หลังจากแขกคนสุดท้ายเดินออกจากห้องจัดเลี้ยง ประตูห้องสวีทของโรงแรมหรูชั้นบนสุดก็ปิดสนิท
ภายในห้องหอที่ตกแต่งด้วยกลีบกุหลาบหอมและแสงไฟสลัวอบอุ่น กำลังถูกห้อมล้อมด้วยความอึดอัดที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
วราลี สะบัดผ้าคลุมไหล่เจ้าสาวออกแล้ว เหวี่ยงลงบนเก้าอี้ ก่อนจะหันกลับไปจ้องหน้า เจ้าบ่าวที่กำลังถอดสูทโยนลงโซฟาอย่างไม่แยแสทันที
“นายไปนอนโซฟา”
น้ำเสียงหล่อนเย็นเฉียบ ราวกับคำประกาศของการตัดสินของศาล
สิรณัฐ ชะงักไปแวบหนึ่ง แล้วหรี่ตามองอย่างข้องใจ
“ว่าไงนะ? ขออีกรอบสิ เมื่อกี้เหมือนจะได้ยินอะไรตลกๆ”
“ฉันบอกให้นายไปนอนโซฟา! หรือถ้านายอยากนอนพื้น ก็ไม่ว่ากัน ฉันใจดี!”
สิรณัฐยิ้มเยาะ และทิ้งตัวลงบนเตียงหน้าตาเฉย
“แล้วสิทธิของฉันล่ะ? เตียงนี่ฉันก็มีสิทธิครึ่งนึงเหมือนกันนะ ตามหลักกฎหมาย และ...ศีลธรรมสากล”
วราลี เดินตามมาจ้องเขา ตาคาดโทษ มือเท้าเอวคอด
“ศีลธรรมเหรอ? นายควรเอาคำนั้นไปคืนพจนานุกรมเลยจะดีกว่า”
สิรณัฐ ยักไหล่ ทำหน้าซื่อบื้อแต่เต็มไปด้วยกวนประสาท
“ทำไมฉันจะต้องเอาไปคืน”
“ก็เพราะนายเป็นคนไม่มีศีลธรรมไง ปากก็ร้าย”
“ถึงฉันจะปากร้าย แต่ปากของฉันก็มีไว้พูดความจริงนะ ไม่เหมือนปากของใครบางคน ที่อ้าแต่ละที เหมือนเปิดสนามรบ”
“ก็ดีกว่าปากนายแล้วกัน ที่ชอบเอาไว้หลอกสาวแล้วเปลี่ยนเบอร์หนีเป็นว่าเล่น!”
หล่อนตอบโต้เสียงแข็งและห้วน จ้องตาเขาอย่างเอาเรื่อง
“ถ้าฉันเห็นนายคอลหวานกับใคร แล้วเรียก ‘เบบี้ที่รัก’ ล่ะก็... อย่าหาว่าไม่เตือนนะ ฉันจะปาหัวนายให้แตกเลย”
สิรณัฐ หัวเราะหึหึในลำคอ ก่อนเลิกคิ้วใส่หล่อน
“ใจเย็นหน่อยเมียจ๋า เราเพิ่งแต่งกันไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยนะ จะเปิดโหมดหึงแล้วเหรอ?”
วราลี ถลึงตาใส่ทันที
“หึงบ้าหึงบออะไรล่ะ! ฉันแค่ไม่อยากถูกตราหน้าว่าแต่งกับคนที่ยังทำตัวเหมือนพรีเซนเตอร์แอปหาคู่ต่างหาก!”
“หืม…”
เขาโน้มตัวเข้ามาเล็กน้อย พร้อมรอยยิ้มมุมปาก
“หรือจริงๆ แล้ว เธอกลัวจะเสียตำแหน่งเบบี้อันดับหนึ่งไป?”
วราลีถลึงตาอีกครั้ง และก็แทบจะโยนหมอนใส่หน้าเขาอีกที
“ตำแหน่งนั้นน่ะ ฉันยกให้น้องหมาหน้าปากซอยไปแล้วค่ะ เพราะน้องหมามันยังมีน้ำใจมากกว่านายอีก”
สิรณัฐหัวเราะในลำคอ แล้วเอนหลังพิงหัวเตียงอย่างสบายใจ
“ดีแล้วล่ะ เพราะตำแหน่งสามีของเธอ... ฉันก็ไม่ได้สมัครไว้เหมือนกัน โดนบังคับมา และฉันก็โคตรจะเสียใจเลย”
วราลีกระชากหมอนอีกใบจากปลายเตียงมาวางกั้นตรงกลาง
“งั้นเอาแบบนี้ ถ้าใครล้ำเส้นนี้... จะถูกถีบตกเตียงทันที โดยไม่มีการเตือน โอเคไหม”
“โอเคครับ... คุณผู้พิพากษาแห่งศาลเตียงโลก”
สิรณัฐยกมือขึ้นแนบอก พร้อมยักคิ้วแบบกวนสุดขีด ก่อนจะพูดต่อ
“แต่ขอบอกไว้เลยนะ... ถ้ากลางดึกเธอละเมอมากอดฉัน อย่ามาหาว่าฉันรุกล้ำพื้นที่ก็แล้วกัน”
วราลี เบะปากสะบัดหน้าแรงจนผมหางม้าสะบัดตาม
“ต่อให้ฉันละเมอจนปีนเพดาน ฉันก็ไม่มีวันกลิ้งไปหาอะไรที่เย็นยิ่งกว่าแอร์ห้างตอนไม่มีคนเดินหรอกยะ!”
“โอเค ก็อย่าเผลอละกัน...”
เขากระซิบเบาๆ พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
วราลีพลิกตัวหันหลังให้ทันที สองแขนกอดหมอนแน่น พยายามบอกตัวเองให้สงบจิตสงบใจ แต่ความร้อนบางอย่างก็ลุกลามในอกไม่ยอมหยุด และหล่อนก็เกลียดความรู้สึกแบบนี้เหลือเกิน
แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าสาดลอดผ้าม่านเข้ามาในห้องหอ
บนเตียงคิงไซซ์ขนาดใหญ่ หมอนที่เคยแบ่งขอบเขตเมื่อคืน หล่นลงไปกองอยู่บนพื้นเรียบร้อยแล้ว
และตรงกลางเตียงตอนนี้ คือร่างของชายหญิงสองคนที่นอนแนบชิดกัน
วราลีขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม แขนข้างหนึ่งโอบอยู่รอบเอวของใครบางคน ปลายจมูกของหล่อนแทบจะชิดกับแผ่นอกอุ่นของเขา
จังหวะลมหายใจของสิรณัฐนิ่งและสม่ำเสมอ แต่ในความเงียบสงบ มีบางอย่างไม่สงบเลย เพราะเขาตื่นแล้ว และรับรู้ได้ถึงสัมผัสนุ่มๆ ที่แนบอยู่ตรงหน้าอก
กลิ่นหอมละมุนจากน้ำหอมของวราลีอบอวลอยู่ในโพรงจมูก เส้นผมนิ่มและนุ่มของหล่อนคลอเคลียอยู่กับปลายคางเขา
เวร... นี่มันอะไรวะเนี่ย
มือเล็กของหล่อน ลูบผ่านหน้าท้องเขาเบาๆ เหมือนละเมอ
ขาเรียวของหล่อน... พาดเกี่ยวทับกับขาเขาพอดิบพอดี
และเมื่อหล่อนขยับตัวเบาๆ เพื่อขดตัวเข้าใกล้ชิดเขามากยิ่งขึ้น
หัวใจของเขาเริ่มเต้นถี่ขึ้นทันที...
แต่ก่อนที่เขาจะหลุดหลงไปมากกว่านี้ เจ้าหล่อนก็เริ่มขยับตัว และค่อยๆ ลืมตาขึ้น
ดวงตากลมโตสบประสานกับสายตาของเขาที่มองอยู่ก่อนแล้วอย่างจัง
“....!!!”
วราลีช็อกเต็มร้อย
แต่อีกแวบก็รู้สึกว่า แผ่นอกของสิรณัฐอุ่นชะมัด แถมมันยังมีกลิ่นหอมที่ทำให้หล่อนรู้สึกร้อนแปลกๆ อีกด้วย
หญิงสาวสะดุ้งสุดตัว รีบผละออกอย่างตกใจสุดขีด พร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ดังออกมาโดยไม่ต้องคิด
“นายมานอนกอดฉันทำไม?!”
สิรณัฐ ก็ผงะเหมือนกัน รีบลุกพรวดขึ้นนั่งพิงหัวเตียง
“ฉันเหรอ?! เธอต่างหากที่มากอดฉันก่อน!”
“บ้า! ฉันจำได้ว่าฉันนอนห่างนายแล้ว!”
“ก็เมื่อคืนเธออาจจะละเมอ หันมากอดฉันเองก็ได้นี่”
“ไม่มีทาง! นายมันโรคจิต แอบขยับมากอดฉันแน่ๆ เลย!”
“ถ้าฉันโรคจิต เธอก็คงเป็นโรคประสาท! นั่นแหละ มากอดฉันเอง แล้วก็มาโยนความผิด บ้าชะมัด!”
ทั้งคู่เถียงกันเสียงดังลั่น แต่ใบหน้ากลับแดงระเรื่อทั้งคู่
สิรณัฐ พึมพำในลำคอคล้ายกับบ่น
“แค่กอดยังขนาดนี้ ถ้าฉันจูบอีกที เธอคงขาดใจตายเลยมั้ง”
วราลี ได้ยินทันที หันขวับ ถลึงตา
“ก็ลองแตะฉันอีกสิ! ฉันจะเอาหมอนยัดปากนายจนหายใจไม่ออกเลยคอยดู!”
สิรณัฐ หัวเราะหึหึ คว้าหมอนมากอดเอาไว้ และหันหน้าหนี เบื่อหน่ายที่ต้องเถียงกับวราลีตั้งแต่เช้า
ทั้งคู่เงียบงันไปอึดใจนึง ก่อนจะพูดขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ฉันจะเข้าห้องน้ำ!”
เสียงประสานกันเป๊ะจนทั้งสองคนชะงัก จากนั้นก็หันมาจ้องกันอีกรอบ
สิรณัฐ ชี้ไปที่ตัวเอง
“ฉันพูดก่อน!”
วราลี กอดอก สะบัดหน้า
“แต่ฉันพูดก่อนต่างหาก!”
“แต่ฉันจะฉี่แตกแล้ว!”
“ก็ไปฉี่ข้างนอกสิ ฉันจะใช้ห้องน้ำ!”
ทั้งคู่พุ่งไปที่ห้องน้ำพร้อมกันราวกับวิ่งแข่งโอลิมปิก
เสียงประตูห้องน้ำปิด “ปัง!” ตามด้วยเสียง
ล็อกกลอนดัง “แกร๊ก!”
วราลีชนะ
“หึ! ช้าเองช่วยไม่ได้!”
“เปิดเดี๋ยวนี้นะวราลี! ถ้าเธอเข้าไปนานกว่าสิบนาที ฉันจะพังประตูจริงๆ ด้วย!”
วราลีในห้องน้ำยกคิ้ว ยิ้มเยาะกับกระจก
“หนึ่งชั่วโมงจ๊ะ เพราะฉันจะขัดตัวสามรอบ ล้างหน้าห้าสูตร แล้วแช่น้ำร้อนอีกสักยี่สิบนาที”
ด้านนอก สิรณัฐยืนหน้าหงิก กอดอกพิงกำแพง
“แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่า... นรกบนเตียง บ้าชะมัดเลย!”