บทที่ 3-1

1316 Words
เอริคกวาดสายตาอ่านข้อมูลที่ได้รับมาจากสยามอย่างละเอียด นักสืบที่คลินต์ส่งมาให้ใช้เวลาเพียงสามวันเอริคก็ได้ข้อมูลที่ต้องการอย่างครบถ้วน รวมถึงทราบว่าฟลอเรนซาจะอยู่ที่กรุงเทพฯ อีกราวเดือนเศษ แล้วจึงจะบินกลับไปที่กรุงโรม แต่ที่สำคัญมากกว่านั้นนั่นก็คือสูจิบัตรของเอเดรียนไร้ชื่อของคนเป็นบิดา และเอริคก็มั่นใจเกินร้อยว่าคนเป็นบิดาของเอเดรียนจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเขา นัยน์ตาสีฟ้าวูบไหว กล้ามเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นถี่ขึ้น ก่อนจะค่อยๆ กลับสู่สภาวะปกติในเวลาต่อมา เอริควางเอกสารที่ได้รับมาจากสยามลงบนโต๊ะกระจก นัยน์ตาคมกริบฉายแววครุ่นคิด คิ้วหนาที่พาดเหนือดวงตาเรียวรีขยับเข้าหากันจนเกือบชิด ก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นจนเต็มความสูง แล้วก้าวออกจากห้องพักในโรงแรมหรูไปแบบตัวปลิว เอริคหยุดเท้าที่หน้าร้านจิเวลรีของฟลอเรนซา ชายหนุ่มทราบว่าหญิงสาวมักจะเข้าร้านอยู่ประจำ และเขาก็หวังว่าวันนี้จะเป็นเช่นนั้น ร่างสูงหยุดเท้าตรงหน้าเคาน์เตอร์ที่มีพนักงานสาวสวยกำลังคลี่ยิ้มมาให้ “มีอะไรให้ช่วยไหมคะ หรือสนใจเครื่องเพชรชุดไหน แบบไหน บอกมาได้เลยค่ะ ทางเรายินดีให้บริการ อย่างคอลเลกชันนี้ ทางร้านเราเป็นคนออกแบบเองนะคะ” พนักงานสาวผายมือไปที่เครื่องเพชรชุดหนึ่ง เอริคมองตาม ทว่าเขาไม่ได้สนใจในสิ่งที่พนักงานสาวแนะนำ สิ่งที่เขาต้องการก็คือการได้พบกับเจ้าของร้านต่างหาก “ผมต้องการพบคุณฟลอเรนซาครับ” “พบคุณฟลอนซ์เหรอคะ” “ใช่ครับ” “จะให้ดิฉันบอกคุณฟลอนซ์ใครมาขอพบคะ” “บอกว่าเอริค ฟรีเดลมาขอพบครับ” “ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ” พนักงานสาวบอก ก่อนจะหมุนตัวแล้วขยับเท้าเข้าไปด้านหลังเคาน์เตอร์ เอริคมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่หายเข้าไปในประตูบานหนึ่งอย่างไม่ละสายตา เพียงครู่เดียวพนักงานคนดังกล่าวก็กลับออกมา “ขอโทษนะคะ ตอนนี้คุณฟลอนซ์ไม่สะดวกค่ะ” “งั้นเหรอครับ” เอริคแสร้งขานรับไปอย่างนั้น นัยน์ตาคมกริบมองปราดเดียวก็ดูออกว่าฟลอเรนซาไม่ต้องการให้เขาเข้าไปพบ แต่เขาไม่มีทางยอมให้เป็นแบบนั้นแน่ พอคิดได้แบบนั้น ร่างสูงก็ขยับเท้าเข้าไปในร้านอย่างถือวิสาสะ ดวงตาของพนักงานสาวเบิกกว้าง ก่อนจะรีบปราดเข้ามาขวางไว้ก่อนที่เอริคจะทันได้แตะลูกบิดประตูห้องของฟลอเรนซา “เข้าไปไม่ได้นะคะ คุณฟลอนซ์ไม่สะดวกจริงๆ ค่ะ” เอริคมองพนักสาวคนดังกล่าวด้วยสายตาคมดุ แม้ว่าจะไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากหยักลึก ทว่าสุดท้ายพนักสาวคนดังกล่าวก็ยอมหลีกทางให้เพราะดวงตาคมกริบคู่นั้น และสุดท้ายเอริคก็ก้าวเข้าไปในห้องของฟลอเรนซาได้อย่างที่ใจต้องการ “มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ คุณเอริค” ฟลอเรนซาละสายตาจากหน้าจอแล็ปท็อปเพราะคิดว่าพนักงานคนเดิมกลับเข้ามาอีกครั้ง ทว่าหญิงสาวคิดผิดถนัด เพราะผู้ที่เข้ามาก็คือเอริค ร่างบอบบางลุกขึ้นยืน แล้วตวัดสายตามองชายหนุ่มอย่างไม่พอใจ “คุณไม่ควรถือวิสาสะเข้ามาในห้องคนอื่นแบบนี้” ฟลอเรนซาตวัดสายตามองคนสูงกว่าด้วยสายตาวาววับ ทว่าริมฝีปากหยักลึกกลับยกยิ้มมุมปากอย่างกวนอารมณ์ ก่อนรอยยิ้มนั้นจะค่อยๆ เลือนหายแล้วมองหญิงสาวด้วยสายตาดุดัน ทำเอาคนถูกมองลำคอแห้งผากขึ้นมาฉับพลัน แต่หญิงสาวพยายามควบคุมท่าทางให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ “ผมจะไม่อ้อมค้อมนะ ผมจะมาคุยเรื่องลูก” “เรื่องลูก?” ฟลอเรนซาข่มความตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นในอกเอาไว้อย่างแนบเนียน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบอย่างที่เธอตั้งใจอยากให้เป็น “เรื่องลูกของใครกันคะ” “ลูกของผม” เอริคบอกเสียงกระด้างที่ฟลอเรนซาแสร้งทำว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่เขากำลังพูด และชายหนุ่มก็มั่นใจเกินร้อยว่าหญิงสาวต้องรู้อยู่เต็มอก แต่กลับแสร้งตีเนียนทำเป็นไม่รู้เรื่องเสียอย่างนั้น “ลูกของคุณก็ต้องไปถามภรรยาของคุณดูนะคะ และที่นี่ก็ไม่มีลูกของคุณ เชิญออกไปได้แล้วค่ะ” ฟลอเรนซารู้สึกปวดแปลบในอกไม่น้อยที่ต้องพูดออกไปแบบนั้น ทว่านั่นคือเรื่องจริงที่เธอต้องยอมรับ และเธอก็ยอมรับมานานแล้ว เขามีภรรยาอยู่แล้ว และเธอก็จะไม่ยอมให้เขามาพรากลูกไปจากเธอเป็นอันขาด ไม่มีทาง “คุณแน่ใจจริงๆ อย่างนั้นเหรอว่าที่นี่ไม่มีลูกของผม” เอริคเหยียดยิ้มตอนที่ถามออกไป “ใช่ค่ะ เชิญคุณออกไปได้แล้ว” ฟลอเรนซาผายมือไปที่ประตู นอกจากเอริคจะไม่ทำตามที่หญิงสาวต้องการแล้ว ร่างสูงกลับขยับเท้าเข้ามาหาเธอด้วยท่าทีคุกคาม ทำเอาดวงตาคู่สวยฉายแววตื่นตระหนกไปชั่วขณะ ก่อนที่หญิงสาวจะรีบปรับให้เรียบเฉยในเวลาต่อมา “หยุดอยู่ตรงนั้น อย่าเข้ามาใกล้ฉันนะคะ ไม่อย่างนั้นฉันจะเรียกรปภ.มาลากตัวคุณออกไป” ฟลอเรนซากำลังจะกดอินเตอร์คอม ทว่าเอริคเข้าถึงตัวของหญิงสาวอย่างรวดเร็ว ร่างบอบบางหมดโอกาสได้ทำในสิ่งที่ต้องการ พร้อมๆ กับที่มือข้างดังกล่าวถูกมือหนายึดครองเอาไว้ “ปล่อยฉันนะคะ คุณไม่มีสิทธิ์มาแตะต้องตัวฉัน” ฟลอเรนซาบอกเสียงแข็ง ร่างเล็กพยายามบิดข้อมือเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการของอีกฝ่าย ทว่าความพยายามของหญิงสาวก็เป็นได้แค่ความพยายาม เพราะนอกจากเขาจะไม่ปล่อยให้เธอได้เป็นอิสระแล้ว ใบหน้าหล่อเหลายังเหยียดยิ้มอย่างคนที่เหนือกว่า และท่าทางคล้ายรังเกียจทำให้เอริคต้องการเอาชนะ จนลืมจุดประสงค์หลักที่มาพบหญิงสาวในครั้งนี้ไปชั่วขณะ “คุณแน่ใจจริงๆ อย่างนั้นเหรอว่าผมไม่มีสิทธิ์ในตัวคุณทั้งที่เราเคย…” “หยุดพูดจาไร้สาระแบบนั้นซะที คุณก็รู้อยู่แก่ใจว่าระหว่างเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว มันจบไปนานแล้ว ปล่อย” ฟลอเรนซาพยายามสะบัดข้อมือให้หลุดจากการยึดครองของมือหนาอีกครั้ง แต่เอริคไม่ยอมให้หญิงสาวได้ทำแบบนั้น เขาออกแรงกระชากจนร่างเล็กเซเข้าปะทะกับแผ่นอกกว้าง ใช้แขนทั้งสองข้างโอบรอบเอวบางเอาไว้ “ปล่อยฉันนะคุณเอริค ฉันบอกให้ปล่อยไง” ฟลอเรนซาดิ้นขลุกขลักเพราะร่างกายของเธอถูกคนสูงกว่าพันธนาการเอาไว้แทบทุกส่วน และเมื่อหญิงสาวยิ่งดิ้นรน เอริคก็จงใจกอดรัดร่างของเธอแน่นขึ้น กลีบปากนุ่มเม้มเข้าหากันแน่นอย่างเจ็บใจ ดวงตาคู่สวยวาววับยามที่จ้องมองใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังยกยิ้มอย่างกวนอารมณ์ “ผมจะปล่อยคุณก็ต่อเมื่อผมรู้ว่าใครเป็นพ่อของเอเดรียน” “พ่อของเอเดรียนจะเป็นใครก็ไม่ใช่เรื่องของคุณ เอเดรียนไม่ต้องการพ่อ เขามีแค่ฉันคนเดียวก็พอแล้ว” “คุณเคยถามความต้องการของลูกแล้วงั้นเหรอ” พอเอริคบอกออกมาแบบนั้น ร่างกายของฟลอเรนซาถึงกับชะงักค้างไปชั่วขณะ ก่อนที่หญิงสาวจะตอบโต้อีกฝ่ายกลับไป “นั่นมันเป็นเรื่องในครอบครัวของฉัน ไม่เกี่ยวกับคนนอกอย่างคุณ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD