“ถ้าคุณคิดแบบนั้นจริงๆ ช่วยเงยหน้าขึ้นมองผมได้ไหม มองผมให้ชัดๆ แล้วช่วยบอกผมอีกทีว่าผมแก่หรือเปล่า เพราะตอนนี้คำพูดของคุณทำให้ผมขาดความมั่นใจ”
ฟลอเรนซากลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่ ดวงหน้าหวานซึ้งค่อยๆ แหงนเงยขึ้นเพื่อสบตากับเอริค กลีบปากนุ่มเม้มเข้าหากันแน่น เมื่อพบว่าใบหน้าของเธอกับเขาห่างกันไม่ถึงคืบ ดวงตาคู่สวยไหวระริก พอถูกนัยน์ตาคมกริบจ้องมองอย่างคาดคั้นอยู่ในที กลีบปากนุ่มจึงยอมขยับบอกในสิ่งที่อีกฝ่ายอยากฟัง
“คุณเอริคยังไม่แก่หรอกค่ะ เพียงแค่อายุมากกว่าฟลอนซ์ก็เท่านั้นเอง”
“ไม่แก่แน่นะครับ” เอริคยังคงแสร้งตีหน้าขรึม
“ใช่ค่ะ ไม่แก่เลย ไม่เลยสักนิด”
ฟลอเรนซารีบฉีกยิ้มกว้างอย่างเอาใจ เอริคมองปราดเดียวก็ดูออกมาคนตัวเล็กกว่าต้องการเอาตัวรอด และท่าทางหายใจหอบน้อยๆ ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เอริคจึงเลิกแกล้งเธอ ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นเต็มความสูง ลดท่อนแขนกำยำที่เคยทาบทับบนผนังเพื่อกักขังร่างเล็กเอาไว้ในอ้อมแขนลงข้างลำตัว ใบหน้าหล่อเหลาที่ดูเคร่งขรึมในคราวแรก เผยรอยยิ้มเด่นชัด ฟลอเรนซาจึงได้ทราบว่าคนสูงกว่าแค่ต้องการจะกลั่นแกล้งเธอ
“แกล้งฟลอนซ์เหรอคะ”
“ครับ”
เอริครับคำอย่างไม่ปฏิเสธ ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เห็นแบบนั้นฟลอเรนซาจึงย่นจมูกด้วยท่าทางแสนงอนใส่อีกฝ่าย
“คุณเอริคทำหน้าดุแบบนั้น ฟลอนซ์ตกใจหมดเลยนะคะ”
“ขอโทษที่ผมแกล้งให้คุณตกใจ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน คุณนอนพักผ่อนก่อน แล้วเย็นนี้ผมจะพาไปดินเนอร์ร้านอร่อยๆ ตกลงไหมครับ”
“จริงเหรอคะ”
ฟลอเรนซาร้องถามอย่างดีใจ แขนเรียวทั้งสองข้างวาดขึ้นหมายจะโอบกอดคนที่สูงกว่าอย่างที่เธอชอบทำกับพี่ชายฝาแฝดอย่างฟอซโซเป็นประจำเพื่อเป็นการขอบคุณที่อีกฝ่ายใจดีกับเธอ โชคดีที่หญิงสาวยั้งร่างกายของตัวเองเอาไว้ได้ทัน แขนเรียวทั้งสองข้างค่อยๆ ลดลงแนบกับลำตัว เมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าคนตรงหน้าไม่ใช่พี่ชายฝาแฝดของเธอ
“ขอโทษค่ะ”
ฟลอเรนซาบอกเอริค นั่นทำให้คิ้วหนาที่พาดเหนือดวงตาเรียวรีขยับเข้าหากัน ทว่ารอยยิ้มที่มุมปากยังคงไม่จางหายตอนที่ถามหญิงสาว
“ขอโทษเรื่องอะไรครับ”
“ก็เมื่อกี้ฟลอนซ์เกือบจะเผลอกอดคุณเอริคไงคะ ฟลอนซ์ก็เลยต้องขอโทษ”
ฟลอเรนซาให้คำตอบไปแบบนั้น ทว่าท่าทางที่ยังดูคล้ายไม่เข้าใจในคำตอบของเธอ ทำให้หญิงสาวรีบอธิบายเพิ่มเติม
“คืออย่างนี้ค่ะ เวลาที่พี่ชายน่ารักกับฟลอนซ์ ฟลอนซ์ก็จะกอดพี่ชายเป็นการขอบคุณค่ะ เมื่อสักครู่คุณเอริคบอกว่าจะพาฟลอนซ์ไปดินเนอร์ ฟลอนซ์ก็เลยเกือบจะเผลอกอดคุณเอริคเพื่อเป็นการขอบคุณน่ะค่ะ”
“อ่อ งั้นเหรอครับ”
เอริคยกยิ้มมุมปาก เมื่อได้ยินคำอธิบายจากเรียวปากอวบอิ่ม ทว่าดวงตากลมโตดุจลูกกวางที่จ้องมองมาที่เขาพร้อมรอยยิ้มแสนหวาน ทำให้เอริคเกิดอยากจะเย้าแหย่อีกฝ่ายขึ้นมา
“ถ้าฟลอนซ์อยากขอบคุณผมด้วยการกอดก็ได้นะ ผมยินดี”
เอริคยกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นสูงตอนที่บอกกับเธอ รอยยิ้มของเขาคล้ายเอ็นดู ทว่านัยน์ตาสีฟ้าที่กำลังวาววับทำให้ฟลอเรนซาส่ายหน้าหวือ
“มะ ไม่ดีกว่าค่ะ”
คนตัวเล็กกว่าบอกแล้วค่อยๆ เบี่ยงตัวออกมาอย่างแนบเนียน หญิงสาวปั้นหน้ายิ้มยากส่งไปให้อีกฝ่าย ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียง
“ฟลอนซ์ว่าฟลอนซ์นอนพักก่อนดีกว่าค่ะ รู้สึกเพลียและก็ง่วงมากๆ เลยค่ะ”
ฟลอเรนซาแสร้งยกมือขึ้นปิดปากทำท่าหาวหวอดราวกับว่าตอนนี้เธอกำลังง่วงนอนเสียเต็มประดา โดยที่ดวงตาคู่สวยยังคงลอบมองใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังอมยิ้มตอนที่มองเธอ
‘ทำไมคุณเอริคต้องยิ้มแบบนั้นด้วย’
หญิงสาวได้แต่คิดในใจ และภาวนาให้คนตัวสูงกว่าออกไปจากห้องเสียที ไม่ใช่เพราะรังเกียจ แต่เป็นเพราะเธอรู้สึกประหม่าไปหมดที่ถูกนัยน์ตาคมกริบจ้องมองแบบนั้น
“โอเคครับ งั้นเจอกันตอนมื้อค่ำ”
“ค่ะ”
ฟลอเรนซารีบรับคำอย่างกระตือรือร้น เอริคคลี่ยิ้มอีกครั้งก่อนจะก้าวออกจากห้องไปโดยไม่ลืมดึงประตูปิดให้อย่างเสร็จสรรพ ร่างเล็กจึงได้ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ทว่าพวงแก้มทั้งสองข้างของหญิงสาวกลับร้อนผ่าวอย่างไม่ทราบสาเหตุ กลีบปากนุ่มเม้มสลับคลาย กล้ามเนื้อในอกข้างซ้ายก็เต้นถี่ขึ้นอย่างที่เธอไม่สามารถควบคุมมันได้ ยามเมื่อนึกถึงคำพูดที่ออกมาจากริมฝีปากหยักลึก
“ถ้าฟลอนซ์อยากขอบคุณผมด้วยการกอดก็ได้นะ ผมยินดี”
“คนบ้า เราไม่ได้เป็นอะไรกันซะหน่อย ทำไมฟลอนซ์ต้องกอดคุณเพื่อขอบคุณด้วยล่ะ ฟลอนซ์ก็แค่เผลอตัวคิดว่าเป็นพี่ชายต่างหาก”
หญิงสาวคล้ายบ่นพึมพำกับตัวเอง ทว่าเรียวปากอวบอิ่มกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว
ฟลอเรนซาสลัดความคิดถึงเรื่องราวในอดีตให้ออกไปจากหัว มือบางทั้งสองข้างยกขึ้นเกลี่ยน้ำตาที่ค่อยๆ ซึมออกมาบริเวณหางตา
เธอต้องเข้มแข็งให้มากกว่านี้
เธอไม่ควรต้องเสียน้ำตาให้คนใจร้ายอย่างเอริค ฟรีเดลอีก
พอคิดได้แบบนั้น เปลือกตาบางใสจึงค่อยๆ ปิดลง ถึงแม้จะใช้เวลาอยู่พักใหญ่ แต่สุดท้ายก็บังคับให้ตนเองข่มตาหลับลงได้สำเร็จ