เมื่อกลับมานั่งอยู่ภายในรถเพียงสองคนอีกครั้ง ปัทกรณ์ก็เปิดปากพูดในสิ่งที่เขาอยากจะบอกกับหญิงสาว
"ในเมื่อฉันปฏิเสธที่จะแต่งงานกับเธอไม่ได้ เราสองคนก็ควรจะมีข้อเสนอและข้อแลกเปลี่ยนที่จะต้องทำร่วมกันนะลักขณา"
"ยังไงอีกคะ?"
"ฉันจะแต่งงานกับเธอ แต่จะไม่จดทะเบียนสมรส"
"ฉันไม่มีปัญหาค่ะสำหรับเรื่องนี้ เพราะฉันก็ไม่ได้คิดจะจดอยู่แล้ว"
"ก็ดี ฉันจะบอกพ่อกับแม่ว่าไม่ให้จัดงานเอิกเกริกใหญ่โต จะจัดขึ้นเป็นการภายในเพียงแค่นั้น เชิญแขกแค่ทางฉันเพียงไม่กี่คน แล้วก็ครอบครัวของเธอเท่านั้นก็พอ"
"แล้วแต่คุณจะสะดวกใจค่ะ เพราะยังไงฉันก็ไม่มีปัญหากับอะไรอยู่แล้ว"
"เธอรู้ใช่ไหมถึงเธอจะเป็นเมียแต่งของฉัน แต่เธอก็ไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าข้าวเจ้าชีวิตฉันเลยแม้แต่นิด"
ลักขณาเข้าใจในความหมายของข้อนี้ที่เขาพูดมาดี เธอจะไม่มีสิทธิ์หึงหวง ไม่มีสิทธิ์แสดงตัวตน ไม่ว่าเขาจะคบหากับใคร ไม่ว่าเขาจะไปมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงที่ไหน เธอจะต้องอยู่ในที่ของเธอและรับกับทุกอย่างให้ได้เหมือนอย่างเช่นหนึ่งปีที่ผ่านมา
หญิงสาวได้แต่ยิ้มส่งให้เพียงเล็กน้อย เธอพยักหน้ารับทราบและไม่มีข้อโต้แย้งหลุดออกจากปากเลยสักนิด เพราะรู้ตัวเองดีมาตลอด รู้เสมอว่าตัวเองควรอยู่ตรงไหน รู้ว่าสถานะที่มีควรจะเป็นอย่างไร ถ้าในอนาคตมันยังจะเป็นแบบเดิมอยู่เธอก็ไม่มีปัญหาใด ๆ กับเรื่องแบบนั้นที่กำลังจะเกิดขึ้นอยู่แล้ว
"คุณไม่ต้องไปส่งฉันถึงคอนโดนะคะ ส่งแค่หน้าปากซอยก็ได้เดี๋ยวฉันจะนั่งรถกลับไปเอง เพราะว่าวันนี้ฉันว่าจะกลับบ้านที่ปทุมธานีซะหน่อย"
"ก็ดี บอกแม่ของเธอให้เข้าใจด้วยก็แล้วกัน"
พูดจบรถยนต์คันหรูก็ขับทะยานพุ่งออกจากประตูรั้วบ้านไปในที่สุด ภายในรถไม่มีเสียงพูดคุยใดใดให้ได้ยินอีก ต่างคนต่างเงียบและไม่สนใจตะมองแม้แต่หน้าของกันเลย
ลักขณากลับมาถึงบ้านที่เคยพักอาศัยอยู่มาตั้งแต่เด็ก บ้างช่องที่แลดูเงียบเชียบทำให้รู้สึกแปลกใจอยู่มาก นี่มารดาของเธอไปไหนเสียแล้วนะ เพียงแค่ไม่ถึงนาทีรถมอเตอร์ไซค์ก็ขับมาจอดอยู่ด้านหลังของเธอ
"พี่อุ้ม ลมอะไรหอบพี่มาถึงบ้านนะวันนี้" ชัชวาลย์น้องชายคนเล็กของเธอทักทายขึ้น ก่อนจะเดินเข้ามาหาพี่สาวที่นานทีปีละครั้งสองครั้งถึงจะได้พบเจอหน้ากันแบบนี้สักทีหนึ่ง
"อ้นไปไหนมาน่ะ ทำไมบ้านเงียบจัง แม่ไปไหนเหรอ?"
"คงอยู่ที่บ้านยายจุ๋มมั้ง สงสัยไปเม้าท์มอยกันเหมือนทุกวันนั่นแหละ"
"งั้นเดี๋ยวพี่จะเดินไปเรียกแม่ที่นั่นก็แล้วกัน มีเรื่องจะมาคุยกับแม่ด้วย"
ลักขณาเดินตามถนนไปยังบ้านที่ว่า ซึ่งอยู่ถัดจากบ้านของเธอสี่ห้าหลัง
ประตูรั้วบ้านหลังนั้นไม่ได้ปิด ขาเรียวเล็กจึงถือวิสาสะเดินเข้าไปโดยไม่ต้องรอขออนุญาตใครก่อน
เสียงคนหลายต่อหลายคนพูดคุยกันเจื้อยแจ้ว ทำให้เท้าเรียวเล็กลักขณาต้องหยุดชะงัก
"โอ้ย! ทำไมวันนี้มันซวยจังเลยวะ หมดสามหมื่นแล้วยังไม่ได้คืนสักบาท" เสียงของมารดาดังก้องขึ้น ทำให้ลักขณารู้สึกไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่นัก นี่แม่ของเธอเอาที่ให้มาเสียกับวงไพ่ไร้สาระแบบนี้ได้ยังไง ประตูบานใหญ่ถูกผลักเข้าไป ลักขณายืนประจันหน้าจ้องมองคนเป็นแม่อย่างเอาเรื่อง
"เฮ้ย แกมาได้ยังไงวะนังอุ้ม"
"แม่ แม่เอาเงินที่หนูส่งให้มาผลาญเล่นแบบนี้น่ะเหรอ ลุกกลับบ้านเลยนะจ๊ะ"
"แก้เครียดแก้เซ็ง แกจะอะไรกับฉันนักหนานะ ฉันไม่ได้หมดเยอะหมดแยะเสียหน่อย"
"แต่แม่เพิ่งจะพูดเองนะว่าวันนี้หมดไปสามหมื่นแล้ว แม่จะกลับไหมจ๊ะหรือจะให้หนูเรียกตำรวจมาก่อน?"
"แม่ชบา รีบกลับไปเลยให้ไว อย่าให้ตำรวจบุกมาถึงที่นี่เชียวนะ" เพื่อนร่วมวงรีบสวนขึ้นและหันไปจับจ้องมองลักขณาอย่างไม่ค่อยพอใจอีกครั้ง
"แกจะมาทำไมขัดเวล่ำเวลาผ่อนคลายของฉัน" นางชบารีบลุกขึ้นออกจากวงไพ่ เดินก้าวผ่านหน้าลูกสาวพร้อมกับปรายตาหันกลับไปมองอย่างไม่พอใจอีกครั้ง
"กลับบ้านสิยืนซื่อบื้อทำไมอยู่ตรงนี้" นางมิวายต่อว่าลูกสาวขึ้นเบา ๆ ก่อนที่สองแม่ลูกจะพากันเดินออกจากบ้านหลังนั้นไปในที่สุด
"แกมาทำไม ร้อยวันพันปีฉันไม่เห็นแกจะกลับมาที่บ้านหลังนี้เลยนะ"
"ถ้าหนูมาหนูก็ต้องมีธุระไหมแม่ แม่เอาเงินที่หนูส่งให้มาผลาญเล่นในวงไพ่นี่เหรอจ๊ะ?"
"ผลาญเล่นอะไร ฉันเล่นไม่เคยเสียย่ะ เห็นหน้าแกวันนี้แหละมีแต่ซวยแล้วก็ซวย ฉันถึงว่าทำไมวันนี้ฉันเสียเงินเยอะแยะ"
ลักขณาจ้องมองใบหน้าของมารดาอย่างรู้สึกน้อยอกน้อยใจนัก ในบรรดาลูกสามคนเธอไม่ใช่ลูกรักของคนเป็นแม่เลยสักครั้ง แต่พอเมื่อไหร่ที่เดือดร้อนคนแรกที่จะคิดถึงก็คงไม่พ้นเธออยู่ดี
"ว่าธุระของแกมาสิ แกมีอะไรกับฉัน?"
"หนูแค่จะมาบอกแม่ว่าหนูจะแต่งงาน" นางชบาจับจ้องมองหน้าลูกสาวอย่างไม่เชื่อหูตัวเองนัก
"แกจะแต่งงาน แต่งกับใครวะ คนรวยหรือเปล่า?"
"รวยหรือไม่รวยมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกันกับเราหรอกจ้ะแม่ รวยก็เงินของเขา มันก็ไม่ใช่เงินของเราอยู่ดีนั่นแหละ"
"บร๊ะ!! ทำไมจะไม่ใช่วะ ถ้าผัวแกรวยเรียกสินสอดจากมันมาเยอะ ๆ เลยนะ แกหัดฉลาดบ้างนะนังอุ้ม"
ลักขณาเห็นชะตากรรมของตัวเองในอนาคตอันใกล้นี้ มารดาของเธอคงสร้างความลำบากใจให้กับชีวิตอยู่มาก ถ้ารู้ว่าปัทกรณ์เป็นลูกผู้ดีมีเงินมากมาย ค่าสินสอดที่แม่จะเรียกจากคนเหล่านั้นมันก็คงต้องเป็นจำนวนเงินที่สูงชวนให้อับอายเขามากแน่ ๆ
"หนูไม่ได้อยากได้ของเขานะจ๊ะแม่ หนูเพิ่งจะโอนให้แม่เมื่อเช้าสามแสนบาท ค่าสินสอดหนูมันก็มีแค่นั้นแหละจ้ะ เพราะเขาเป็นคนเอาให้หนูมาก่อนแล้ว"
"อะไรวะ แค่สามแสนค่าน้ำนมที่ฉันเลี้ยงดูแกมา มันจะไม่น้อยไปไหนหรอวะนังอุ้ม" สีหน้าของนางชบาบ่งบอกความไม่พอใจขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ลักขณาได้แต่ส่ายศีรษะให้ ไม่ว่าจะประเคนให้เท่าไหร่คนเป็นแม่ก็ไม่เคยจะพอเลยสักครั้ง ไม่เคยจะถามถึงความเป็นอยู่ว่าเธอใช้ชีวิตอยู่ยังไง แต่ละวันกินอาหารอะไรประทังชีวิตบ้าง เพราะที่ผ่านมาเธอต้องทำงานทั้งงานประจำและก็งานเสริมในเวลากลางคืนอย่างไม่เคยได้หยุดพัก เพียงเพราะอยากให้ทางบ้านอยู่สุขสบายและไม่ได้ขัดสนกับอะไรทั้งนั้น
"แล้วแม่ต้องการเท่าไหร่ล่ะจ๊ะถึงจะเพียงพอ?"
"ล้านนึง ค่าสินสอดแกฉันเรียกล้านนึงไปบอกผัวแกเลยนะถ้าไม่ได้ตามนี้ฉันจะไม่ยกลูกสาวให้"
"ล้านนึงแล้วแม่จะไม่เรียกร้องอะไรจากหนูอีกใช่ไหมจ๊ะ?"
"เออ ถ้าได้ล้านนึงฉันจะไม่ยุ่งกับชีวิตของแกอีก"
ลักขณาได้แต่พยักหน้ารับทราบ เธอจะกลับไปพูดคุยกับปัทกรณ์อีกครั้งเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่คนเป็นแม่เสนอมา ถ้าหากว่าเงินหนึ่งล้านบาทนี้จะช่วยทำให้ชีวิตของเธอปลดล็อกจากการตอบแทนบุพการีผู้ให้กำเนิด มันอาจจะดีกับอนาคตในวันข้างหน้าก็เป็นได้