แค่คืนเดียว

2877 Words
5 แค่คืนเดียว เขาเป็นผีหรือไร เธอถึงมองไม่เห็น ก็พอเดาได้อยู่บ้างว่าเขาคงเป็นคนที่เธอเกลียดเข้ากระดูกดำ แต่การกระทำหมางเมินไม่แม้แต่ชายตามองหน้ากันสักนิดมันทำให้ปราบต์รู้สึกไร้ค่า เป็นอากาศที่อยู่รอบตัว แต่เธอกลับทำเหมือนกลั้นหายใจไม่อยากสูดเอาเข้าปอด “โลกไม่กลม แต่มันแบนเลยต่างหาก” ปรมัตถ์พึมพำหลังเด่นภูมิพาหญิงสาวขึ้นไปด้านบน “ผมไม่คิดว่าจะรู้จักเธอมาก่อนเลย แม่เธอเป็นเพื่อนของป๊าเหรอ” “เธอเป็นรุ่นน้องสมัยเรียนมหา’ลัยน่ะ ถ้าไม่มีแม่ของปรายฟ้า ชาตินี้พวกแกก็คงไม่ได้เกิดหรอก เธอเป็นแม่สื่อแม่ชักให้ฉันได้รักกับแม่ของพวกแกไง” หลังจากสำเร็จการศึกษาต่างคนก็ต่างแยกย้ายไปตามเส้นทาง ส่วนดิฐากับปานเดือนยังเวียนวนได้เจอกันในสังคมอยู่บ้าง เธอเป็นลูกสาวท่านทูต ฐานะชาติตระกูลสูงส่ง ต่อมาสมรสกับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ก่อนประสบปัญหาชีวิตคู่เมื่อหลายปีก่อน และจากนั้นมาปานเดือนก็หายจากการติดต่อไปเลย “แบบนี้คงปล่อยผ่านไม่ได้แล้วสิ” ปรมัตถ์ปรายคำพูดไปทางพี่ใหญ่อย่างมีเลศนัย หนักกว่าการที่ลูกของพี่ชายยังมีชีวิต คือแม่ของลูกดันเป็นคนคุ้นเคยของป๊าเสียด้วย ปราบต์ได้รับสายตาเยาะหยันจากน้องก็พาลหงุดหงิดจึงปลีกหนีขึ้นชั้นสอง ไม่สนแม้ดิฐาเรียกให้กลับมาคุยกันก่อน “เขาว่าไงบ้างปลื้ม” ปราบต์ถามน้องที่กำลังเดินสวนลงมาพอดี “ก็ยังไม่ทันจะว่ายังไงนะ พอดีน้องปิงปิงร้องไห้น่ะ แม่เขาก็ปลอบอยู่ ผมเลยปล่อยให้อยู่กันตามลำพัง” เด่นภูมิรายงานแล้วกลับไปรวมกลุ่มด้านล่าง ส่วนคนเจอศึกหนักที่สุดในรอบหลายปีเลือกก้าวเดินต่อไป ทุกอย่างช่างดูยากไปหมด ลูกก็ดูคล้ายว่าไม่ต้อนรับ ยิ่งแม่ของลูกยิ่งไม่ชายตามองแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม เขาจมกับการตัดสินใจผิดพลาดมานานนับหลายปี เรื่องเซอร์ไพร์สที่เกิดขึ้นวันนี้คือโอกาสแก้ตัวหนที่สอง และปราบต์จะไม่ทำพลาดอีกแล้ว ลูกเกิดจากเขา ดังนั้นเขาควรได้สิทธิ์ปกครองร่วมด้วย ร่างสูงหยุดปลายเท้าหน้าห้องที่บานประตูเปิดอ้ากว้าง เสียงพูดคุยเล็ดลอดออกมาอย่างชัดเจนทุกถ้อยคำ ปราบต์ไม่อยากเข้าไปขัดจังหวะจึงเลือกแอบฟังอยู่ด้านนอก “แม่โกรธมากไหมอะครับที่เราแอบมาแบบนี้” ลูกชายเสียงอ่อยขณะถามอย่างซื่อตรง “แม่เป็นห่วงมากกว่าโกรธ” และยิ่งเห็นหน้าหงอยเหงาเศร้าสร้อย พอเธอปรากฏตัวลูกสาวก็ร้องไห้จ้าวิ่งเข้ามากอด เป็นแบบนี้แล้วปรายฟ้าจะแปลงร่างเป็นนางมารถือไม้หวายได้อย่างไร “หนูขอโทษค่ะ เพราะหนูพี่ปกถึงต้องมาด้วย หนูก็แค่อยากเห็นหน้าพ่อเท่านั้นเอง เขาไม่เคยมาให้เห็นหน้า และพอเจอกันเขาก็ไม่ดีใจ” ปิงปิงเอ่ยขอโทษเป็นหนที่สองตั้งแต่เจอแม่ “เห็นไหมล่ะ บอกแล้วว่าอย่าคาดหวัง” ปกป้องได้ทีซ้ำเติม ปรายฟ้าลูบเรือนผมลูกสาวที่กอดซุกอกอุ่น ในขณะที่แฝดพี่นั่งซบแขนเธออยู่อีกฝั่ง สถานการณ์ที่เกิดขึ้นมันอึดอัดหนักหน่วง ปรายฟ้าก็ไม่ฉลาดขนาดจะคิดหลบหลีกอธิบาย รู้อย่างนี้น่าจะชิงตัดหน้าปานเดือนบอกลูกว่าพ่อของเขาตายไปนานแล้ว “ไม่เป็นไรนะลูก ความรักของแม่กับคุณยายก็เพียงพอแล้วเนอะ ชีวิตมันซับซ้อนแม่เข้าใจหนูสองคนที่อยากเห็นหน้าพ่อ และแม่ก็ขอโทษที่ทำให้หนูมีชีวิตไม่สมบูรณ์เหมือนคนอื่น แต่ฟังไว้นะลูกว่าหนูสองคนคือการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในชีวิตแม่” การอุ้มท้องในวัยสิบแปดปีไม่ใช่เรื่องสนุก ขณะที่อนาคตเรียนต่อจ่อรออยู่ตรงหน้า ทว่าปรายฟ้ากลับเลือกเส้นทางคุณแม่วัยใส ก็ไม่เชิงว่าทอดทิ้งการเรียนเสียทีเดียว แค่เลือกความเหนื่อยให้ชีวิตแบบคูณสอง ปรายฟ้าเผชิญกับความเจ็บปวดมาก็มาก หากต้องขึ้นเขียงทำแท้งก็เท่ากับต้องแบกรับความรู้สึกผิดอีกไปจนชั่วชีวิต แน่นอนว่าการรีดตัวอ่อนออกไปย่อมดีกว่าท้องทั้งที่ไม่พร้อม แต่ปรายฟ้าไม่อยากทำเช่นนั้น...ไม่อยากให้คนที่ทำลายชีวิตเธอสมหวังไปมากกว่านี้ ปรายฟ้าเติบโตขึ้นมากก็เพราะมีลูก มีความเป็นแม่ มีความเป็นผู้ใหญ่ที่อาจจะเกินวัยไปบ้าง การต้องเป็นเสาหลักครอบครัวในวัยเพียงสิบแปดปีทำให้ปรายฟ้าค้นพบว่าตัวเองก็เก่งพอจะทำอะไรใหญ่ๆ โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร ซึ่งนั่นไม่ใช่อีโก้ แต่เป็นความแข็งแกร่งที่พอจะยืนหยัดด้วยตัวเองอย่างมั่นคง และสามารถสยายปีกปกป้องสองแฝดได้ คนแอบฟังอยู่หน้าประตูเหมือนยืนอยู่หน้ากระจกเงาที่สะท้อนให้เห็นความเขลาสุดเลวร้ายของตัวเอง ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไรของวันที่เขาถูกครอบงำด้วยความรู้สึกย่ำแย่และผิดหวังในตัวเอง ทั้งลูกทั้งแม่เหมือนกำลังตอกลิ่มไม้กลางใจเขาครั้งแล้วครั้งเล่า “ปะ กลับบ้านกันเถอะนะลูก” ประโยคนั้นของปรายฟ้าราวกับเป็นการเรียกคนที่แอบฟังอยู่นานให้โผล่ออกมา ปรายฟ้าตกใจเล็กน้อย ก่อนเมินเขาแล้วพาลูกลงจากเตียง “ข้างนอกฝนตกลมแรง อย่าเพิ่งไปเลยครับ อยู่ที่นี่ก่อน” “ไม่เป็นไรค่ะ” ปรายฟ้าปฏิเสธโดยไม่มองหน้าเขา และกดโทรศัพท์เรียกแท็กซี่จากแอปพลิเคชั่น แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีใครกดรับบริการ ปราบต์เองก็ยืนนิ่งมองเธออยู่เช่นนั้น แม้เธอไม่เงยหน้าขึ้นสบกันเลยก็ตาม “ปกป้องกับปิงปิงนอนค้างที่บ้านพ่อก่อนนะลูก” ปราบต์หันไปเอ่ยกับสองแฝดที่จ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้ว และการเรียกแทนตัวเองว่า ‘พ่อ’ ก็ดึงสายตาคนเป็นแม่เงยขึ้นมองเขาเต็มตา ปรายฟ้าไม่ได้มองด้วยความตกใจ หากแต่เป็นความไม่พอใจต่างหาก “ไม่เป็นไรค่ะ” ปรายฟ้าปฏิเสธซ้ำคำเดิมอีกครั้งแต่น้ำเสียงเริ่มห้วน กล้ามากนะที่เรียกแทนตัวเองว่าพ่อ หญิงสาวเมินเขาอีกครั้งด้วยการหันหลังให้ พลางชะเง้อมองนอกหน้าต่างที่รูดม่านเปิดไว้เล็กน้อย ฝนถล่มลมกรรโชกแรงกว่าตอนที่ปรายฟ้านั่งแท็กซี่มาที่นี่ก็จริง แต่จะไม่มีโชเฟอร์อยากหารายได้ในช่วงนี้จริงเหรอ ครั้นจะขอให้คนที่บ้านนี้ไปส่งก็กระไรอยู่ อีกอย่างปรายฟ้าตัดขาดจากทั้งเพื่อนที่เคยอยู่ที่นี่ และครอบครัวเดิมไปนานแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีตัวเลือกใดเหลืออยู่เลย เอาไงดีล่ะเนี่ย ครืนๆ! ฟ้าร้องดังลั่นพร้อมสายฟ้าที่แลบวาบเข้ามา คนที่กำลังมองออกไปนอกหน้าต่างก็พลันตกใจถอยหลังกรูด สองมือยกปิดหูจนชนเข้ากับแผ่นอกของคนที่ยืนปักหลักอยู่ “พักที่นี่แหละ แค่คืนเดียวเอง คงไม่ลำบากอะไรสำหรับคุณ” คนโดนชนไม่เซเสียหลักยังยืนตระหง่านเป็นรูปสลักอยู่ที่เดิม ส่วนปรายฟ้ารีบก้าวถอยไปหาลูกที่นั่งอยู่บนเตียง “ลำบากค่ะ และลูกเองก็อยากกลับเชียงใหม่กันแล้ว ไม่มีใครอยากอยู่ที่นี่” “หนูอยากค่ะ” สาวน้อยที่เพิ่งร้องไห้กับแม่แหม็บๆ ชูมือขึ้น ปรายฟ้าย่นหน้าใส่ปิงปิงทันที ส่วนปราบต์แค่นเสียงในลำคอมุมปากเปื้อนยิ้ม แม่หรือลูกกันแน่ที่ไม่อยากอยู่ที่นี่ “เดี๋ยวผมไปขอเสื้อผ้าจากน้องสะใภ้ให้ ส่วนเด็กๆ อืม...ออกัสก็ตัวโตด้วยสิ แต่อาจจะพอมีก็ได้ เดี๋ยวพ่อไปดูให้นะครับ” รอยยิ้มที่เขามอบให้ลูกผ่อนคลายลงกว่าทุกครั้ง และการเรียกแทนตัวว่าพ่อกำลังสร้างความรู้สึกเชิงบวกให้สองแฝด ไม่เว้นกระทั่งปกป้องที่แม้พยายามสร้างกำแพงอคติปิดกั้น แต่ก็อดรู้สึกดีไม่ได้ ส่วนปรายฟ้าเธอไม่มีความยินดีสักกระผีกเดียวที่เขาเรียกแทนตัวเองเช่นนั้น ร่างบางจึงสาวเท้าตามไปอย่างรักษาระยะห่างเพื่อรอตกลงสร้างความเข้าใจ ปราบต์เคาะห้องเมรินทร์และรอไม่นานบานประตูก็เปิดออก “พี่ปราบต์มีอะไรเหรอคะ” “เอพริลพอจะมีเสื้อผ้าให้คุณปรายฟ้ายืมใส่สำหรับคืนนี้ไหม ข้างนอกฝนตกหนักยังไงก็กลับไม่ได้” ใจเขาเองก็อยากรั้งสามแม่ลูกไว้ก่อน “มีสิคะ เดี๋ยวไปดูให้นะ” “พี่ขอยืมเสื้อผ้าออกัสให้ปกป้องกับปิงปิงใส่ด้วยได้ไหม” ปราบต์เบือนสายตากลับไปทางห้องที่จากมาและพบว่าปรายฟ้าก็ยืนรออยู่หน้าห้อง ก็เห็นอยู่ว่าเธอมองเขา แต่พอเหลียวกลับไปเธอก็เบือนหนีเสียอย่างนั้น เกลียดกันถึงขนาดที่สบตาจากระยะไกลๆ ก็ทำไม่ได้เลยหรือไง “ได้สิคะ กัสตัวใหญ่กว่าเด็กๆ แต่คิดว่าน่าจะมีเสื้อผ้าตัวเล็กอยู่บ้าง ให้แม่เขาไปเลือกในห้องออกัสได้เลยนะคะพี่ปราบต์” เมรินทร์ส่งยิ้มให้หญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าห้อง ปรายฟ้าก็ยิ้มตอบอย่างมีมารยาท ก่อนหน้านี้เธอสองคนได้ทักทายกันแล้ว เพราะเมรินทร์อยู่เฝ้าเด็กน้อยในห้องกระทั่งปรายฟ้าเข้ามา แต่ทักทายกันเพียงไม่กี่คำเมรินทร์ก็ปลีกตัวออกไปเพื่อให้ทั้งสามอยู่กันตามลำพัง “เอพริลไม่พาเขาไปเลือกเหรอ” “แล้วทำไมพี่ปราบต์ไม่พาเขาไปล่ะคะ นี่ก็บ้านพี่นะ” แม้ตอนนี้ดิฐาทำการยกให้เป็นของปรมัตถ์แล้วก็ตาม แต่ถึงอย่างไรสมาชิกของไกรกรัณย์ก็ยังอาศัยร่วมกันในคฤหาสน์หลังนี้ และที่เมรินทร์ไม่เป็นคนพาปรายฟ้าไปเลือกเสื้อผ้าของน้องชายเธอ นั่นเพราะอยากเปิดโอกาสให้ทั้งสองได้พูดคุยกัน เพียงมองจากตรงนี้ก็เห็นถึงความอึกอักไม่ยอมเข้าหน้ากัน คุณปราบต์เด็ดขาดทำงานเก่ง แต่พอเป็นเรื่องนี้กลับดูใจไม่สู้ยิ่งกว่าเด็กม.ต้นเสียอีก เมรินทร์หายกลับเข้าไปเอาเสื้อผ้าของตัวเองไม่นานก็ออกมาพร้อมเสื้อผ้าสามชุดสำหรับให้ปรายฟ้าเลือกใส่ “คุณปรายฟ้าเลือกเอานะคะ รูปร่างเราใกล้เคียงกัน หมายถึงตอนที่ฉันยังไม่ท้องน่ะค่ะ คืนนี้ก็พักที่นี่ก่อนไม่ต้องเกรงใจนะคะ” เมรินทร์ส่งเสียงบอกหญิงสาวขณะยื่นเสื้อผ้าให้พี่ชายของสามี “ขอบคุณค่ะ” “ส่วนเสื้อผ้าของเด็กๆ คุณปรายฟ้าไปเลือกเอาในห้องออกัสได้เลยค่ะ ห้องนั้นน่ะค่ะ น้องชายของฉันอายุสิบเอ็ด ตัวโตหน่อยแต่ก็คงมีเสื้อตัวเล็กๆ อยู่บ้าง ตอนนี้น้องไม่อยู่ห้องค่ะ ไปนอนที่บ้านแม่ คุณปรายฟ้าเลือกตามสบายเลยนะคะไม่ต้องเกรงใจ” “ขอบคุณอีกครั้งนะคะ” ปรายฟ้ายิ้มขอบคุณในไมตรีขณะที่เมรินทร์ผลุบหายเข้าห้องพร้อมปิดประตู ปราบต์เดินกลับมาหาเธอแล้วส่งเสื้อผ้าให้ “เดี๋ยวผมพาไปเลือกเสื้อผ้าของเด็กๆ” ปรายฟ้าเพียงพยักหน้ารับทราบ แล้วเอี้ยวตัวเอาชุดวางไว้บนชั้นข้างประตู จากนั้นก็เดินตามคนที่สูงชะลูดจนคนที่สูงเพียงหนึ่งร้อยหกสิบนิดๆ ไม่อยากยืนเทียบ ปราบต์พาเธอมาหยุดตรงโซนแต่งตัวภายในห้องของน้องชายเมรินทร์ ซึ่งคืนนี้ออกัสไปค้างคืนกับมารดาผู้ให้กำเนิด “เชิญเลือกได้เลยครับ” ปรายฟ้าก้าวมายืนตรงราวที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าของเด็กชายวัยสิบเอ็ดปี ดวงตาสีน้ำตาลเพียงไล่กวาดลวกๆ ยังไม่ยื่นมือไปเลือกสรร ขณะที่ดวงตาของคนตัวสูงจับอยู่ที่เสี้ยวหน้าของเธออย่างไม่เคลื่อนหายไปไหน “ขออะไรอย่างนะคะ คุณช่วยแทนตัวเองว่าลุงด้วยค่ะ อย่าแทนตัวเองว่าพ่อหรือสั่งให้เขาเรียกพ่อเด็ดขาด” ปรายฟ้าเอ่ยขึ้นโดยไม่เหลียวมองคนที่ยืนห่างออกไปเพียงเอื้อมมือ “ทำไมล่ะ” ยังจะต้องถามว่าทำไมอีกเหรอ คำขอของเธอก็มีเหตุผลง่ายๆ ที่ต่างคนต่างรู้อยู่แก่ใจ นี่เขามึนจริงหรือแกล้งไม่รู้กันแน่ “คุณหมดสิทธิ์นั้นตั้งแต่วันที่ให้เงินฉันไปทำแท้ง” “แล้วถ้าผมจะหน้าด้านขอสิทธิ์นั้น” “ฉันไม่ให้ค่ะ” ปรายฟ้าหมุนกลับไปประจันหน้าโดยไม่เลือกเสื้อผ้าผืนใดติดมือมาสักชิ้น “ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ค้างที่นี่ รอสักพักฝนคงหยุด” “ตกหนักขนาดนี้ไม่หยุดให้คุณหรอก” “เป็นพระพิรุณเหรอคะถึงมั่นใจว่าฝนจะไม่หยุด” ร่างบางขยับตัวไปทางซ้ายเพื่อออกไปจากที่นี่ แต่ร่างสูงขยับมาขวางหน้า “ทำไมคุณถึงเก็บเขาไว้” “เป็นเหตุผลส่วนตัวของฉันเอง และสาบานได้ว่าไม่มีเจตนาจะทำร้ายคุณทีหลัง หรือพอไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้คุณเลยจะทวงเงินห้าล้านคืน?” “ผมไม่ได้งก” บทพูดขาดหายห้วนๆ ปรายฟ้าคิดว่าเขาจะเอ่ยต่อ แต่ก็ไม่มีคำใดลอดออกมา ทว่าพอเธอขยับตัวจะเดินเขาก็ก้าวมาขวางอีกครั้ง “แต่ผมดีใจนะที่คุณเลือกแบบนี้” “เหรอคะ?” ดีใจจริงหรือ ทำไมสีหน้าถึงได้นิ่งอย่างกับหุ่นในร้านขายเสื้อแบบนั้นล่ะ “ไม่ต้องฝืนใจแสดงออกตรงข้ามกับความรู้สึกหรอกค่ะ ฉันไม่ได้เรียกร้อง ไม่ได้ต้องการอะไรจากคุณ และคิดไม่ถึงด้วยว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ว่าแต่คุณพอจะให้คนขับรถไปส่งฉันที่โรงแรมได้ไหมคะ” “นอนนี่แหละครับ ดึกแล้ว ฝนตกหนักผมไม่อยากให้คนของผมไปเสี่ยงข้างนอก” “รักลูกน้องจังนะคะ แต่ถ้าฉันไปบังคับน้องชายของคุณก็คงทำได้อยู่ โทษฐานที่เขาลักพาตัวลูกฉันมาที่นี่” “ปลื้มมันกลับไปแล้ว” ปราบต์โกหกออกไปอย่างรวดเร็วจนลืมคิดวิเคราะห์ให้หลายชั้น “กลับไปไหนคะ นี่ไม่ใช่บ้านเขาเหรอคะ” “ไม่เชิง มันมีคอนโดฯ น่ะ” “ทีคุณปลื้มยังไปได้ ฝนตกแค่ไหนก็ไปได้ แล้วทำไมฉันไปไม่ได้ล่ะ” “ก็...ก็มันออกไปหลังจากที่คุณขึ้นมาได้ไม่นาน” “โกหกเก่งจังเลยนะคะ เนียนมาก” คิดว่าทำหน้านิ่งตีมึนแล้วจะช่วยส่งให้คำพูดดูเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นเหรอ “คุณอยู่ที่นี่แหละครับ แค่คืนเดียวแล้วพรุ่งนี้ผมจะให้คนพาคุณไปส่งแต่เช้า” จะพาไปส่งแต่เช้า...แปลว่าเขาเองก็ไม่ได้อยากให้เธอค้างที่นี่นัก หากไม่ใช่สภาพอากาศเลวร้ายบีบบังคับ เฮ้อ เมื่อไหร่ฝนจะหยุดตกนะ อึดอัดชะมัด เปรี้ยง! “กรี๊ด!” เสียงฟ้าผ่าสนั่นตามมาด้วยเสียงร้องตกใจของคนขวัญอ่อน ปรายฟ้ายกมือปิดหูพร้อมขยับปลายเท้าเข้าใกล้คนตัวสูงอย่างลืมตัว ปราบต์ไม่ขยับหนี พลางก้มต่ำเอาแต่มองคนที่สูงเพียงอก กระทั่งฟ้าเบื้องบนสงบพร้อมสติที่กลับคืน ปรายฟ้าจึงรีบขยับออกห่าง ช้อนตามองหน้าเขาอย่างนึกอายที่เผลอแสดงความอ่อนแอ ก็แค่แพ้เสียงฟ้าร้อง ปกติเธอไม่ใช่คนขี้กลัว หวังว่าเขาคงไม่ทึกทักหาว่าเธอกำลังอ่อยหรอกนะ ไม่ได้พิศวาสอยากได้เป็นคู่ชีวิตเลยสักนิด “อยู่ที่นี่แหละครับ” “นี่ฤดูหนาวแท้ๆ ทำไมฝนถึงตกหนักขนาดนี้” “โลกไม่เหมือนเดิมนานแล้วนะครับ” ปรายฟ้าเหล่มองใบหน้าหล่อเพื่อหาแววล้อในสีหน้านั้น หากแต่เขาก็ยังคงขรึมนิ่งดังเดิม ปรายฟ้าจึงหันไปเลือกเสื้อผ้าของน้องชายเมรินทร์ “เจ้าของชุดจะไม่ว่าใช่ไหมคะ” “ไม่หรอกครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง” “งั้นก็ขอยืมชั่วคราวล่ะกันค่ะ” ปรายฟ้าไม่เลือกมาก ต้องการสำหรับใส่นอนเพียงให้พ้นคืนนี้ พอรุ่งเช้ามาถึงเธอก็จะให้ลูกใส่ตัวเดิมกลับเชียงใหม่ เมื่อปรายฟ้าได้เสื้อผ้าสำหรับเจ้าแฝดแล้วก็สาวเท้าออกไปโดยไม่รอเจ้าของบ้าน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD