ครืด~
หญิงสาวตกใจกับเสียงแจ้งเตือนสายเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือของตัวเองยิ่งเห็นชื่อบนหน้าจอตอนที่เธอกำลังทำใจถอดชุดของตัวเองหัวใจยิ่งสั่นระรัว เธอเอื้อมมือไปจับเครื่องมือสื่อสารคิดอยู่เป็นนาทีจนสายถูกตัดไปแต่สุดท้ายก็ต้องโทร.กลับ
“มีอะไรอิฐ”
(พี่เอยแม่ได้เงินแล้วนะ พี่ไม่ต้องหายืมแล้ว)
อิฐเป็นน้องชายของเธอที่อายุห่างกันหกปี ตอนนี้เรียนอยู่คณะวิศวะกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งของภาคเหนือ น้องชายของเธอเรียนเก่งมาตั้งแต่ยังเด็กต่างจากเธอที่เรียนอยู่ในระดับกลางๆ ห้อง อาศัยความขยันถึงได้เรียนมหาวิทยาลัยดีๆ กับเขา
เอย อริสรา หญิงสาววัยยี่สิบหกที่เพิ่งเรียนจบมาได้สามปีกว่า ทำงานอยู่ในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่ตอนนี้เจอพิษเศรษฐกิจและคนคอรัปชั่นในองค์กรจนต้องปิดตัวลง เธอเองก็กลายเป็นคนตกงานอย่างไม่ได้ตั้งตัวไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา
ประจวบกับที่น้องชายต้องจ่ายค่าเทอม แม่ถูกกดดันไล่ที่ซึ่งเคยทำมาหากินจากอดีตนักการเมืองผู้มีอิทธิพล แถมยังรู้มาหมาดๆ ว่าแม่ติดหนี้ลูกนักการเมืองรายนี้ยอดเหยียบล้าน
เธอเคยสงสัยว่าก่อนหน้านี้ว่าแม่หาเงินจากไหนมาเพื่อส่งเธอกับน้องเรียน จริงอยู่ว่าร้านข้าวมันไก่ของแม่ค่อนข้างขายดี แต่เธอก็คิดว่ามันอาจจะไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงลูกที่อยู่ในวัยเรียนทั้งคู่
“แม่เอามาจากไหน อย่าบอกว่าไปยืมพวกมันอีกนะ”
พวกมันที่ว่าคือพวกของปวีย์ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของสีหราช คนที่เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายสมัย แต่สมัยนี้พ่ายแพ้ให้กับนักการเมืองรุ่นใหม่ไฟแรงที่ครองใจคนในพื้นที่มากกว่า ถึงแม้จะมีข่าวลือว่าสีหราชทุ่มเงินหลายล้านกับการหาเสียงและซื้อเสียงอย่างลับๆ แต่ก็พ่ายแพ้ให้กับอีกคนอย่างทิ้งห่างมากมายหลายหมื่นคะแนน
นั่นแปลว่าเขาถูกประชาชนที่รับเงินไปคนละสี่ห้าร้อยนั้นหักหลัง เหตุผลที่คนไม่เลือกก็คงเป็นเพราะความบ้าอำนาจของชายวัยห้าสิบกว่าปีคนนี้
(ผมไม่รู้ว่ะพี่เอย แต่แม่บอกว่าพี่ไม่รับสายเลยโทรบอกให้ผมโทรหาพี่ว่าไม่ต้องหายืมเพื่อนแล้ว)
เอยขยับฝ่ามือเล็กขึ้นมาวางตรงอกข้างซ้ายที่มันเต้นเร็วรัวขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ดวงตาคู่สวยมองไปยังบานประตูที่มีเสียงน้ำจากฝักบัวเล็ดลอดออกมาพลางคิดตื่นตระหนก
“โอเค งั้นแค่นี้นะ”
(อยู่ไหนนะ) น้องชายถามอย่างนึกสงสัยเพราะปกติแล้วพี่สาวไม่เคยกลับบ้านดึกโดยที่ไม่บอกกล่าวว่าไปไหน
“บ้านเพื่อน เดี๋ยวจะกลับ”
ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันเธอเทียวยืมเงินเพื่อนหลายคนเพื่อที่จะเอามาจ่ายค่าเทอมให้น้อง แต่มีแค่เพื่อนสนิทอย่างปภาวรินที่ให้ยืมห้าพันบาทยังขาดอีกสองหมื่นกว่าที่ต้องหาเพิ่ม มีเวลาอีกไม่กี่วันก็จะหมดเขตจ่ายแล้ว
สุดท้ายเพื่อนสมัยประถมที่เธอยังพูดคุยกันอยู่ก็แนะนำให้มาทำงานนี้เพราะหาเงินได้เร็วที่สุด เธอเคยคิดว่าชาตินี้คงไม่คิดจะทำแต่สุดท้ายความตกอับก็บีบบังคับให้เธอเดินเข้าสู่วงการอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ไหนจะต้องรับรู้ว่าแม่ติดหนี้คนพวกนั้นอีกหลายแสน จ่ายแต่ดอกเบี้ยทุกเดือนโดยที่เธอไม่เคยรับรู้ กระทั่งแม่ทนหาเองไม่ไหวถึงยอมบอกเธอ ซ้ำตอนนี้เธอยังตกงาน ตระเวนหางานทั่วทั้งจังหวัดแล้วพอมีที่ถูกใจแต่อีกเป็นเดือนกว่าจะได้เงินจากการทำงาน
สุดท้ายแล้วเธอก็ตัดสินใจเลือกขายศักดิ์ศรีของตัวเองโดยรับงานนี้ มันก็ดีกว่าให้เธอไปเป็นของไอ้ปวีย์ ผู้ชายสารเลวคนนั้นเพื่อแลกกับหนี้หลายแสน แค่เห็นหน้ามันเธอก็เหมือนโลกมันมืดไปหมดแล้ว
(ออ รีบกลับนะแม่เป็นห่วง)
เสียงจากน้องชายเรียกสติของเธอให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว อริสรารีบคว้ากระเป๋าสะพายใบเล็กแล้ววิ่งไปหยิบรองเท้าก่อนจะเปิดประตูหนีออกไปจากห้องทันที
เกือบไปแล้ว เธอเกือบจะตัดสินใจพลาด
ไม่รู้แล้วว่าแม่หาเงินมาจากไหนแต่ตอนนี้ขอเปลี่ยนใจ การจะขายศักดิ์ศรีมันไม่ง่ายเลยสำหรับเธอ
เวธัสเดินออกมาจากห้องโดยมีเพียงผ้าเช็ดตัวสีขาวสะอาดพันรอบเอวไว้เผยให้เห็นลอนคลื่นของกล้ามเนื้อที่เรียงสวยจากการถูกดูแลร่างกายเป็นอย่างดีบนหน้าท้อง
เขาขัดและถูทุกซอกมุมเพื่อผู้หญิงที่บอกว่าตัวเองว่าซิงอย่างตั้งใจแต่เขามั่นใจมากว่ามันไม่ได้นานเกินยี่สิบนาที
“อยู่ไหน” เขาเอ่ยออกมาเบาๆ
แต่ทั้งห้องกลับเงียบกริบไม่มีแม้แต่เสียงของสิ่งมีชีวิตอื่นที่กำลังเคลื่อนไหว จะเล่นซ่อนแอบก็คงไม่ใช่เพราะตอนนี้แม้แต่รองเท้าของเธอคนนั้นก็ไม่มี
เล่นตลกอะไรกับกูเนี่ยแม่คนสวยคนซิง
“ไอ้กันต์ คุยกับเด็กที่มึงติดต่อมาหน่อย หายหัวไปแล้ว”
(หา! อะไรของมึงไอ้ธาม)
“กูอาบน้ำเสร็จเดินออกมาไม่มีแม้แต่เงา”
(จ่ายยัง)
“จ่ายเชี่ยอะไร ปลายนิ้วก็ไม่ได้แตะ เล่นอะไรกันวะ”
เขาเริ่มหัวเสียกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นสายตาสอดส่องมองของมีค่าที่ตัวเองพกมาด้วยแต่มันก็ยังอยู่ครบทุกชิ้นแล้วมีเหตุผลอะไรที่ผู้หญิงคนนั้นจะต้องหนีไป
(มึงใจเย็นก่อนไอ้ธาม กูรู้ว่ามึงเสียหน้าแต่มึงคิดดีๆ ว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนตัว)
ไอ้เพื่อนสนิทมันก็ปั่นเหลือเกิน กูยังไม่คิดเรื่องเสียหน้าเลย
“เปลี่ยนตัว” ชายหนุ่มเอ่ยออกมาปลายประโยคมีลมที่เรียกว่าสงสัยแทรกอยู่ กลางหว่างคิ้วยับย่นจนมีรอยแยกมากกว่าสามเส้น แน่นอนว่าเขาเข้าใจที่เพื่อนพูดแต่ที่ไม่เข้าใจทำไมต้องเปลี่ยนตัว
เสียงเคาะประตูดังขึ้นหลังจากที่เพื่อนเพิ่งพูดประโยคนั้นจบไป เวธัสก้าวเท้าเดินไปเปิดประตูก็พบสาวอีกคนที่ไม่เคยเห็นหน้ายืนยิ้มอยู่แถมมองเขาจนดูออกว่าคิดอะไร
“เพื่อนให้มิวมารับแทน ฝากมาขอโทษคุณด้วยค่ะ” หญิงสาวตรงหน้าประตูเอ่ยแล้วพยายามจะแทรกตัวเข้ามาแต่เขายกมือห้ามเพราะรู้สึกอารมณ์ไม่ค่อยคงที่นัก
“ฉันหมดอารมณ์แล้วกลับไปก่อนเถอะ”
เวธัสเอ่ยปากบอกแล้วปิดประตูโดยไม่สนใจว่ามันจะเสียมารยาท ในเมื่อผู้หญิงพวกนี้หักหน้าเขาได้ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะแคร์ความรู้สึกพวกหล่อน