ขาเรียวเดินกระแทกส้นเท้าปึงปังอย่างหงุดหงิด ใบหน้าขาวเนียนตอนนี้งอง้ำ บ่งบอกอารมณ์ของเจ้าตัวว่าอารมณ์ไม่ดีมากๆ แล้วใครมันจะไปอารมณ์สุนทรีย์กันเล่า! อีพี่รามหิ้วเขาออกไปกินข้าวพร้อมพี่ชายเขาที่หวังจะเคลมสามีน้องชาย ที่หงุดหงิดเนี่ยไม่ได้เกิดจากอารมณ์พิศวาสหึงหวงอะไรทั้งนั้นนะ แต่เบื่อละครน้ำเน่า!
ได้ออกไปกินข้าวในห้างหรูทั้งที แต่ต้องมาขัดหูขัดตากับคนสองคนที่ทำตัวราวกับเป็นสามีภรรยากัน (แล้วเขาเป็นหมาเหรอ) แต่ถ้าจะบอกให้ถูกก็คงมีแต่น่านฟ้าที่ทำตัวราวกับเป็นหวานใจผู้บริหารหัสวอนันต์
เหอะ!
แล้วอีพี่รามนี่ก็ยังไง ยอมให้ชาวบ้านเขาเดินกอดแขนไปได้ ส่งแต่สายตาดุๆ เขาคงจะรู้ตัวหรอกมั้งงง ป่านนี้ได้เป็นขี้ปากให้ชาวบ้านซุบซิบแล้วแหละว่าผู้บริหารหัสวอนันต์ออกมากินข้าวสวีทหวานกับพี่ชายของภรรยา โอ้โหหหห
ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดจนต้องหันไปชักสีหน้าใส่คนตัวสูงที่เดินตามมาด้านหลัง ครั้นจะเดินเข้าไปซัดหน้าสักหมัดก็กลัวโดนสวนกลับ คราวนี้ได้ตายอีกรอบ ตื่นอีกทีได้เซย์ฮัลโหลกับยมบาลแน่นอน T^T
มือแกร่งยกขึ้นกอดอกพร้อมกับมองดูท่าทีขุ่นเคืองของภรรยา ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าคนที่ตีหน้าหงิกตรงข้ามกำลังอารมณ์ไม่ดี ตั้งแต่กลับมาจากทานข้าวที่ห้างในเครือหัสวอนันต์ คนตัวเล็กก็เอาแต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่เขา ยามเมื่อหันไปสบตาเป็นเชิงถามว่ามีอะไร ใบหน้าหวานก็สะบัดหนีก่อนจะกระทืบเท้าออกไปจากห้องทำงานของเขาด้วยความโมโห เป็นแบบนี้มาทั้งวันจนถึงเวลากลับบ้าน
เส้นผมสีดำของพระรามปลิวน้อยๆ ตามแรงลมที่พัดผ่าน คนตัวสูงถอดเสื้อสูทมาถือไว้ในมือ ทว่าในตอนที่กำลังจะก้าวเท้าเข้าไปในบ้าน คนที่ทำตัวหงุดหงิดใส่เขาทั้งวันกลับหันขวับมายืนกางแขนสองข้างตรงหน้าเขา
“ทำอะไร” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถาม
“ไม่ให้เข้าบ้าน”
นัยน์ตาสีน้ำตาลจ้องกลับมาอย่างเอาเรื่อง แล้วไอ้ท่าทีเหมือนลูกแมวขู่แบบนี้ยิ่งทำให้พระรามยกรอยยิ้มขึ้นยังมุมปาก
“เพราะ?” ยักคิ้วถามกลับอย่างยียวน
“...”
“ถ้าไม่ตอบ งั้นหลีกไป”
“ไม่ จันทร์ไม่ให้พี่รามเข้าบ้าน”
“แต่นี่บ้านฉัน”
“นี่ก็บ้านจันทร์”
“...”
ดวงตาสองคู่สบประสานกัน อีกคนแสดงแววตาไม่พอใจ แต่อีกคนกลับมีแววตาราวกับดูสนุกกับสิ่งตรงหน้า
“หึง?”
เสียงทุ้มเอ่ยถามแฝงไปด้วยความขบขัน และทันทีที่จันทร์เจ้าได้ยินคำถามนั้น เจ้าตัวถึงกับชะงักค้าง ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ก่อนเสียงหวานจะโพล่งขึ้นมาเสียงดัง
“ใครจะไปหึงพี่รามกันเล่า!”
“แล้วทำไมถึงไม่ให้พี่เข้าบ้าน”
“...”
สรรพนามที่เปลี่ยนไปของคนตัวสูงทำเอาใบหน้าของจันทร์เจ้าร้อนผ่าว แก้มนวลเนียนขึ้นสีแดงระเรื่อ
“กะ–ก็…”
“ว่าไงครับ”
โอเคหมอ มาฉีดยาให้ฉันตายไปซะเถอะ แงๆ
คนตัวเล็กร่ำไห้อยู่ในใจ แต่พระรามกลับชอบใจที่คนตรงหน้าทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ริมฝีปากสีสวยดูสุขภาพดีขยับขมุบขมิบเหมือนกำลังบ่นเขา ในขณะที่จมูกรั้นก็เชิดขึ้นอย่างน่าเอ็นดู
น่ารัก
“ชอบพี่น่านเหรอ”
“หืม?”
“จันทร์ถามว่าชอบพี่น่านเหรอ”
“ไม่ได้ชอบ”
“เอ้า แล้วทำไมถึงยอมให้เขาออเซาะขนาดนั้น”
“ไม่ชอบเหรอ?”
“ก็ต้องไม่ชอบอยู่แล้ว เราแต่งงานกันแล้วนะ พี่รามจะมาให้คนอื่นกอดแขนกอดขาแบบนี้ไม่ได้ มันไม่ดี!” คนฟังยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปหาคนที่ยังยืนกางแขนสองข้างกันไม่ให้เขาเข้าบ้าน
“ถ้าไม่ชอบพี่ก็จะไม่ทำอีก…” คำตอบของพระรามทำเอาแววตาใสวูบไหวไปเล็กน้อย จันทร์เจ้าอยากกัดลิ้นตายย อีพี่รามนึกคึกยังไงมาแทนตัวเองว่าพี่ ไหนจะคำตอบนั้นอีก จันทร์เจ้าบอกเลยว่าไม่ชิน! หรือนี่จะเป็นวิธีจับโป๊ะเขากันนะ?
“แล้วจันทร์ก็ควรจะเลิกออกไปเที่ยวแบบเมื่อก่อนได้แล้ว” อ่อ จันทร์เจ้าคนเก่านี่เที่ยวกลางคืนวันเว้นวันเลย
“ก็ไม่ออกแล้วนี่ไง” ประท้วงคำพูดของร่างสูงเสียงแผ่ว
“เด็กดี”
ตึกตัก ตึกตัก
หมอออออออ มาเลยยยย มาฉีดยาให้ฉันตายตอนนี้เลย! อยู่ไม่ไหวแล้วๆ หัวใจเต้นแรงเหมือนจะโดดออกมาเต้นสามช่า โอ๊ยยย ประโยคแบบนี้นึกว่าจะมีแค่ในละคร มาเด็กดงเด็กดีอะไร บ้าาา
ดวงตาคมจับจ้องอยู่ที่ดวงหน้าหวานของคนที่ตัวเล็กกว่า แก้มที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงขึ้นอีกจนพระรามนึกเอ็นดู คนตรงหน้าเขาในตอนนี้ดูน่าแกล้งมากจริงๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่มาพูดหยอกเอินแบบนี้กับจันทร์เจ้าหรอก แต่ตอนนี้กลับต่างออกไป…
คนตัวเล็กตรงหน้าเขาตอนนี้ช่างน่าเอ็นดูเหลือเกิน ทั้งสีหน้าและแววตาแสดงออกมาตามความรู้สึกอย่างไม่ปิดบัง ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่มักจะมีแต่สีหน้าที่แสดงถึงความเอาแต่ใจและเกรี้ยวกราดจนเขารวมถึงคนงานในบ้านเอือมระอา
ทุกอย่างสงบนิ่งราวกับเข็มนาฬิกาที่หยุดหมุน จันทร์เจ้าไม่รู้เลยว่าตอนนี้มีสายตาเจือแววอ่อนโยนกำลังมองตัวเองอยู่ ถ้าหากคนตัวเล็กเอะใจสักนิดก็คงจะได้เห็นแววตานั้นจากพระราม…มือแกร่งยกขึ้นเกลี่ยปอยผมที่ปรกตา ทัดไปยังใบหูของคนที่ยืนนิ่งราวกับหิน
“!!”
ตึกตัก ตึกตัก
อีกแล้ว! ใจเต้นแรงอีกแล้ว! ไอ้อาการที่เหมือนมีผีเสื้อบินอยู่ในท้องนับร้อยตัวนี่มันคืออะไร
“พี่เข้าบ้านได้แล้วใช่ไหม”
เอ่ยถามโดยไม่รอฟังคำตอบเพราะร่างสูงของพระรามได้เดินเข้าไปด้านในแล้ว ทิ้งไว้ก็แต่คนที่เปลี่ยนจากการยืนกางแขนมาเป็นยกสองมือขึ้นกุมอก จันทร์เจ้าค่อยๆ ทรุดลงไปนั่งกับพื้น ถ้าเป็นไปได้ก็อยากแทรกแผ่นดินหนีมันซะเลย ก็เพราะเขาในตอนนี้น่ะ
เขินจนตัวจะระเบิดแล้ว!
ภาพของพระรามและจันทร์เจ้าที่ออกไปทำงานพร้อมกันทุกเช้าและกลับเข้าบ้านหลังเลิกงานพร้อมกันในตอนเย็น ความสัมพันธ์ที่ดูห่างเหินในเมื่อก่อนราวกับไม่เคยเกิดขึ้น เพราะทั้งคู่ในตอนนี้ดูเหมาะสมกับคำว่าสามีภรรยาเหลือเกิน
จันทร์เจ้าที่นิสัยเกรี้ยวกราดเอาแต่ใจก็ไม่มีอีกแล้ว ตอนนี้คนตัวเล็กดูเป็นที่รักของทุกคนในบ้าน บ้านที่เคยมีแต่บรรยากาศอึมครึมก็ดูสดใสและน่าอยู่ขึ้น
“ป้าผ่องงง วันนี้มีอะไรกินบ้างครับ”
เสียงหวานดังมาก่อนเจ้าตัวเสียอีก วันนี้เป็นวันหยุด เขากับพี่รามไม่ได้ออกไปทำงาน แต่ความจริงแล้วทุกครั้งที่เข้าบริษัทก็มีแค่พี่รามนั่นแหละที่เป็นฝ่ายทำงาน เขาแค่หยิบจับเอกสารนิดหน่อยตามคำสั่งผู้เป็นสามี แล้วก็มีบางครั้งที่ออกไปนั่งคุยเล่นกับคุณกานดาหน้าห้องทำงาน ตอนนี้คนในบริษัทคงชินกับการได้เจอเขาบ่อยๆ แล้วแหละ ก็ไปบริษัทกับพี่รามมันสนุกกว่าการอยู่บ้านเฉยๆ นี่นา อ้อออ แล้วตั้งแต่วันนั้นที่คนตัวสูงทำเขาใจสั่น ไอ้สรรพนามฉันเธอก็ไม่มีแล้วนะ มีแต่พี่กับจันทร์
“มีผัดผักรวมกับต้มยำทะเลค่ะ”
“จันทร์หิวจนจะกินป้าผ่องได้อยู่แล้ว ฮืออ”
เพราะเป็นวันหยุดเลยเผลอตื่นสาย กว่าจะหลุดออกมาจากห้วงนิทราก็ปาไป 11 โมงแล้ว ตอนนี้จันทร์เจ้าเลยหิวมากๆ
“ป้าผ่องมากินกับจันทร์น้าา”
แขนเรียวกอดหมับเข้ากับเอวของผู้อาวุโสกว่า ป้าผ่องเพียงส่งรอยยิ้มเอ็นดูให้แต่ไม่ได้ว่าอะไร เธอชินแล้วกับการที่พักหลังโดนผู้เป็นนายมาออดอ้อนแบบนี้
“ทำไมไม่ทานกับคุณรามล่ะคะ เดี๋ยวป้าจัดโต๊ะให้”
“ป้าผ่องไม่อยากกินข้าวกับจันทร์เหรอ”
“แล้วจันทร์ไม่อยากกินข้าวกับพี่เหรอ”
คนตัวเล็กยืดตัวขึ้นหลังตรงเมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำ ใบหน้าหวานค่อยๆ หันกลับไปสบตากับคนที่ยืนกอดอกพิงประตู บอกตามตรงว่าจันทร์เจ้าไม่ชินเลยที่ถูกพระรามจับจ้องด้วยสายตาเจ้าเล่ห์แบบนี้ มันเหมือนกับราชสีห์ตัวใหญ่ที่จ้องมองเหยื่อ…
“จันทร์อยากกินกับป้าผ่อง” คนตัวเล็กเผลอทำแก้มพองลมเป็นเด็กๆ
“กินข้าวกับสามีมันไม่เจริญอาหารเหรอ”
แหมๆ ทีเมื่อก่อนไม่เห็นจะอยากมากินข้าวกับเขาเลยยย แล้วทำไมตอนนี้ถึงมาวุ่นวายกับเขาจัง นึกภาพตอนนั้นที่ไปกอดขาขอทุนมาเปิดพรีอัลบั้มคุณเจย์แล้วโมโหๆ เล่นตัวมากนักกว่าจะใจอ่อน ส่วนเงินห้าแสนที่ได้มานั้นก็ยังนอนนิ่งอยู่ในลิ้นชักข้างเตียง…
“พี่รามวอแวจันทร์”
“จันทร์ยังเคยมาวอแวพี่” ก็ตอนนั้นอยากได้เงินนนน
“อะ กินด้วยก็ได้”
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด คนตัวเล็กเจื้อยแจ้วไม่หยุดเรื่องศิลปินชื่อเจย์ที่เจ้าตัวสนใจอยู่ พระรามพยักหน้าตอบรับในบางครั้งที่ผู้เป็นภรรยาหันมาขอความเห็น ดวงตาคมมองจันทร์เจ้านิ่งๆ แต่แววตาทอประกายความอ่อนโยน มือแกร่งเอื้อมตักอาหารใส่จานให้กับคนที่กินไปพูดไป ถ้าข้าวติดคอเมื่อไหร่จะดุให้ร้อง
“หรือจันทร์จะกลับไปถ่ายแบบดี?”
กลืนข้าวคำสุดท้ายก่อนจะเอ่ยถามคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ต้องหาเงินไว้เยอะๆ”
“เงินที่โอนใส่บัญชีให้ทุกเดือนยังเยอะไม่พอเหรอ” พระรามเอ่ยถามกลับเสียงเรียบ
จันทร์เจ้ายู่ปากก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อย ใจหนึ่งก็อยากบอกคนหน้าดุเหลือเกินว่าเขามันจันทร์เจ้าตัวปลอม ไอ้เงินที่พี่รามโอนให้ทุกเดือนนั่นมันเงินที่พี่รามตั้งใจโอนให้จันทร์เจ้าตัวจริงไง แล้วเขาจะกล้าเอามาใช้ได้ยังไง แค่ได้มาอยู่ในร่างนี้มันก็มากพอแล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวิญญาณของจันทร์เจ้าในโลกนี้อยู่ที่แห่งหนใด ถ้าวันหนึ่งวิญญาณของเจ้าของร่างกลับมาแล้วรู้ว่าเขาไปใช้เงินของเจ้าตัว เขาได้โดนกินหัวแน่ๆ
เรื่องมันเศร้า T^T
“ก็จันทร์อยากได้เงินอีกไง มีเงินเยอะก็ดีกว่าไม่มีเงินเลยไม่ใช่เหรอ”
แถไปก่อนแล้วกัน New จันทร์เจ้ายอดนักแถ
“หือ”
คนตัวเล็กแสดงสีหน้าฉายแววฉงนเมื่อพระรามที่วันนี้ใส่เสื้อยืดสีดำแบบวัยรุ่นทั่วไปยื่นบัตรสีดำเรียบหรูมาตรงหน้า อย่าบอกนะว่า…
“อยากได้อะไรก็เอาไปรูด”
คุณพระ!
“พี่ยกให้”
นี่มันพี่รามคนเดียวกับที่เขาไปกอดขาอ้อนวอนขอเงินไหมเนี่ย!
“บัตรไม่จำกัดวงเงิน อยากได้อะไรก็ใช้บัตรนี้”
จันทร์เจ้ายังคงตกตะลึงกับบัตรสีดำตรงหน้า ไม่รู้ว่าจะตกใจเรื่องไหนก่อนดี ระหว่างเรื่องที่คนตัวสูงใจดี๊ใจดียกบัตรไม่จำกัดวงเงินให้ หรือจะเป็นท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหน จันทร์เจ้าก็จะขอน้อมรับบัตรตรงหน้าไว้แล้วกันนะ ^ ^
“ส่วนเรื่องถ่ายแบบ ถ้าอยากกลับไปทำพี่ก็ไม่ได้ว่า”
“มันก็ต้องแบบนั้นอยู่แล้ว” กล่าวจบก็หยิบเอาบัตรสีดำตรงหน้ามาถือไว้อย่างชอบใจ
พระรามเมื่อเห็นคนตัวเล็กตรงหน้าดูชอบใจกับสิ่งที่เขาให้ก็เตรียมผละขึ้นไปทำงานบนห้องต่อ แม้วันนี้จะไม่ได้เข้าบริษัท แต่เขาก็มีงานมากมายที่ต้องจัดการ โปรเจกต์ห้างสรรพสินค้าสาขาใหม่เริ่มก่อสร้างขึ้นแล้ว
“อะไรกัน วันหยุดก็ต้องทำงานเหรอ” ร่างเล็กเอ่ยท้วง ริมฝีปากสวยเบะออก
“พี่ก็ต้องหาเงินไว้เยอะๆ ไง”
“รวยขนาดนี้ยังจะหาเงินไปทำไมอีก” อีพี่รามรวยจริง รวยแบบจริงจัง เจ้าสัวพี่ราม!
“อยากรู้เหรอ”
“ใช่”
“หาเงินไว้เลี้ยงแมว”
พี่คะ หนูอยากเป็นแมวตัวโปรดของคุณพี่จังเลยค่าา
ภายในสวนของคฤหาสน์หัสวอนันต์ตอนนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและเสียงพูดเจื้อยแจ้วที่ทุกคนต่างรู้ดีว่าเป็นเสียงของภรรยาเจ้าของบ้าน จันทร์เจ้าที่รู้สึกเบื่อหน่ายจึงเข้ามาช่วยคนสวนปลูกต้นไม้ ตอนนี้ทุกคนในบ้านไม่มีใครเกร็งใส่เขาแล้ว ซึ่งมันเป็นเรื่องดีมากๆ
ใบหน้าสวยมีเหงื่อออกเล็กน้อยเพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าว ทว่าใบหน้าก็ยังคงประดับรอยยิ้มไว้ไม่ขาด ทำเอาคนที่ได้พบเห็นต้องเผลอยิ้มตาม คุณหนูจันทร์เจ้ายิ้มสวยจริงๆ
“พี่ทอง อันนี้จันทร์เอาลงดินได้เลยใช่ไหมครับ” ปากเล็กเอ่ยถาม มือก็ยังยุ่งอยู่กับต้นไม้ตรงหน้า
“คุณจันทร์ให้ผมทำเองเถอะครับ มันสกปรก”
“ไม่สกปรกหรอก สนุกดี”
คำตอบที่ได้รับทำเอาทองยิ้มด้วยความเอ็นดู ส่วนคนที่บอกว่าสนุกดี ตอนนี้เสื้อสีชมพูอ่อนมีรอยเลอะคราบดิน ตรงแก้มขาวก็มีรอยดินเปื้อนอยู่ ยิ่งพอตอนคนตัวเล็กยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่หน้าผากก็ยิ่งเลอะเข้าไปอีก เป็นจันทร์เจ้าเวอร์ชันมอมแมม
เมื่อซนจนพอใจและเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มราวกับฝนจะตกในไม่ช้า คนตัวเล็กที่มอมแมมเหมือนลูกแมวจึงลุกขึ้นปัดเศษดินออกจากเนื้อตัว ก่อนจะหันไปโบกมือบ๊ายบายให้กับพี่ๆ คนสวน
จันทร์เจ้าอาบน้ำอยู่นานเพราะเนื้อตัวมอมแมมไปด้วยคราบดิน จากนั้นจึงเดินออกมาจากห้องน้ำ เส้นผมสีน้ำตาลเปียกชื้นเพราะเพิ่งสระผมเสร็จใหม่ๆ คนตัวเล็กใช้ผ้าขนหนูขยี้ผม ก่อนสายตาจะเหลือบไปมองที่หน้าต่าง ถึงเห็นว่าตอนนี้ภายนอกมืดสนิทและมีเมฆฝนมาบดบังความงดงามของดวงจันทร์ และทันใดนั้นเองสายฝนก็เทกระหน่ำลงมา
“ฝนตก…”
ดวงตาคู่สวยสั่นระริก มือเล็กบอบบางกำผ้าขนหนูในมือแน่น ในใจกำลังร่ำร้องภาวนาไม่ให้สิ่งหนึ่งเกิดขึ้น แต่ทว่าฟ้าดินคงไม่เห็นใจคำร้องขอของเขา...
พรึ่บ!
“อ่ะ”
คนที่สวมชุดนอนตัวใหญ่สะดุ้งเฮือกอย่างตกใจ จันทร์เจ้าพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อตั้งสติ แต่กลับไม่ได้ช่วยอะไรเลย เมื่อร่างกายเขาตอนนี้สั่นราวกับคนที่กำลังหวาดกลัว…ใช่ เขากลัวความมืด
ท่อนขาเรียวบางค่อยๆ ทรุดกายนั่งลงที่พื้น สายตาพยายามเพ่งมองรอบกายแต่ก็พบเพียงความมืดมิด อกบางกระเพื่อมอย่างรุนแรงเมื่อเขาเริ่มควบคุมจังหวะการหายใจไม่ได้
กลัว ช่วยด้วย…
ริมฝีปากบางเม้มแน่น มือสองข้างยกขึ้นกอดเข่าไว้ น้ำตาหนึ่งหยดไหลกลิ้งไปตามแก้มเนียนหยดลงสู่พื้น
“พะ...พี่ราม ฮึก”
เสียงสะอื้นดังขึ้นในความเงียบพร้อมกับร่างที่สั่นเทาด้วยความหวาดกลัว เขาไม่ชอบความมืดเพราะมันดูวังเวง เหงา อ้างว้าง และโดดเดี่ยว แค่การเป็นเด็กกำพร้าแล้วต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมันก็โดดเดี่ยวอยู่แล้ว ไม่มีคนคอยปลอบและให้กำลังใจ มันคือความรู้สึกอ้างว้าง แล้วความมืดมันยิ่งทำให้เขารู้สึกแบบนั้น ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความไม่ชอบเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว
“ฮึ่กฮืออ”
ทั้งห้องสว่างวาบเมื่อแสงจากสายฟ้าฟาดลอดเข้ามาผ่านหน้าต่างที่เปิดม่านทิ้งไว้ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงดังของฟ้าผ่า
“ช่วยจันทร์...ชะ...ช่วยด้วย”
น้ำตาแห่งความหวาดกลัวและเสียงสะอื้นราวกับสัตว์ตัวเล็กที่บาดเจ็บดังออกมาแข่งกับสายฝนที่เทกระหน่ำ จันทร์เจ้าซุกใบหน้าลงกับเข่าเพราะไม่อยากเห็นความมืดที่รายล้อมอยู่รอบกาย เขาหวัง…หวังว่าจะมีใครสักคนเปิดประตูเข้ามาเพื่อโอบกอดเขาไว้ และปลอบประโลมเขาให้หลุดพ้นจากความหวาดกลัวนี้
แกร๊ก
เสียงเปิดประตูไม่ได้ทำให้ร่างเล็กรับรู้ถึงการมาถึงของใครบางคนเลย เป็นพระรามเสียเองที่ตื่นตระหนกกับเสียงสะอื้นไห้อย่างน่าสงสาร เพราะดวงตาที่ชินกับความมืด ทำให้ร่างสูงใหญ่เห็นคนตัวเล็กที่นั่งกอดเข่าอยู่ที่พื้น เขาจึงไม่รอช้าที่จะสาวเท้าเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว
“...จันทร์”
แขนแกร่งรวบร่างเล็กเข้าสู่อ้อมกอด ใบหน้าหวานซุกอยู่กับอกเขาและสะอื้นไม่หยุด จนรับรู้ถึงความเปียกชื้นจากน้ำตาที่ซึมผ่านเสื้อยืดสีดำ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจันทร์เจ้าถึงร้องไห้หนักขนาดนี้ ไม่เพียงเท่านั้น เนื้อตัวยังสั่นเทาราวกับกำลังหวาดกลัวบางสิ่ง
“ชู่ว พี่อยู่ตรงนี้”
มือหนาลูบหลังอย่างปลอบโยน แต่คนในอ้อมแขนก็ยังสะอื้นไม่หยุด มือเล็กกำเสื้อเขาแน่นจนยับยู่ยี่ ฝนที่เทกระหน่ำค่อยๆ เบาความแรงลง และเพียงอึดใจไฟทั้งห้องก็สว่างขึ้น
“อึก…”
พระรามก้มหน้ามองเด็กในอ้อมแขนที่หลุดสะอื้นออกมา จันทร์เจ้ายังคงซุกใบหน้าที่อกเขา ทำให้แขนแกร่งต้องกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
“ร้องไห้ทำไม”
น้ำเสียงทุ้มเจือแววอ่อนโยนเอ่ยถาม ส่วนมือก็ยังคงลูบไปมาที่แผ่นหลังคนตัวเล็ก
“จะ...จันทร์ อึกก กลัว…”
“กลัวอะไรหืม”
ร่างสูงจำเป็นต้องโน้มใบหน้าชิดร่างในอ้อมแขน เพราะเสียงจากจันทร์เจ้านั้นอู้อี้และเบาเหลือเกิน
“ความมืด จันทร์กลัว”
พระรามขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเมื่อได้รับคำตอบจากร่างเล็ก ก่อนแขนแกร่งจะค่อยๆ ช้อนคนในอ้อมแขนขึ้นด้วยท่าเจ้าสาว
“คืนนี้ไปนอนห้องพี่”
เอ่ยบอกอย่างไม่รอเสียงตอบรับ เพราะตอนนี้ร่างสูงใหญ่ที่มีคนตัวเล็กในอ้อมแขนก้าวออกจากห้องของผู้เป็นภรรยาและมุ่งหน้าสู่ห้องนอนของตน เป็นครั้งแรกตั้งแต่แต่งงานมาที่พวกเขาทั้งคู่จะได้นอนร่วมเตียงกัน