ห้าปีต่อมา
กรุงเทพฯ ประเทศไทย
ฟลอเรนซาวางเมาส์ปากกาลงข้างโน้ตบุ๊กแบบหน้าจอทัชสกรีน หญิงสาวกำลังออกแบบเครื่องประดับคอลเลกชั่นใหม่สำหรับวางจำหน่ายที่ร้านจิเวลรีที่เธอเป็นเจ้าของ ร้านของหญิงสาวตั้งอยู่ในชั้นห้างสรรพสินค้าของโรงแรมชื่อดังใจกลางกรุงเทพฯ อย่างโรงแรมคาสซาโน่แกรนด์ และเจ้าของโรงแรมก็คือฟอซโซ คาสซาโน่ ซึ่งเป็นพี่ชายฝาแฝดของเธอ แต่ตอนนี้พี่ชายของเธอไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะส่วนใหญ่จะบริหารงานอยู่ที่โรงแรมคาสซาโน่แกรนด์สาขาใหญ่ในกรุงโรม ประเทศอิตาลี และเธอเองก็ยังมีร้านจิเวลรีอยู่ที่กรุงโรมอีกร้านด้วย
ฟลอเรนซาเป็นลูกเสี้ยว บิดาของเธอเป็นลูกครึ่งไทยอิตาลี ส่วนมารดาเป็นคนไทย หญิงสาวมีดวงตาสีเทาอ่อนเหมือนคนเป็นบิดา ทว่าสีผมดำสนิทเหมือนมารดา เส้นผมของหญิงสาวดัดเป็นลอนใหญ่ยาวจนเกือบถึงบั้นเอว ใบหน้าหวานซึ้งถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอย่างพอเหมาะพอเจาะตามสไตล์ของคนที่รู้จักการแต่งตัว ผิวกายของหญิงสาวขาวผ่อง ผิวเรียบเนียนละเอียดไปแทบทั้งตัว แม้หญิงสาวจะย่างเข้าสู่วัยสามสิบเอ็ดปี ทว่าใบหน้ายังคงดูอ่อนเยาว์ราวกับหญิงสาววัยยี่สิบต้นๆ นั่นเพราะเจ้าตัวใส่ใจดูแลเรือนร่างและสุขภาพของตัวเองเป็นอย่างดี
ฟลอเรนซาขยับตัวลุกจากเก้าอี้ในห้องทำงานที่ซ่อนอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์เครื่องประดับ ซึ่งมีพนักงานสาวคอยให้บริการลูกค้า ร่างบอบบางเปิดประตูแล้วก้าวออกมาด้านนอก เดินไปหาพนักงานคนหนึ่งแล้วสอบถาม
“เห็นเอเดรียนไหมจ๊ะ”
ฟลอเรนซาถามพนักงานตรงเคาน์เตอร์ ซึ่งอีกฝ่ายรีบให้ข้อมูลทันที
“คุณเอเดรียนพาคุณฟรังโก้ไปเดินเล่นค่ะ”
ได้ฟังคำตอบแบบนั้นฟลอเรนซาถึงกับหลุดยิ้มออกมา ที่พนักงานตอบแบบนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสักนิด เอ
เดรียนคือลูกชายวัยสี่ขวบของเธอ ส่วนฟรังโก้ก็คือบอดี้การ์ดหนุ่มที่พี่ชายของเธอส่งมาให้คอยดูแลเอเดรียน ลูกชายของเธออยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็น แถมค่อนข้างซุกซนเอาการเชียวละ เป็นหลานชายคนเดียวของบ้าน ทุกคนเลยตามใจ
รวมถึงบอดี้การ์ดหนุ่มอย่างฟรังโก้ด้วย
คงจะชวนฟรังโก้ไปเดินเล่นที่ไหนสักที่ละสินะ
ฟลอเรนซาส่ายหน้าเบาๆ ทว่าริมฝีปากอวบอิ่มกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มเมื่อคิดถึงบุตรชาย ร่างบอบบางขยับเท้ากลับไปในห้องทำงานของตัวเองอีกครั้งเพราะไม่ได้หยิบโทรศัพท์มือถือติดมือออกมาด้วย เมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการจึงไม่รีรอที่จะกดโทร.ออกทันที
“คุณฟรังโก้อยู่ที่ไหนกันคะ”
ฟรังโก้เป็นเพียงบอดี้การ์ดทว่าฟลอเรนซาก็ให้ความเคารพอีกฝ่าย แม้ครอบครัวของหญิงสาวจะร่ำรวยมหาศาลจากการเป็นเจ้าของธุรกิจโรงแรมคาสซาโน่แกรนด์ที่มีมากกว่ายี่สิบสาขาทั่วโลก หญิงสาวไม่ได้เข้าไปบริหารงานเอง แต่เม็ดเงินที่ได้รับจากการเป็นหุ้นส่วนร่วมกับพี่ชายฝาแฝดในแต่ละปีถือว่าค่อนข้างมาก เอาเป็นว่าหากหญิงสาวแค่นั่งกินนอนกินโดยไม่ต้องทำงานเพิ่มเติม ก็ยังมีเงินเหลืออีกจำนวนมากมายก่ายกองจนนับไม่ถ้วน แต่ฟลอเรนซาไม่ใช่คนแบบนั้น หญิงสาวรักการทำงาน มีอัธยาศัยดีต่อทุกคน แม้คนๆ นั้นจะเป็นเพียงลูกจ้างหรือคนงานในบ้าน ทุกคนจึงให้ความเคารพนอบน้อมโดยที่หญิงสาวไม่ต้องร้องขอหรือบีบบังคับ
“อยู่ที่ร้านหนังสือครับ คุณฟลอนซ์จะให้ผมพาคุณเอเดรียนกลับไปเลยไหมครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฟลอนซ์ไปหาลูกเอง”
ฟลอเรนซาบอกก่อนจะกดวางสาย ร่างบอบบางในชุดแซกแขนกุดเข้ารูปสีชมพูอ่อนคว้าประเป๋าสะพายข้างสีเดียวกับชุดติดมือไปด้วย ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังร้านหนังสือที่อยู่ไม่ไกลจากร้านจิเวลรีของตัวเองนัก
ฟลอเรนซาหยุดเท้าที่หน้าร้านหนังสือ ดวงตาสีเทาอ่อนมองหาฟรังโก้และบุตรชายแสนซุกซนวัยสี่ขวบของตัวเอง ก่อนจะเห็นฟรังโก้อยู่ตรงมุมหนึ่งของร้าน ร่างบอบบางขยับเท้าไปตรงนั้นทันที บอดี้การ์ดหนุ่มหันมาเมื่อหญิงสาวหยุดเท้า
“เอเดรียนล่ะคะ”
“คุณเอเดรียนอยู่ตรงมุมหนังสือนิทานครับ บอกว่าต้องการเวลาส่วนตัวครับ”
“เอเดรียนบอกว่าต้องการเวลาส่วนตัวอย่างนั้นหรือคะ”
ฟลอเรนซาหัวเราะเบาๆ ลูกชายวัยสี่ขวบของเธอทำราวกับว่าตนเองเป็นผู้ใหญ่ หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะบอกฟรังโก้
“เดี๋ยวฟลอนซ์ไปตามเอเดรียนเองค่ะ”
เอริคลอบมองเด็กชายตัวน้อยวัยสี่ขวบที่กำลังหยิบหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ขึ้นมาดู โดยส่วนใหญ่หนังสือที่เจ้าตัวหยิบขึ้นมาเป็นหนังสือนิทานภาพ ก่อนที่เจ้าหนูตัวเล็กที่มีผมสีน้ำตาลทอง นัยน์ตาของเด็กคนนั้นมีสีฟ้าเหมือนกับเขาไม่มีผิดเพี้ยน ซึ่งชายหนุ่มเองก็มีดวงตาสีฟ้าและผมสีน้ำตาลทองเช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะชาวยุโรปส่วนใหญ่ก็มีลักษณะสีผมและสีตาแบบนั้น หากให้เขาเดา ไม่บิดาก็คงเป็นมารดาของเด็กที่เป็นชาวยุโรป เขาคงลอบมองเจ้าตัวเล็กนานเกินไป อีกฝ่ายถึงได้หันมามองเขาอย่างเอาเรื่อง
“คุณลุงมองผมทำไมฮะ”
เสียงเจ้าหนูน้อยที่เอ่ยถามด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่วด้วยท่าทางเอาเรื่องทำให้เอริคอดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้ หากจำไม่ผิดห้าปีแล้วละมั้งที่เขาไม่ได้ยิ้มกว้างมากขนาดนี้ รอยยิ้มที่เขาเคยมีหายไปพร้อมกับผู้หญิงใจดำคนนั้น ความอ่อนโยนสุภาพที่เคยมีก็หายไปเช่นกัน เหลือไว้เพียงเอริค ฟรีเดล พ่อค้าเพชรหนุ่มที่หัวใจด้านชา ท่าทางแข็งกระด้าง รอยยิ้มของเขาจะเกิดขึ้นก็เพื่อธุรกิจเท่านั้น
ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาตีสนิทเพราะปรารถนาเพียงบางสิ่งจากเขา เธอหลอกลวงเขาอย่างเลือดเย็น ทว่าเขากลับรักเธอหมดใจ จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังรักอยู่
ภาพดวงหน้าหวานซึ้งของหญิงสาวนัยน์ตาสีเทาอ่อน ริมฝีปากอวบอิ่มรับกับจมูกเชิดรั้น เส้นผมสีดำสนิทที่ลอยเข้ามาในหัว ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาเลือนหายไป เหลือเพียงการแค่นยิ้มอย่างสมเพชตัวเองเท่านั้น ทว่าเขาต้องหลุดออกจากความคิดของตัวเองอีกครั้ง เมื่อเจ้าเด็กตัวน้อยร้องถาม
“ผมถามคุณลุงไม่ได้ยินหรือฮะ”
คราวนี้เอริคกลับมายิ้มได้อีกครั้ง ดูเหมือนว่าเจ้าหนูนี่จะเป็นเด็กที่เอาแต่ใจตัวเองอยู่ไม่น้อย ร่างสูงของเอริคค่อยๆ ลดตัวลงนั่งบนส้นเท้า เพราะเกรงว่าเจ้าเด็กตัวน้อยจะเมื่อยคอเพราะต้องแหงนหน้าคุยกับเขา
“ที่ฉันมองก็เพราะเห็นนายมาคนเดียว พ่อแม่ของนายไปไหนซะล่ะ”
“ผมไม่บอกคุณลุงหรอก คุณแม่ไม่ให้ผมคุยกับคนแปลกหน้า”
เป็นอีกครั้งที่เอริคถึงกับหลุดยิ้มกว้างออกมา เจ้าเด็กตัวเล็กนี่ดูพูดจาฉะฉานจนเกินตัว แต่ให้ตายเถอะ ใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายชวนคุยก่อน ถึงจะคุยแบบต้องการจะเอาเรื่องก็ตาม
จู่ๆ เอริคก็นึกอยากจะแกล้งเด็กชายตัวน้อยตรงหน้าขึ้นมา