ลมร้อนจากท้ายรถเมล์พัดชายกระโปรงพลีทของลดาตลบขึ้นเล็กน้อยจนเธอต้องใช้มือข้างหนึ่งจับมันไว้ ส่วนอีกข้างก็โหนราวเหล็กสีเงินเก่าเย็นเฉียบแน่นราวกับจับต้องความจริงที่ไม่อาจปล่อยให้หลุดลอยจากมือได้
เสียงเครื่องยนต์ดังกลบเสียงรอบกายไปจนหมด เรียกว่าหูอื้อเลยดีกว่า เธอเอนตัวไปมาจากการควบคุมพวงมาลัยรถของคนขับที่ต้องการทำรอบจนได้กลิ่นน้ำหอมราคาถูกจากคนข้าง ๆ ปนกับกลิ่นน้ำมันดีเซล
ฟืด~
ลดาหลับตา สูดลมหายใจเข้าเบา ๆ คล้ายคนที่ปลงและจำเป็นต้องยอมรับว่าชีวิตตอนนี้ไม่ได้สวยดั่งภาพในกรอบรูปบานเก่า
บ้านของที่เธอกำลังจะถึงในไม่ช้า ไม่ได้มีประตูเหล็กอัตโนมัติและเสียงเห่าของสุนัขพันธุ์ดีอีกแล้ว ตอนนี้มีเพียงรั้วลวดตาข่ายเริ่มขึ้นสนิมและกระถางดอกไม้ดินเผาธรรมดาราคาหลักร้อยวางเรียงอยู่ตรงทางเดินเล็ก ๆ
“เหนื่อยไหมลูก” แม่ของหญิงสาวก้าวออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มอ่อนล้า ทั้งที่มือยังเปื้อนแป้งเพราะเพิ่งปั้นขนมส่งร้านแถวนี้
“ไม่เท่าไรค่ะแม่ แค่รถเมล์แน่นนิดหน่อย” ลดาตอบพลางระบายยิ้ม แม้แขนเรียวขาวจะชาเพราะต้องโหนราวยืนมาตลอดเส้นทาง
‘มีรายงานเข้ามาว่า บริษัท ไพรม์ อินโนเวชั่น จำกัด ประกาศปิดกิจการอย่างเป็นทางการ หลังประสบปัญหาสภาพคล่องต่อเนื่องในรอบปีที่ผ่านมา พนักงานกว่า 300 คน ได้รับผลกระทบ คณะผู้บริหารระบุว่าอยู่ระหว่างเจรจาหาทางเยียวยาและจ่ายชดเชยตามกฎหมายแรงงานค่ะ’
เสียงจากโทรทัศน์ช่วงค่ำในบ้านดังขึ้นขณะที่ลดากำลังเดินผ่านห้องโถงเล็ก ๆ
“นั่นบริษัทที่พ่อเคยทำงานด้วยก่อนหน้านี้” แม่เอ่ยราวกับไม่อยากให้ลูกสาวรู้สึกเจ็บปวด
“อืม”
“ดีแล้วที่พ่อลาออกมาก่อน ไม่งั้นคงแย่กว่านี้” แม่พูดต่อทั้งที่ในหัวนึกถึงวันที่พ่อเดินกลับถึงบ้านด้วยชุดสูทเก่า ๆ ได้แม่น
“หนูขึ้นห้องก่อนนะคะ ว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อย” ลดามองหน้าจอทีวีอีกเล็กน้อยก่อนพาตัวเองขึ้นบันไดไม้ไป แต่ก่อนที่เธอจะเลี้ยวเข้าห้องนอน เท้าของเธอก็ก้าวไปยังประตูอีกบานแล้วหมุนลูกบิดผลักเข้าไป
ห้องว่างห้องนี้กลายเป็นห้องเก็บของเก่าจากบ้านหลังเดิม ไม่สิ ต้องเรียกว่าคฤหาสน์หลังเดิมน่าจะเหมาะกว่า ลดากวาดตามองรอบ ๆ ก่อนสาวเท้าไปยังผ้าคลุมสีหม่นที่ปกปิดบางอย่างไว้ มือขาวเนียนดึงชายผ้าออกเผยให้เห็นกรอบรูปสีทองที่ตอนนี้เริ่มซีดจางตามวันเวลา
ในรูปนั้นมีเด็กผู้หญิงตัวเล็กสวมชุดกระโปรงลูกไม้กำลังยิ้มชูถ้วยรางวัลประกวดวาดภาพพร้อมกับพ่อและแม่ที่โอบไหล่ยินดีอยู่เคียงข้าง ลดายังจำเรื่องราวเหล่านั้นได้ดี เธอจำได้แม้กระทั่งแสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปที่ถูกจ้างมาด้วยราคาแพงลิบลิ่วเพราะตากล้องเป็นคนชื่อดัง แสงแฟลชในวันนั้นสะท้อนว่าครั้งหนึ่งเธอเคยเป็นลูกคุณหนูของตระกูลหนึ่งเช่นกัน
แต่ตอนนี้เธอเป็นเพียงดาวคณะวิศวะที่ต้องโหนรถเมล์กลับบ้าน
“ตลกดีเนอะ ชีวิตคน” ลดาหัวเราะในลำคอ ซึ่งก็ไม่รู้ว่ากำลังเยาะเย้ยอะไร ชีวิตตอนนี้ ก่อนหน้านี้หรืออนาคต
มือเรียวดึงผ้ากลับมาคลุมไว้อย่างเดิมแล้วหันหลังเดินออกจากห้องเก็บความทรงจำไปอย่างรวดร้าวเงียบ ๆ
ลดาวางกระเป๋าลงบนโต๊ะทำงานตัวเก่าซึ่งได้รับต่อมาจากพ่ออีกที ก่อนมองไปที่ขอบหน้าต่างห้องนอน ดอกลิลลี่สีขาวในกระถางเล็ก ๆ เริ่มเหี่ยวลงเล็กน้อยจากสภาพอากาศประเทศไทย เธอหยิบขวดน้ำที่กินเหลือรดมัน ช้า ๆ
“หวังว่าแกจะเติบโตในที่ที่ไม่ใช่ของแกได้นะ” เธอเทน้ำจนหมดขวดก่อนโยนลงถังขยะแล้วทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย เพราะที่ชั้นล่างยังมีงานบ้านที่เธอต้องช่วยมารดาทำต่อ
สองทุ่มในบ้านสองชั้นธรรมดาทั่วไปหลังหนึ่ง
แกร๊ก
เสียงเปิดประตูยามค่ำบอกว่าตอนนี้บิดาได้กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยแล้ว เวลาครอบครัวจึงเวียนมาถึงเช่นเคย
“ลดา ช่วงนี้การเรียนเป็นไงบ้างลูก” คนเป็นพ่อถามขณะรวบช้อนส้อมเรียบร้อย
“ก็เรื่อย ๆ ค่ะ”
“ลดาต้องคว้าเกียรตินิยมมาให้ได้นะลูก อย่าสร้างเรื่องสร้างปัญหา... อย่าให้เสียแรงที่พ่อทุ่มเทให้ไป ตอนนี้บ้านเราไม่มีเส้นสาย ไม่มีเงินเหมือนเมื่อก่อน การที่เราจะอยู่ได้ก็มีแค่ชื่อเสียงกับสมองเท่านั้น เข้าใจไหม” เสียงของเขาไม่ได้ดังแต่ก็เต็มไปด้วยความกดดันที่มากพอจะทำให้หัวใจใครบางคนหดเล็กลง
“ค่ะ” ลดารับคำพลางพยักหน้า ดวงตาเธอยังคงสงบนิ่งแม้มือที่ซุกไว้ด้านล่างโต๊ะจะกำแน่น ‘แล้วความสุขของหนูล่ะพ่อ?’
แน่นอนว่ามันเป็นคำถามที่เธอไม่กล้าพูดออกไปเพราะพ่อคงตอบไม่ได้
“พ่อก็แค่หวังดีนะลูก” เขาว่าต่อ “เมื่อก่อนเรามีทุกอย่าง แต่ตอนนี้...เราไม่มีอะไรแล้ว จะเอาชนะคนอื่นได้ก็ต้องเก่งกว่ามันทุกอย่าง... จำไว้” ทุกคำของพ่อราวกับตอกตะปูลงกำแพงที่ชื่อว่าความคาดหวัง โดยไม่ได้สนใจว่าคนเป็นลูกรับมันไหวหรือไม่ หรือลูกต้องการทำอย่างนั้นหรือไม่
“ค่ะ พ่อ... ลดาจะไม่แพ้ใคร”
คนเป็นพ่อพยักหน้าอย่างพอใจกับคำที่เขายึดว่าเป็นสัญญาของลูก ก่อนเดินขึ้นห้องนอน ส่วนคนเป็นแม่ก็มองลูกสาวนิ่งก่อนเอ่ยปลอบ
“อย่าเก็บมาคิดมากเลยลูก พ่อเขาคงเครียด”
“ไม่เป็นไรค่ะแม่” ลดาตอบ ทั้งที่ในใจพูดต่อว่า ‘ชินแล้ว’
ค่ำคืนแห่งการกดดันและหวนรำลึกผ่านไปอย่างเชื่องช้า ลดาปิดโน้ตบุ๊คเครื่องเก่าของตัวเองลงก่อนทิ้งตัวลงบนที่นอนสปริงแข็ง ๆ
สมาร์ทโฟนถูกหยิบขึ้นมาเลื่อนเปิดหน้าจอขึ้นดูเวลาและหาอะไรดูไปเรื่อย กระนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้จิตใจดีขึ้นมาได้เลย ปลายนิ้วถึงได้เสาะแสวงหาข่าวของวันนี้ที่มันพอจะเป็นเรื่องดี ๆ ของเธอ
“หืม” ดวงตากลมโตฉ่ำน้ำเบิกกว้างขึ้นด้วยความประหลาดใจ ก่อนหน้านี้ตอนเธอเห็นข่าวฉาวของจัสมินจากเพจ Gossip ครั้งแรกบางอย่างก็วาบผ่านเข้ามาในอก
มันไม่ใช่ความรู้สึกชิงชังหรืออิจฉาความสวยของจัสมิน แต่มันเป็นเพราะลดาเจ็บปวดที่ได้เห็นชีวิตที่ไม่เคยมีรอยยับ
จัสมินมีทุกอย่างตั้งแต่เกิด ไม่ว่าจะเป็น เงิน เวลา ความหรูหรา ความสบาย การได้รับการเอาอกเอาใจจากครอบครัว ซึ่งมันคือสิ่งที่ลดาสูญเสียและอาจจะไม่มีวันได้กลับคืนมาเหมือนเมื่อก่อน
“น่าสนุกดีนี่” เธอเอ่ยหลังเห็นเพจลงแก้ข่าว ปลายนิ้วเรียวยาวลากไปตามหน้าจอโทรศัพท์ที่เต็มไปด้วยคอมเมนต์ทัศนคติติดลบของคนในมหาวิทยาลัย ไม่มีใครสนใจจริง ๆ หรอกว่าจัสมินจะแก้ตัวอย่างไร ทุกคนยังคงเชื่อในสิ่งที่อยากเชื่อ... เชื่อว่าดาวนิเทศคนใหม่คนนั้นแย่งผู้ชายคนอื่น
“มันคงจริงอย่างที่พ่อบอก โลกมันก็เท่านี้ ใครเสียงดังกว่า ใครเก่งกว่า ฉลาดกว่าคนนั้นรอด” ลดายิ้มให้กับตัวเอง แต่ในวินาทีที่เธอกำลังจะเลื่อนปัดผ่านโพสต์นั้นไป ภาพของชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาก็เข้ามาแทรก
มหานทีชายหนุ่มสวมเสื้อช็อปสีซีด ๆ ชอบพูดจาขวานผ่าซากกับคนอื่น แต่เมื่อไรก็ตามที่เขาหันมาเจอเธอเสียงนั้นก็มักจะทุ้มอ่อนลงเสมอ
‘อย่าลืมกินข้าวนะลดา’
‘อย่าฝืนตัวเองมากนัก’
เสียงทุ้มของชายหนุ่มกับรอยยิ้มวนเวียนอยู่ในหัวราวกับเขากำลังพูดอยู่ใกล้ ๆ ลดาหลับตาลงและเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว หัวใจหญิงสาวสั่นไหวชั่วขณะ... แค่ชั่วขณะ เพราะความอ่อนแอไม่ควรอยู่นาน
ลดาลืมตาขึ้นอีกครั้ง สิ่งแรกที่เห็นคือฝ้าเก่าของบ้านที่มีรอยหยดน้ำจากหลังคารั่วก่อนซ่อมแซม มันมีคราบสีเหลืองกระจายเป็นรอยด่างคล้ายชีวิตของเธอที่มีร่องรอยอดีตที่เคยยิ่งใหญ่
ลดาลุกขึ้นเดินไปปิดไฟแล้วล้มลงนอนบนที่นอนแข็ง แผ่นหลังบอบบางสัมผัสผ้าปูเนื้อหยาบและเป็นขุยจนรู้สึกหงุดหงิด
โฮ่ง โฮ่ง
เสียงหมาเห่าจากกลางซอยดังแทรกเสียงไอของแม่จนน่ารำคาญและตอกย้ำว่าทั้งหมดนี้คือความจริงที่เธออยากหนีไปให้พ้น
“นที... นายมันดีเกินไป ความดีของนายมันไม่ได้ทำให้ฉันได้ทุกสิ่งที่ฉันต้องการ” ลดามองฝ่าความมืดออกไปทว่ามันก็ไร้แสงใดส่องมาถึง
“ฉันไม่อยากใช้ชีวิตแบบนี้แล้ว” เธอไม่อยากอยู่ในบ้านหลังนี้ บ้านที่มีกลิ่นอับและหนูวิ่งสวนกันไปมาตามทางเล็ก ๆ ในซอย ไหนจะเสียงพ่อที่พูดเรื่องความล้มเหลว ซึ่งมันก็มาจากตัวเขาที่ทำบริษัทเจ๊งแต่ก็ยังดันทุรังพูดให้เธอทำตามความหวังของเขา
“ฉันจะกลับไปอยู่จุดเดิมให้ได้ ต่อให้ต้องปีนข้ามหัวหรือเหยียบใครให้จมดินก็ตาม” เธอหันหน้าเข้ากำแพงแล้วคว้าหมอนข้างแฟบ ๆ เข้ามากอดก่อนปล่อยให้ความมืดกลืนร่างเธอไปตามการหมุนของโลก เหลือไว้เพียงเสียงลมหายใจสม่ำเสมอที่ปะปนความเกลียดชัง
และในขณะเดียวกัน ณ คฤหาสน์สุดหรูหลังหนึ่งตอนนี้กลับมีคนยังไม่เข้านอนเพราะเสียงไดร์เป่าผมยังคงทำงานข้างใบหู
“ฮึ่ย~” จัสมินตัวสั่นไหวไปทั้งร่างเพราะจู่ ๆ เธอก็รู้สึกขนลุกขนชันอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“คุณหนูอยู่นิ่ง ๆ สิคะ” แม่บ้านที่กำลังทำการเป่าผมหญิงสาวให้แห้งหลังทำสปาในบ้านเอ่ยปรามเจ้านายอย่างเอ็นดู
“ก็มันขนลุกนี่น่า” จัสมินเอ่ยเสียงเล็กเสียงน้อย
บรูววว บรูววว
“ว๊าย! เดือนนี้เดือนสิบสองแล้วเหรอพี่แก้ว ทำไมหมามันหอนตั้งแต่สี่ทุ่มเลยล่ะ” จัสมินเหลือกตามองซ้ายทีขวาทีคล้ายหวาดระแวง อาการขนลุกเมื่อครู่ไม่ใช่ว่ามีวิญญาณตัวไหนทุบหัวเจ้าที่หน้าบ้านแล้วเข้ามาหรอกนะ
“คุณหนูล่ะก็ ปีนี้ยังไม่ลอยกระทงเลยนะคะ สงสัยมันคงฮีทละมั้ง” แม่บ้านตอบพลางใช้หวีแปรงทำจากขนหมูป่าของ Mason Pearson ราคามากกว่าเงินเดือนนักศึกษาจบใหม่ลูบเบา ๆ ตามเส้นผมสีน้ำตาลเงาเป็นประกายคล้ายกำลังปลอบขวัญหญิงสาว
“มาฮีทอะไรกันตอนนี้ บ้านข้าง ๆ นี่ก็นะ เลี้ยงหมาก็ไม่ทำหมันปล่อยให้หอนอยู่ได้” จัสมินบ่นกระปอดกระแปด
บรูววว บรูวววว
“ฮือ หอนในใจกันไม่เป็นหรือไง”
“คิกคิกคิก คุณหนูละก็” แม่บ้านหัวเราะคิกคักกับท่าทางของเจ้านาย
“พรุ่งนี้จะกรวดน้ำไปให้ก็แล้วกัน หยุดหอนเถอะ” จัสมินโอดครวญ หากเป็นยามปกติเธอคงไม่คิดมาก แต่นี่อยู่ ๆ ก็ขนลุก ความหวาดระแวงจึงพาลไปกับสิ่งเร้ารอบตัวอย่างช่วยไม่ได้
ซึ่งกว่าหญิงสาวจะเข้าสู่ห้วงนิทราลึกเข็มนาฬิกาก็หมุนไปจนเกือบสว่าง เดือดร้อนให้แม่บ้านหาวิตามินมาประคบดวงตาให้ตั้งแต่แสงอาทิตย์ของวันใหม่ยังไม่พ้นขอบฟ้าดี