานที่ดี เด็กกำพร้าอย่างเขาที่เงินเดือนน้อยนิดทำได้แค่เงยหน้ามองท้องฟ้ากับตึกสูงเท่านั้นแหละ คนตัวเล็กเบะปากเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเรื่องราวของตัวเอง เหอะ! ชีวิตลำบากไม่พอยังมีรัฐบาลที่…ฮึ่ย! ไม่พูดดีกว่า ร่างสูงใหญ่นั่งลงก่อนจะขยับเนกไทเล็กน้อย ดวงตาคมยังคงจับจ้องอยู่ที่คนตัวเล็กที่เดินมองนู่นมองนี่ในห้องของเขาไม่หยุด ไม่รู้ว่าจะตื่นเต้นอะไรนักหนา ทำเหมือนไม่เคยมา หืม เหมือนไม่เคยมา… “วิวสวย” เสียงหวานเอ่ยขึ้นทันทีเมื่อได้มองทิวทัศน์ตรงหน้าอย่างชัดๆ “ชอบเหรอ” พระรามถาม “ก็ต้องชอบสิ เพิ่งจะเคยได้มองวิวจากมุมสูงๆ แบบนี้ครั้งแรก” จันทร์เจ้าตอบ ก่อนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเผลอหลุดพูดอะไรออกไป มือเล็กรีบยกขึ้นปิดปากอย่างตื่นตระหนก หวังว่าเมื่อกี้อีกฝ่ายคงไม่ได้ยินที่เขาตอบนะ แล้วจะไม่ได้ยินได้ยังไงวะ! จันทร์เจ้าตั้งใจว่าจะทำเนียนเดินออกไปนอกห้อง แต่ก็ช้าไปเมื่อร่างสูงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่หยัดกายลุกขึ้นแล้วก้าวเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว พระรามยันมือทั้งสองข้างกักขังร่างเล็กตรงหน้าเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆ โน้มใบหน้าลงไปหาคนที่กำลังตื่นตระหนกเหมือนโดนจับได้ว่าทำความผิด “กะ–ใกล้เกินไปแล้ว” อย่าเอาใบหน้าหล่อๆ เหมือนแจฮยอนเอนซีทีมาใกล้เขานะ! “รู้ไหมว่าเมื่อกี้พูดอะไรออกไป” พระรามถามเสียงเรียบ “...” “ที่บอกว่าเพิ่งเคยเห็นวิวจากมุมนี้ครั้งแรก หมายความว่ายังไง” “...” จันทร์เจ้าอยากร้องไห้ ฮือออ ช่วยด้วยยย ใครก็ได้ช่วยเขาที พลี๊สสส “ตอบ” โอ๊ยยย คาดคั้นเหลือเกินพ่อคุ๊ณณ “...ก็ครั้งแรกไง” ตอบแถๆ ไปก่อนแล้วกัน “ทั้งๆ ที่เธอไปรูฟท็อปบ่อยๆ น่ะเหรอ” เออว่ะ ในความทรงจำที่เขาได้รับ จันทร์เจ้าคนเก่าไปเที่ยวรูฟท็อปบนตึกสูงๆ บ่อยนี่นา ตายยย ตายแน่ๆ แถยังไงต่อดีๆๆ แต่ก่อนที่จะได้คิดหาทางหนีทีไล่ก็ต้องย่นคอเพื่อหลบใบหน้าหล่อของผู้เป็นสามีที่โน้มต่ำลงมาอีก จันทร์เจ้ายกมือขึ้นดันที่แผงอกหนาไว้ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายยังไม่ยอมขยับถอยห่าง พลันสมองเจ้ากรรมก็นึกอะไรดีๆ ขึ้นมาได้ ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยอย่างพอใจกับความคิดของตน… ทันใดนั้นเองคนที่ตัวเล็กกว่าก็เขย่งเท้าขึ้นจุ๊บลงที่ปลายคางของคนที่กักขังเขาไว้ในวงแขน พระรามชะงักค้างไปกับสัมผัสที่ได้รับ จันทร์เจ้าเมื่อเห็นคนตัวสูงตรงหน้าชะงักไปก็ยิ่งได้ใจ “จุ๊บ” จุ๊บครั้งที่สอง “...” “จุ๊บ” จุ๊บครั้งที่สาม “...” และกำลังจะจุ๊บครั้งที่สี่ “อ๊ะ!” คนตัวเล็กร้องออกมาเมื่อพระรามเปลี่ยนจากยันมือที่ผนังกระจกเป็นโอบกระชับเอวเล็กเข้าหาตัว ปากหยักสวยแสยะยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ในแบบที่จันทร์เจ้าไม่เคยเห็นมาก่อน ดวงตาคมจ้องลึกมาที่ดวงตาของเขาจนจันทร์เจ้าต้องเบือนใบหน้าหนี ยิ่งเห็นคนอวดดีหลบเลี่ยง พระรามก็ยิ่งโน้มใบหน้าลงมาใกล้จนคนที่ตัวเล็กกว่าสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนที่เป่ารดแก้ม “หึ” ร่างสูงส่งเสียงในลำคอเมื่อเห็นว่าแก้มของคนที่เขาโอบกอดตอนนี้มันขึ้นสีแดงระเรื่อดูน่ารัก “ปล่อย!” โพล่งออกไปเสียงดัง ส่วนมือก็พยายามดันอกหนา “ปล่อยไงเล่า!” จะรัดเขาไว้เหมือนงูเหลือมรัดหมาอีกนานไหม! “ทำไมต้องปล่อย” หน็อยยย พูดออกมาได้ เฮงซวยยยยยย “เธอเป็นฝ่ายมาจูบฉันก่อน” “ไม่ได้จูบ แค่จุ๊บ!” จันทร์เจ้าอยากยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเองเหลือเกิน เดาได้ว่าตอนนี้หน้าเขาต้องแดงแจ๋แน่ๆ จะโทษใครดี โทษอีตาพี่ราม หรือโทษผิวพรรณของจันทร์เจ้าที่มันขาวนวลเนียน พอเขินทีแก้มก็แดงเป็นลูกมะเขือเทศเกรดเอแบบนี้ “ปล่อยจันทร์ ปล่อยๆๆ” พระรามค่อยๆ คลายวงแขนที่กระชับเอวบางลง จันทร์เจ้าเมื่อเป็นอิสระก็รีบก้าวถอยห่างอย่างรวดเร็ว เพราะไม่รู้ว่าจะโดนแกล้งอีกหรือไม่ อืม ใช่ๆ เมื่อกี้เขาต้องโดนแกล้งแน่ๆ ทุกคนรู้ เทวดาฟ้าดินรู้ว่าพระรามไม่ชอบจันทร์เจ้าผู้เป็นภรรยา ดังนั้นไอ้เหตุการณ์บ้าๆ เมื่อกี้เขาต้องโดนแกล้งแน่ๆ โอเคสบายใจล่ะ (ได้ข่าวว่าแกไปจุ๊บเขาก่อน) หลายชั่วโมงผ่านไป คนตัวเล็กที่นั่งไถแท็บเล็ตเฉยๆ เริ่มออกอาการเบื่อ จึงเอนกายลงนอนบนโซฟารับแขกตัวนุ่มในห้องทำงานของผู้เป็นสามี ดวงหน้าสวยหวานที่ถูกล้อมรอบไปด้วยเส้นผมสีน้ำตาลเงางามเริ่มถูไถไปกับโซฟาที่นอนอยู่ ก่อนริมฝีปากสวยจะเบะออกอย่างงอแง ซึ่งแน่นอนว่าการกระทำเหล่านั้นไม่สามารถหลุดพ้นไปจากสายตาพระรามได้ เขาละสายตาจากเอกสารตรงหน้าตั้งแต่คนตัวเล็กเริ่มขยับตัวแล้ว รู้ว่าอีกฝ่ายเบื่อ แต่เขาก็เลือกที่จะนิ่งเฉยเพราะมีเอกสารให้ต้องจัดการ ไม่ว่างไปเล่นกับแมวหรอก “พี่ราม” คนที่นอนพลิกไปมาบนโซฟาส่งเสียงเรียก “อืม” พระรามตอบรับในลำคอ “จันทร์เบื่อ…” เอ่ยออกมาหงอยๆ อย่างน่าสงสาร “ที่ทำงานไม่ใช่ที่เล่นสนุก” “จิ๊!” คนตัวเล็กจิ๊ปากขัดใจ ครั้นกำลังจะบ่นออกมา แต่ทว่าประตูบานหนากลับเปิดออกเสียก่อน “พี่รามมม” เออ พี่ชายเขามาเอง คุณกานดาผู้เป็นเลขาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แต่พระรามทำเพียงโบกมือไล่ก่อนจะจ้องเขม็งไปยังแขกผู้มาเยือน น่านฟ้าทำเป็นมองไม่เห็นสายตาเชิงตำหนินั้น ทำเอาพระรามต้องพ่นลมหายใจออกมา “น่านมีถ่ายละครแถวนี้เลยแวะมาหาครับ” ดีเนอะ พูดเสียงอ่อนเสียงหวานใส่สามีน้องชาย “พี่รามไม่แวะไปหาน่านเลย” แน่ะ มีตัดพ้อไปอี๊กกก ฮัลโหล~ ทักทายน้องชายที่นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้หน่อยย จันทร์เจ้าแอบเบ้ปากใส่ละครน้ำเน่าตรงหน้า อีพี่รามนี่ก็ยังไง มัวแต่จ้องเขม็งใส่พี่ชายเขาอยู่นั่นแหละ เอ๊ะ หรือว่าพี่รามจะชอบน่านฟ้า? นัยน์ตาสีน้ำตาลเช่นเดียวกับสีผมเหลือบมองไปยังผู้เป็นสามี ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ดวงตาคมเบนมาสบเขาพอดี จันทร์เจ้าเม้มปากเมื่อโดนสบตา “อ้าว พี่เพิ่งเห็นว่าน้องจันทร์ก็อยู่ด้วย นึกยังไงถึงมาที่บริษัทพี่รามล่ะ ทุกทีถ้าไม่นอนอยู่บ้านก็ออกไปเที่ยวเล่นผลาญเงิน” แร๊งงง แรงมากกก นี่ถ้าไม่บอกว่าเป็นพี่น้องกันก็นึกว่าเป็นศัตรูกันนะเนี่ย งงมากว่าทำไมต้องจิกกันเบอร์นี้…จันทร์เจ้าละสายตาจากร่างสูงใหญ่ของพระรามมาสบกับผู้เป็นพี่ชาย ก่อนจะแย้มรอยยิ้มออกมา “พี่รามอยากให้จันทร์มาอยู่เป็นกำลังใจทำงานน่ะ เนี่ยก็อ้อนให้จันทร์มาด้วยนะเนี่ย” “ฮ่าๆ ไม่จริงใช่ไหมพี่ราม” น่านฟ้าหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะหันไปถามชายหนุ่มที่เขาตกหลุมรัก “...จริง” ห๊ะ? จันทร์เจ้าหันขวับไปมองคนที่ตอบเสียงเรียบ ก้อนเนื้อในอกสั่นไหวจนต้องยกมือขึ้นไปกุมไว้ เท่านั้นยังไม่พอ เขายังรู้สึกจั๊กจี้ในหัวใจอีกด้วย บ้าน่าา… “หมายความว่ายังไง!” เมื่อได้รับคำตอบที่ไม่พอใจ รอยยิ้มจากใบหน้าของน่านฟ้าก็เลือนหายไป “อย่าเสียงดัง” พระรามเอ่ยเสียงเข้มขึ้น “ตะ–แต่” “สรุปน่านมาหาพี่ทำไมเหรอครับ” พระรามตัดบทเพราะเริ่มหงุดหงิดที่โดนขัดเวลาทำงาน “น่านว่าจะชวนพี่รามไปทานข้าว” บ้าปะ มาชวนสามีชาวบ้านไปกินข้าวทั้งๆ ที่เมียเขาก็นั่งอยู่ตรงนี้ เกินไปแล้วอะ อะไรมันจะดูอยากได้สามีน้องชายขนาดนั้น ร่างเล็กของจันทร์เจ้าเข่นเขี้ยวในใจ ถ้าอีพี่รามตอบตกลงต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ “อืม” ว้อททททท จันทร์เจ้ากำหมัดแน่น แบบนี้มันเกินไปหน่อยไหมคุณสามี เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนยังมากอดเอวเขาอยู่เลย นี่ยังไม่ทันข้ามวันก็ตอบตกลงไปกินข้าวกับคนอื่นแล้วเหรอ งอน! บอกไว้ตรงนี้เลยว่างอน! คุณสามี แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD