"เหยียนเหยียน ตื่น ตื่นสิ" จ้าวเหยียนลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงแล้วหอบหายใจแรง
"ฝันร้ายอีกแล้วหรือ" หว่านหว่าน รูมเมทที่พักห้องเดียวกับเธอถามอย่างเป็นห่วง
"อืม" เธอลุกขึ้นไปรินน้ำดื่มอย่างไร้เรี่ยวแรง
นับวันความฝันของเธอก็เริ่มชัดเจนขึ้น จากเมื่อก่อนตอนที่ยังเป็นเด็กเธอเพียงฝันเห็นหน้าเขาอย่างเลือนราง บอกไม่ถูกว่าคนคนนั้นมีรูปร่างหรือใบหน้าอย่างไร
จนเมื่อจ้าวเหยียนได้งานเป็นพยาบาลที่โรงพยาบาลชั้นนำของปักกิ่ง ความฝันที่หลอกหลอนเธอมาตลอดก็เริ่มเด่นชัดขึ้น เธอแน่ใจว่าไม่ได้ดูซีรีส์หรืออ่านนิยายเรื่องไหนจนเก็บไปฝันอย่างแน่นอน
หากจะนำเรื่องมาปะติดปะต่อคงเขียนเป็นนิยายได้สักเล่ม แต่งานที่เธอทำ เธอจะเอาเวลาที่ไหนไปนั่งอ่านนิยาย ทุกวันนี้จ้าวเหยียนแทบจะรับจ้างอยู่เวรเพื่อให้เธอลืมความฝันของเธอ
เมื่อเดือนที่แล้วเธอฝันว่าตัวเธออยู่ในอีกยุคหนึ่ง เป็นเด็กน้อยอยู่ในตระกูลจ้าว บิดาของนางเป็นเสนาบดีกรมการคลัง มีมารดาที่เป็นฮูหยินเพียงหนึ่งเดียว มีพี่ชายที่มอบความรักให้เธออย่างเต็มเปี่ยม
งานเลี้ยงในวังหลวงบิดามารดามักจะพาเธอและพี่ชายไปด้วยเสมอ สหายในวัยเดียวกันต่างห้อมล้อมรอบตัวเธอ จนวันหนึ่งที่เธอเข้าร่วมงานเลี้ยงเช่นทุกครั้ง เธอวิ่งเล่นไปทั่วกับสหายและได้ไปพบเด็กชายที่อายุมากกว่าเธอไม่เท่าไรนั่งกอดเข่าอยู่ที่ดงดอกไม้หลบหนีสายตาของคนอื่น
"เจ้าเป็นอันใดหรือไม่" จ้าวเหยียนเดินเข้าไปสะกิดที่ไหล่ของเด็กชายคนนั้น
"ออกไป อย่ามายุ่งกับข้า" เด็กชายเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองจ้าวเหยียนอย่างดุร้าย
"เช็ดหน้าเสียก่อน หน้าเจ้าเลอะจนน่าเกลียดนัก" จ้าวเหยียนส่งผ้าเช็ดหน้าของนางให้เขา แต่เด็กหนุ่มปัดผ้าเช็ดหน้าของนางทิ้ง
"เหอะ ข้าหวังดี ไม่รับน้ำใจก็ไม่เห็นต้องทำเช่นนี้ สมควรแล้วที่เจ้าจะถูกรังแก" จ้าวเหยียนตะโกนใส่หน้าของเด็กชายคนนั้นแล้ววิ่งกลับไปหาสหายของนาง
เด็กชายมองตามนางไปจนลับสายตา เขาเก็บผ้าเช่นหน้าของจ้าวเหยียนขึ้น แล้วจ้องมองอย่างเหม่อลอย เขามิได้ใช้ผ้าเช็ดหน้าของจ้าวเหยียนแต่เก็บเข้าไปในอกเสื้อแทน
นี่คือสิ่งที่จ้าวเหยียนฝัน แต่ครั้งนี้ชัดเจนกว่าในยามเด็ก เหตุการณ์ในความฝันเริ่มเล่าตั้งแต่วัยเด็กจนวันที่นางออกเรือน และตอนที่นางหอบลูกสาวและลูกในท้องหนีจากสงครามแย่งชิงบัลลังก์จากเมืองหลวง
และความลำบากจากการปิดบังตัวตนเพื่อหลบซ่อนตัว จนวันที่นางได้ตายลงเพราะความเจ็บป่วยที่เรื้อรังจนไม่อาจรักษาได้ นางได้ทิ้งบุตรทั้งสองให้ใช้ชีวิตกันตามลำพัง
ทุกครั้งที่จ้าวเหยียนฝันถึงตอนนี้ นางจะร้องไห้อย่างเจ็บปวด โดยไม่รู้เหมือนกันว่านางสงสารเด็กทั้งสองหรือสงสารในความรันทดของหญิงสาวที่อยู่ในฝันของนาง
จ้าวเหยียนยังใช้ชีวิตเช่นทุกวันอย่างปกติ เธอไปทำงานที่โรงพยาบาล กลับมาถึงห้องก็แทบสิ้นเรี่ยวแรง เมื่อกลับมาเห็นหว่านหว่านที่ออกเวรมาก่อนหนังอ่านนิยายและกินขนมอย่างสบายใจ
"หว่านหว่านเธออ่านอะไร" จ้าวเหยียนพูดคุยกับเพื่อนสาวเช่นปกติทุกวัน
"นิยายเรื่องใหม่ที่ฉันเพิ่งกดซื้อมาอ่าน" หว่านหว่านส่งโทรศัพท์ในมือให้จ้าวเหยียนเพื่อดูสิ่งที่เธออ่าน
"ตกหลุมรักแม่สื่อตัวร้าย เธออ่านเถอะ ฉันเหนื่อยจนอย่างจะนอนจะแย่อยู่แล้ว"
จ้าวเหยียนเดินเข้าไปอ่านน้ำ เมื่อออกมาก็ยังคงเห็นหว่านหว่านอ่านนิยายจากโทรศัพท์อยู่
"สนุกมากเลยหรอ" จ้าวเหยียนเอ่ยถาม เพราะเพื่อนของเธอยังไม่ละสายตาออกจากโทรศัพท์ในมือ
"เนื้อเรื่องกระชับดี นางเอกทะลุมิติไปถึงก็โดนอีป้าสะใภ้จะจับแต่งาน ฉันอยากจะเข้าไปตบแทนนางเอกเลย" จ้าวเหยียนหัวเราะให้ความอินของหว่านหว่าน
"ฉันอนแล้วนะ เธอก็รีบนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องเข้าเวรแต่เช้า" จ้าวเหยียนเลิกสนใจหว่านหว่านและล้มตัวลงนอนทันที
"เจ้ามาหลบอีกแล้วหรือ เหตุใดถึงได้เจ็บตัวอยู่เรื่อยเลย" จ้าวเหยียนหยิบผ้าเช็ดหน้าของนางออกมา แล้วจับใบหน้าของเด็กหนุ่มเพื่อเช็ดคราบสกปรกออก
"เจ้าหาข้าเจอได้อย่างไร" ครั้งนี้เขามิได้ปฏิเสธนางและยอมให้นางเช็ดหน้าแต่โดยดี
"ข้าเพียงผ่านมาเท่านั้น" จ้าวเหยียนเงยหน้ามองเขาด้วยดวงตาที่กลมโต
"เจ้าเป็นคุณหนูตระกูลใด"
"ข้าจ้าวเหยียน บุตรสาวเสนาบดีกรมคลัง แล้วเจ้าเล่า" นางนั่งลงข้างเด็กชาย และหยิบขนมที่นางพกมาด้วยลงให้เขากิน
"ข้า ฉีหนิงห่าว"
"เช่นนั้น ท่านก็ ท่านก็ เป็นองค์ชายใช่หรือไม่" จ้าวเหยียนลุกพรวดขึ้นและทำความเคารพหนิงห่าวทันที
"หากข้าเป็นองค์ชาย เจ้ายังจะเป็นสหายของข้าหรือไม่" หนิงห่าวจ้องมองนางอย่างคาดหวัง
"ท่านเป็นถึงองค์ชายแล้วปล่อยให้ตนเองโดนรังแกได้อย่างไร" จ้าวเหยียนเมื่อเห็นรอยช้ำบนใบหน้าของหนิงห่าวก็เท้าสะเอวเอ่ยถามอย่างโมโห
"ข้าสู้พวกเขามิได้" เขาก้มหน้าลงเพื่อข่มอารมณ์
"ท่านก็ต้องทำให้ตนเองแข็งแกร่งมิเช่นนั้น หากข้าเป็นสหายของท่าน ท่านจะปกป้องข้าได้อย่างไร" หนิงห่าวเงยหน้าขึ้นมองจ้าวเหยียนก็เห็นใบหน้าของนางโมโหจนแดงก่ำ
เพียงคำพูดของนางในวันนั้น หนิงห่าวก็เริ่มขอเสด็จพ่อของเขาเพื่อฝึกวรยุทธ เพื่อวันหนึ่งเขาจะได้แข็งแกร่งจนสามารถปกป้องนางที่เป็นสหายเพียงหนึ่งเดียวของตนได้
จ้าวเหยียนเมื่อตื่นขึ้นก็พบว่านางฝันไปอีกแล้ว และครั้งนี้ต่างจากเดิมที่นางจำชื่อของเขาได้
"ฉีหนิงห่าว" นางพึมพำชื่อของเขาเบาๆก่อนจะลุกขึ้นเพื่อไปเตรียมตัวเข้าเวรเช่นเดิม
เสียงโทรศัพท์ของจ้าวเหยียนดังขึ้นเมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏเธอก็รีบรับอย่างดีใจ
"คุณแม่ โทรหาหนูแต่เช้ามีอะไรหรือเปล่าคะ"
"อาเหยียน วันหยุดนี้ลูกจะกลับบ้านหรือเปล่าจ๊ะ"
"คุณแม่หนูคงไม่ได้กลับค่ะ เพื่อนฝากเวรให้หนูอยู่แทน"
"เอาไว้ว่างก็กลับบ้านมาหาพ่อกับแม่บ้างนะลูก อย่าลืมพักผ่อนให้มากหน่อย"