Chapter 3
“อย่าทำเป็นสะดีดสะดิ้งหน่อยเลย ตอนนี้เป็นเวลาเข้าหอ ผัวเมียก็ต้องเอากันสิ เธอจะได้ฉันเป็นผัวสมใจไง”
“หนูไม่ได้ต้องการให้เฮียทำแบบนี้...” ยาหยีพยายามเอามือดันร่างหนาผละออกจากตัว แต่เขากลับกดน้ำหนักทาบทับร่างกายของเธอจนรู้สึกหนักอึ้งยิ่งกว่าเดิม
“ถ้าเธอไม่อยากได้ฉันเป็นผัว ทำไมวันนั้นถึงไม่ปฏิเสธการแต่งงานวะ ทำไมต้องทำเหมือนโดนฉันข่มขืน ทั้งที่ฉันไม่ได้ทำอะไรเธอสักนิด มีแต่เธอนั่นแหละที่เดินเข้ามานอนห้องฉันเอง เธอนี่มันทำตัวแรดร่านกร้านโลกสิ้นดี” วายุพูดด้วยอารมณ์โกรธ โดยที่ไม่ได้แคร์ความรู้สึกของยาหยีเลยว่าเธอจะรู้สึกยังไงกับคำพูดของเขา
“ฮึก ~ เฮีย...” น้ำใส ๆ พรั่งพรูจากดวงตาด้วยความเสียใจกับคำด่าทอสาดเสียเทเสียของเขา
“หยุดบีบน้ำตาซะที รำคาญ!” วายุผละตัวออกจากร่างบาง เขากวาดสายตามองหญิงสาวตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยแววตารังเกียจ ใคร ๆ ที่ได้เห็นยาหยีก็ต่างชมว่าเธอสวยดุจดั่งเจ้าหญิง แต่ความสวยของเธอในตอนนี้กลับไม่เข้าตาเขาเลยสักนิด เพราะยาหยีสวยแค่เปลือกนอก แต่นิสัยของเธอกลับร้ายลึก
หลังจากคนตัวสูงผละตัวออก หญิงสาวก็รีบดึงกระโปรงคลุมส่วนล่างอย่างร้อนรน ก่อนที่จะลุกไปหยิบผ้าห่มจากพื้นมาคลุมตัวถึงลำคอ จากนั้นเธอก็ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้า พยายามหยุดร้องไห้แต่ทว่าก็ยังมีเสียงสะอื้นเบา ๆ “ฮึก ๆ ~”
“หยุดทำเสียงน่ารำคาญสักที ฉันจะนอน” วายุยืนสวมชุดคลุม เขาตวัดตามองยาหยีด้วยแววตาดุ ที่เห็นเธอร้องไห้งอแงไม่หยุด ทั้งที่ตอนนี้เขาไม่ได้ทำอะไรเธอแม้แต่น้อย
“อึก...” ยาหยีรีบยกมือปิดปากกันเสียงสะอื้นที่ยังเล็ดลอดออกจากลำคอ
“อย่าให้ฉันได้ยินเสียงของเธอร้องไห้เด็ดขาด” พูดจบ เขาก็ยื่นมือไปปิดไฟที่หัวเตียง จากนั้นก็เอนตัวลงบนที่นอน
เมื่อโดนสั่งห้ามให้หยุดร้องไห้ หญิงสาวก็ยังไม่ยอมเอามือออกจากปาก มือเล็กยังคงปิดปากตัวเองไว้แน่นเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น แต่ทว่ายิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เพราะหยาดน้ำตาพรั่งพรูจากดวงตาราวกับสายน้ำ...
.....
ย้อนกลับไปตอนที่ยาหยีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์ เป็นช่วงอายุที่เธอเปลี่ยนคำนำหน้าจากเด็กหญิงเป็นนางสาว แต่มันเป็นช่วงวัยที่เธออยากสตัฟฟ์อายุสุดท้ายไว้แค่นั้น เมื่อพ่อแม่ของยาหยีได้จากไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ในวันเกิดของเธอ การที่เด็กสาวคนหนึ่งต้องสูญเสียพ่อแม่ไปอย่างกะทันหัน มันทำให้โลกทั้งใบของเธอถึงกับมืดดับไปเลย
เคราะห์ซ้ำกรรมซัดในวันที่เผาศพพ่อแม่ของเธอ ยังไม่ทันได้เอาอัฐิใส่โกศ ก็มีเสี่ยผู้ทรงอิทธิพลทางภาคเหนือพร้อมลูกน้องนับสิบคนบุกมาที่บ้านพร้อมกับประกาศว่าที่ดินไร่นิธิรดาเป็นของตน เนื่องจากนายนิธิผู้เป็นพ่อของยาหยีเอาโฉนดที่ดินพร้อมบ้านและไร่องุ่นสามสิบไร่มาจำนองไว้ โดยไม่เคยนำส่งดอกเบี้ยแม้แต่บาทเดียวเป็นเวลาห้าปี ซึ่งนายนิธิเซ็นกำกับไว้ในสัญญาว่า หากนายนิธิทำผิดข้อตกลงภายในเวลาห้าปีหรือเสียชีวิตไปก่อนที่จะชำระคืนเงินกู้เสร็จ ก็ให้ยึดทรัพย์สินที่จำนองไว้ได้เลย
ในตอนที่เสี่ยคนนั้นบุกมาที่บ้าน ลุงแท้ ๆ ผู้เป็นพี่ชายของนิธิเดินหนีออกจากบ้านไปทันที ปล่อยให้เด็กสาวตัวเล็ก ๆ ต้องเผชิญหน้ากับคนพวกนั้นนับสิบคน แต่ทว่าโลกใบนี้ก็ไม่ได้ใจร้ายกับเธอเสียทีเดียว ยังโชคดีอยู่บ้างที่อาทิตย์และจันทร์ฉายเพื่อนสนิทของนิธิมารู้เรื่องเข้าพอดี ทั้งสองก็เลยพายาหยีย้ายมาเรียนที่กรุงเทพฯ เพื่อความปลอดภัย เพราะเสี่ยแก่คนนั้นดูสนใจเด็กสาวที่กำลังสวยสะพรั่งเป็นอย่างมาก
ช่วงสามเดือนแรกที่ยาหยีอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลเตชะอมรทรัพย์ หญิงสาวไปโรงเรียนแห่งใหม่แบบไร้ชีวิตชีวาเหมือนใช้ชีวิตไปวัน ๆ ตามหน้าที่ของเธอ
อาทิตย์ที่เห็นลูกสาวของเพื่อนสนิทเป็นแบบนี้ เขาก็เลยสั่งให้ ‘วายุ’ ลูกชายคนกลางของตนมาช่วยดูแลยาหยี ซึ่งพอวายุรู้เรื่องราวของยาหยีจากคุณพ่อของเขา ชายหนุ่มก็คอยรับส่งยาหยีไปโรงเรียน ติวการบ้านให้ วันหยุดก็พายาหยีไปเที่ยว อีกทั้งยังพายาหยีไปทำในสิ่งที่เธอชอบนั่นก็คือเรียนทำอาหารและชงเครื่องดื่ม ส่วนเขาก็เป็นนักชิมของเชฟสาวน้อยและคอยเป็นกำลังใจที่ดีให้เธอเสมอ ความเอาใจใส่และความอบอุ่นอ่อนโยนที่เขามอบให้เด็กสาว ทำให้ยาหยีรู้สึกว่าวายุเป็นเหมือนแสงสว่างที่ส่องมากลางใจอันมืดมิดให้กลับมาสว่างไสวอีกครั้ง อีกทั้งเวลาอยู่ใกล้เขาความรู้สึกบางอย่างก็แทรกซึมเข้ามากลางใจจนหัวใจเริ่มส่งเสียงดังตึกตักอยู่ในหู ซึ่งความรู้สึกนั้นยาหยีเรียกว่า ‘ความรัก’
แต่การรักใครสักคน ใช่ว่าจะสมหวังจนได้บอกรักและได้ความรู้สึกเดียวกันตอบกลับ เพราะเมื่อวันเวลาผ่านไปคนที่เคยอบอุ่นอ่อนโยนและใจดีกับเธอ กลับกลายเป็นคนโมโหร้ายราวกับโดนผีห่าซาตานเข้าร่าง ย้อนกลับไปเมื่อเดือนที่แล้ว เป็นวันที่ทุกคนในตระกูลเตชะอมรทรัพย์มารวมตัวกันที่คฤหาสน์หลังใหญ่เพื่อร่วมฉลองงานวันเกิดประมุขของบ้าน นั่นก็คือวันเกิดของคุณอาทิตย์ เตชะอมรทรัพย์
งานเลี้ยงฉลองวันเกิดเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขของคนในครอบครัว รวมถึงยาหยีด้วย เมื่อความสุขมันล้นอก อีกทั้งเธอก็อายุสิบแปดย่างสิบเก้าปี และเรียนจบมัธยมปลายแล้ว หญิงสาวก็เลยอยากลิ้มลองเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นั่นก็คือพันช์ผลไม้ที่คุณหมอสายลมทำหน้าที่เป็นบาร์เทนเดอร์
หลังจากที่ได้ลิ้มลองแก้วแรก ลิ้นรับรสรู้สึกว่าเหมือนได้ดื่มน้ำผลไม้รวมที่มีรสชาติหวานอมเปรี้ยวซ่า ๆ รสชาติพันช์ถูกอกถูกใจนักดื่มมือใหม่อย่างเธอเป็นอย่างมาก ทำให้ยาหยียกกระดกดื่มพันช์แก้วแล้วแก้วเล่า จนกระทั่งมารู้ตัวอีกทีก็สะดุ้งตื่นท่ามกลางเสียงโวยวายของคุณลุงอาทิตย์ ในสภาพที่เธอมีเพียงผ้าห่มคลุมตัวผืนเดียวกับเฮียวายุ มิหนำซ้ำเธอและเขาไม่ได้ใส่เสื้อผ้ากันทั้งคู่
“มึงทำแบบนี้กับน้องได้ยังไงไอ้วายุ กูไม่เคยสั่งสอนให้มึงข่มขืนผู้หญิง!” อาทิตย์ตะคอกใส่วายุด้วยน้ำเสียงโมโหอย่างเดือดดาล