เขายื่นมือมาให้เธอ แต่หลินซีไม่นึกอยากจะจับ เมื่อกี้เขายังพูดดูถูกเธออยู่เลย แต่พอเธอจะเดินไปเฉย ๆ เขากลับดึงแขนเธอ มาคล้องเอาไว้
“คุณจะทำอะไร”
“ถ้าเดินออกไปจากห้องนี้กับผม ทุกคนคงจะต้องสงสัย ทางที่ดีทำตามที่ผมบอกดีกว่า”
“แต่ใคร ๆ ก็รู้ว่าฉัน…”
“อย่าดื้อสิ เชื่อผมเถอะ”
เขาพาเธอเดินออกไปจากห้อง ไม่นานเมื่อหวังลี่ชิงปรากฏตัวอีกครั้ง ทุกคนในงานก็ตกตะลึง กับชุดใหม่ที่ถูกออกแบบภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง ทุกคนรายล้อมหวังลี่ชิง และพากันมองชุดของเธอเป็นตาเดียว
“สวยมากเลยลี่ชิง นี่มันยอดมากเลย”
“ฝีมือของคุณหนูตงน่ะ ขอบใจนะหลินซี”
“ไม่เป็นไร ดีใจที่เธอชอบ”
“พวกเราขอตัวก่อนนะครับ”
“จะไปไหนอีก”
เขาดึงเธอเข้ามาที่ฟลอร์เต้นรำ ซึ่งก่อนหน้านี้ เขาต้องพาหลี่เจินหลิงมาเต้นรำ แต่เธอซุ่มซ่าม และชนกับหวังลี่ชิงเสียก่อน
“อะไรนะ!”
“อย่าบอกนะว่า สาวสังคมอย่างคุณ เต้นรำไม่เป็น”
“ฉันไม่ได้อยากเต้นรำกับคุณสักหน่อย”
‘ไอ้บ้านี่จะมาไม้ไหนอีก ไม่ใช่นึกอยากจะจับผิดฉันขึ้นมาหรอกนะ บ้าเอ๊ย! อยากไปนั่งพักสักหน่อยก็ไม่ได้เหรอ’
“หรือว่าคุณเต้นไม่เป็นจริง ๆ อ้อ จริงด้วยสินะผมลืมไป คงไม่เคยมีคนขอคุณเต้นรำเลยล่ะสิ”
“ใครบอก! ก็แค่เต้นรำเพลงเดียว ทำไมจะทำไม่ได้ อยากไปก็ไปสิ”
‘แม่จะปล่อยสเตปให้ลืมโลกไปเลยคอยดูเถอะ ดูถูกฉันดีนัก’
เขายิ้มมุมปากขึ้นมา มันทำให้หัวใจดวงน้อย เต้นถี่จนแทบจะล้ม โชคดีที่เขาโอบเธอเอาไว้ทัน คนบ้าอะไรแค่ยิ้ม ก็ทำเธอแทบจะทรุดขนาดนี้ กู้หานเซียวคนนี้ หล่ออันตรายเกินไปแล้ว
“นี่น่ะเหรอที่บอกว่าเต้นเป็น แค่เดินยังจะล้มเลย ไหวแน่นะ”
“ยังไม่ได้เต้นเลย รู้ได้ยังไงว่าเต้นไม่ไหว”
ในเมื่อถูกเขาท้าทาย มีเหรอที่จะยอมแพ้ เธอกับเขาเดินเข้าไปในฟลอร์เต้นรำ และเริ่มเต้นในจังหวะช้า ตงหลินซีที่เรียนทั้งลีลาศ ซุมบ้า แจ๊สแดนซ์ แค่เรื่องเต้นรำแค่นี้ มันง่ายมากสำหรับเธอ
“เต้นเก่งไม่เบานี่ คิดไม่ถึงว่านอกจากจะออกแบบชุดเก่งแล้ว ยังเต้นรำเก่งด้วย”
“คนมีตาก็เห็นทั้งนั้นแหละ นอกจากพวกตาบอด ที่เลือกจะไม่มองความสามารถของคนอื่น และจ้องจะดูถูก”
เขาดึงเธอเข้ามาโอบเอาไว้แน่น และเปลี่ยนจังหวะตามเพลง หลี่เจินหลิงนั่งบิดอยู่ที่โต๊ะ ตรงนั้นควรเป็นที่ของเธอ ถ้าหวังลี่ชิงไม่เดินมาอ่อยนายพลน้อยกู้ จนถูกเธอตวัดขาจนล้ม เธอกับเขาก็คงได้เต้นรำด้วยกัน และเป็นที่จับตามองในตอนนี้
“หนูเจินหลิง ไม่เป็นไรใช่ไหม”
“คุณป้า ไม่เป็นไรค่ะ หนูยังไม่ได้ไปขอโทษคุณหนูหวังเลย ที่ชนเธอ”
“ไม่ต้องหรอก ก็แค่ลูกพ่อค้าเล็ก ๆ ไม่จำเป็นต้องใส่ใจก็ได้”
“ค่ะคุณป้า งั้นหนูนั่งเป็นเพื่อนคุณป้าตรงนี้ รอพี่หานเซียวกลับมาดีกว่า ที่จริงเธอก็ตั้งใจเดินมาหาพี่หานเซียวก่อน ไม่อย่างนั้นหนูคงไม่ชนกับเธอเข้าหรอกค่ะ”
“เป็นแบบนี้ยิ่งไม่น่าเข้าไปขอโทษ ช่างเถอะ ๆ อย่าไปยุ่งกับคนพวกนี้เลย เสียเวลา”
“แต่เธอก็เป็นแขกของตระกูลกู้ วันนี้ทุกคนที่นี่มาในฐานะแขก ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก มันต่างกันยังไงเหรอ”
นายพลกู้ทนไม่ไหว ที่ภรรยาเอาแต่เข้าข้างคนผิด โดยไม่ลืมหูลืมตา เธอลำเอียงถึงขนาดโทษแขกในงาน ซึ่งควรจะได้รับคำขอโทษจากหลี่เจินหลิง
“เอ่อ พ่อว่าไปขอโทษเธอหน่อยก็ดี ยังไงก็เป็นอุบัติเหตุนะลูก”
“แต่คุณพ่อคะ ตอนนี้เธอกำลังเห่อชุดใหม่นั่นอยู่ จะสนใจคำขอโทษของหนูเหรอคะ”
“นั่นสิคะ เอาไว้ค่อยว่ากันเถอะค่ะ อย่าตำหนิเจินหลิงเลย”
นายพลกู้หันมาคุยกับตงซานหู เขาไม่คิดเลยว่าคุณหนูหลี่คนนี้ ต่อหน้าลูกชายเขา จะเรียบร้อยและดูอ่อนหวาน แต่ลับหลังกลับไม่ต่างกับผู้หญิงทั่วไป ที่จับกลุ่มนินทากันเอง
ส่วนกู้หานเซียว เริ่มนึกอยากรู้เรื่องของตงหลินซีมากขึ้น เขาคิดว่าเธอมีอะไรหลายอย่างซ่อนอยู่ แต่ทำไมก่อนหน้านี้ เอาแต่ทำเรื่องเหลวไหล จนกลายเป็นตัวตลกของคนทั้งกวางโจวกันล่ะ
“คุณไม่เสียดายไข่มุก กับทับทิมนั่นเหรอ ที่เอาไปให้เธอหมด”
“จะเสียดายทำไม ชุดที่สวยไม่เสร็จต่างหากที่น่าเสียดาย อย่างน้อยอยู่บนตัวลี่ชิง ตอนนี้เธอก็จะไม่ต้องรู้สึกอายกับเรื่องเมื่อกี้ได้ คุณไม่รู้หรอกว่า การล้มต่อหน้าผู้คนแบบนี้ ผู้หญิงเราจะรู้สึกอายมากขนาดไหน ทำให้คนอื่นเบี่ยงประเด็น ไปสนใจชุดสวย ๆ ของเธอ จะได้ลืมเรื่องไม่น่าจำในคืนนี้”
“คุณคิดแบบนั้นจริงเหรอ”
“ทำไมฉันจะคิดไม่ได้ล่ะ ฉันก็เป็นผู้หญิง แล้วตอนนี้ฉันก็เหนื่อยแล้ว ไม่เต้นแล้วนะคะ ขอตัวก่อน”
เธอปล่อยมือจากเขา ลืมนึกไปเสียได้ว่า เขามันปากร้ายมากขนาดไหน อีกอย่างตอนนี้เธอก็อยากดื่มน้ำ เพราะทั้งเย็บชุดและมาเต้นรำกับเขาเกือบสามเพลง ก็เหนื่อยจนแทบยืนไม่ไหว
“ผมไปเอาน้ำมาให้”
"ไม่ต้องหรอกค่ะ ที่โต๊ะก็มี"
เธอเดินกลับไปที่โต๊ะแล้ว แต่สาว ๆ ที่โต๊ะของลี่ชิง พากันมองมาที่เธอ ลี่ชิงยกมือให้ เธอก็โบกไม้โบกมือกลับไป นี่เป็นมิตรภาพเล็กน้อย ที่ผู้หญิงมีให้กัน ตอนนี้ชื่อของตงหลินซี คงจะถูกมองว่าดีขึ้นบ้างแล้วสินะ
“เหนื่อยไหมลูก เต้นรำกับพี่เขาเสียนานเลย”
“นั่นสิ ข้าวก็ยังไม่ทันได้กิน ให้ลุงสั่งอาหารมาเพิ่มดีไหม"
"ไม่เป็นไรค่ะท่านนายพล ฉัน… นี่อะไรคะ"
“น้ำส้มคั้นสด ผมสั่งมาให้คุณโดยเฉพาะ จะได้สดชื่นขึ้น ไปยกสเต๊กมาเถอะ”
“ครับนายพลน้อย”
นายพลกู้หันมายิ้มกับซานหู พ่อของหลินซี ในขณะที่ฝั่งของคุณนายกู้ และหลี่เจินหลิง นั่งนิ่งเหมือนตุ๊กตา และเริ่มหน้าเจื่อนลง ไม่นานสเต๊กเนื้ออย่างดีก็ถูกยกมา แค่เห็นหลินซีก็รู้สึกหิวจนตาลาย แต่หานเซียวกลับเรียกบริกร เอาไปวางที่หน้าเขา
‘อ้าวไอ้บ้านี่ ก็นึกว่าจะสั่งมาให้ฉันเสียอีก’
เธอมองจานสเต๊กที่เขากำลังหั่น ด้วยสายตาที่หงอยลงเต็มที แต่กลับสร้างรอยยิ้มเล็ก ๆ ให้กับอีกคนได้
“พี่หานเซียวหั่นเนื้อเก่งจังเลยนะคะ หั่นแล้วดูน่ากินมากเลยค่ะ”
“เหรอครับ คงเป็นเพราะผมผ่านการฝึกมาค่อนข้างหนัก ต้องใช้อาวุธทุกอย่างให้ชำนาญ แต่เรื่องการใช้มีดแบบนี้ น่าจะเก่งไม่เท่าคุณหมอหลี่หรอก จริงไหมครับ”
“ฮ่า ๆ นายพลน้อยพูดเล่นแล้วครับ ผมอยู่แต่ห้องผ่าตัดก็จริง แต่ว่าเรื่องแบบนี้ มันพูดยากนะครับ แล้วผมก็ไม่ค่อยชอบกินสเต๊กด้วยสิ”
“งั้นเหรอครับ คงเห็นจนชินเลยไม่นึกอยากใช่ไหมครับ ผมก็มีเพื่อนเป็นหมอ เขามักจะพูดแบบนี้เหมือนกัน โชคดีที่ผมไม่ได้เลือกเส้นทางน่าเบื่อนั่น ไม่งั้นก็คงคิดมาก กับทุกอย่างที่เอาเข้าปาก"
ทุกคนเงียบกริบ คำพูดราวกับมีดที่กำลังผ่าเนื้ออยู่นั้น ทำเอาทุกคนขนลุก นายพลน้อยกู้ เขาได้ยศนี้มาเพราะปราบโจรที่บุกท่าเรือ เมื่อสองปีก่อน เขาเป็นนายพลที่อายุน้อย แต่กับการทำงานในกองทัพ ก็ไม่เคยแพ้ใคร ทั้งความเผด็จการ และความเด็ดขาดในการสั่งงานกองทัพ
กู้หานเซียวใช้เวลาไม่ถึงสิบวัน ก็สามารถปราบโจร ที่ลักลอบเข้ามาค้าของเถื่อนได้หมด และยังจับสายลับคนสำคัญของศัตรู ที่เข้ามาสืบข่าวในกองทัพได้อีกสองคน ถึงจะเป็นผู้หญิง แต่ก็ถูกเขาทรมานจนตาย เรื่องความโหดของเขา มีมากพอ ๆ กับความหล่อราวเทพบุตรนั่นแหละ
“กินสลัดหน่อยไหมลูก”
“ไม่เอาแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะแม่”
เธอหันไปมองสเต๊กในจานของเขา ที่กำลังหั่นอย่างตัดใจไม่ลง เพราะมันทั้งหอมชวนน้ำลายสอ และน่ากินจริง ๆ อย่างที่หลี่เจินหลิงพูดนั่นแหละ เมื่อเขาหั่นจนหมดแล้ว จึงได้ยกจานสเต๊ก และเดินมาวางตรงหน้าของตงหลินซี ท่ามกลางสายตาของทุกคน โดยเฉพาะคุณนายกู้กับหลี่เจินหลิน ที่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่ที่เก้าอี้ของตัวเอง
“สำหรับคุณ ถือว่าตอบแทน ที่ช่วยแก้ปัญหาให้ตระกูลกู้ในคืนนี้ ทานให้อร่อยนะซีซี”