“แม่ครับ ที่จริงผมกับหยาเราคบกันมาสักพักแล้ว” วิกเตอร์กุมมือเพื่อนสนิท พร้อมกับยืนต่อหน้าครอบครัวของตนที่กำลังนั่งทานข้าวอยู่ที่บ้าน
“กับปันหยาเนี่ยนะ” เอริคผู้เป็นพ่อเอ่ยพร้อมถอนหายใจออกมาแรง ๆ ลำพังตัวเขาไม่ได้จริงจังเรื่องหาคู่ครองลูกมากนัก แต่เพราะภรรยาของตนอยากมีลูกสะใภ้ แล้วก็อยากเลี้ยงหลานน่ะสิ พ่อบ้านอย่างเขาจะทำอะไรได้นอกจากตามใจ
“ตะ... แต่พวกเราคบกันจริง ๆ นะคะ” เพราะรับเงินมาแล้ว แถมยังเตรียมหาคนออกแบบที่จะต่อเติมไว้เรียบร้อยด้วย ปันหยาเลยรีบสวมบทบาททันที ทั้งยังขยับตัวเข้าไปยืนใกล้เพื่อนสนิทมากกว่าเดิม
“หนูหยา ไม่ต้องไปช่วยลูกชายป้าหรอก คงไม่ใช่ว่าจะมาแกล้งเป็นแฟน เพื่อให้แม่เลิกหาคู่ให้หรอกใช่ไหม” ลินดาผู้เป็นแม่กอดอกอย่างขัดใจ ก่อนจะเรียกให้เพื่อนลูกนั่งลงพร้อมชวนทานข้าว เล่นเอาคู่รักจำเป็นมองหน้ากันเจื่อน ๆ เพราะที่พูดมานั้นมันตรงเป๊ะเลยละ
ปันหยากำลังจะเลื่อนเก้าอี้ แต่ไม่ไวเท่าวิกเตอร์ที่เดินมาจัดการให้ก่อน ทำเอาต้องเม้มปากกลั้นขำในความพยายามเป็นสุภาพบุรุษของเพื่อน แน่นอนว่าชายหนุ่มเองก็รู้ทัน เลยแอบถลึงตาใส่เพื่อนสนิทอย่างอาฆาต
“แม่คะ คือพวกหนูคบกันมาสักพักแล้ว แต่ยังอยู่ในช่วงปรับตัวจากเพื่อนมาเป็นแฟน เตอร์มันเลยยังไม่กล้าบอกแม่กับพ่อ”
“เพราะผมรู้ไงว่าพูดไปแม่ก็ไม่เชื่อ แล้วยิ่งชอบหาคู่ดูตัวมาให้อีก เห็นหยาไม่สบายใจก็เลยตกลงกันว่าจะมาคุยกับพ่อแม่ตรงๆ” วิกเตอร์ได้ทีก็รีบกล่าวเสริมด้วยท่าทางเขร่งขรึม ในขณะที่ปันหยาอยากหลุดขำใจจะขาด แต่ต้องเก๊กหน้าให้จริงจังเข้าไว้
“ฉันไม่เชื่อแกหรอก” แน่นอนว่าบทละครของลูกชายทำไมเธอจะดูไม่ออก
“แล้วต้องทำยังไงแม่ถึงจะเชื่อล่ะ” ลูกชายคนเล็กนั้นไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังกระโจนเข้าสู่แผนการของผู้ใหญ่ซะแล้ว
“ลูกอยากพิสูจน์ยังไงล่ะ แม่ไม่ติดหรอกนะถ้าหนูหยาจะมาเป็นลูกสะใภ้บ้านเรา” ลินดาเอ่ยถามในใจคิดว่าทุกอย่างมันเข้าทางที่วางไว้จริง ๆ ที่สำคัญตนนั้นก็ชอบเพื่อนสนิทของลูกชายคนนี้อยู่แล้ว แต่เพราะทั้งคู่รู้จักกันดีเกินไปเลยยากที่จะคบหากันได้ แม้จะเคยเลิกหวังไปแล้ว แต่เมื่อโอกาสมาอยู่ตรงหน้าก็ไม่ลีลาที่จะคว้าเอาไว้ในทันที
“ผมกับหยาเราจะแต่งงานกัน!” วิกเตอร์พูดเสียงหนักแน่น เพราะเขาซ้อมบทนี้มาเป็นร้อยครั้งแล้ว ปันหยาหน้าแดงเพราะกลั้นขำจนต้องกัดปากตัวเองแล้วหันไปมองทางอื่น ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกเขินนิด ๆ ที่มีคนมาพูดว่าจะแต่งงานกับตัวเอง
“แค่ก ๆๆๆ” เอริคสำลักน้ำจนไอโขลก เพราะไม่คิดว่าลูกของตนจะติดกับดักได้อย่างง่ายดาย ที่สำคัญมันทำให้เขาแพ้เดิมพันน่ะสิ! ในขณะที่ลินดาหัวเราะชอบใจ
‘คุณคอยดูนะ เดี๋ยวเจ้าตัวแสบมันจะหาคนมาเล่นเป็นแฟน’
‘แล้วคุณจะทำยังไงต่อ’
‘ฉันก็จะทำให้มันเป็นจริงน่ะสิ แค่บอกว่าให้เจ้าเด็กนั่นพิสูจน์ สุดท้ายยังไงก็ต้องจัดงานแต่ง งานนี้ยังไงก็เป็นไปตามแผน’
‘ลูกเรามันจะโง่ขนาดนั้นเลยเหรอ’
‘เดิมพันกันเลยไหมล่ะ?’
“เดี๋ยวแม่ไปหาฤกษ์ให้ ฝากดูแลลูกชายแม่ด้วยนะหนูหยา” คุณนายลินดาสบตาสามีอย่างผู้ชนะ ก่อนจะหันไปฝากฝังกับว่าที่ลูกสะใภ้ ทำเอาทั้งสองคนที่คิดบทเผื่อจะถูกคัดค้านมาทำตัวไม่ถูกชั่วขณะ ไม่รู้เลยสักนิดว่าทุกอย่างได้ถูกเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว วิกเตอร์ไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ ก็ถูกผู้เป็นพ่อมองด้วยสายตาทิ่มแทงแบบนั้น แต่เขาก็ต้องดำเนินแผนขั้นต่อไป
“ผมว่าอีกสักสามปีกำลังดีเลย” น้ำเสียงจริงจังถูกเอ่ยขึ้นอีกครั้ง วิกเตอร์ตั้งใจว่าระยะเวลานี้คงมากพอที่จะทำให้เขาพิสูจน์ตัวเองเรื่องงาน แล้วเอามาเป็นข้ออ้างในการเลื่อนทุกอย่างออกไปได้อีก รวมไปถึงอาจจะมีอำนาจมากพอที่จะต่อรองเรื่องนี้กับที่บ้าน
“ต๊ายยยย ไม่ได้สิคะลูกแม่ จะให้หนูยารอถึงตอนนั้นได้ยังไง ปีนี้แหละอายุกำลังสวย ปีหน้าก็มีหลานให้แม่อุ้ม เพอร์เฟกต์สุด ๆ”
“ปีนี้!?” กลายเป็นฝั่งปันหยาเองที่ตกใจจนอุทานเสียงดัง
“ทำไมเหรอจ๊ะ พวกหนูรู้จักกันมาตั้งนาน ไหน ๆ คบกันแล้วก็รีบแต่งเลยสิ ตาวิกก็ไปมาหาสู่หนูบ่อย ๆ จะได้ไม่เสียหายด้วย” ราวกับถูกดักทางไว้ทุกรูปแบบ ทั้งคู่จึงไม่มีข้ออ้างใดโต้แย้งอีก
สุดท้ายทั้งสองคนก็กลับออกมาด้วยความรู้สึกหลากหลาย วิกเตอร์รับบทแฟนหนุ่มที่ต้องไปส่งแฟนสาวที่รักจนถึงที่หมาย
“หยา... แกโอเคใช่ปะ”
“โอเคดิ ถึงฉันไม่ได้คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ก็เถอะ แต่งานแต่งฉันขอเล็ก ๆ ได้ไหมวะ มาถึงขั้นนี้แล้วฉันก็ต้องบอกพ่อแม่ฉันไว้ด้วยแล้วกัน” ปันหยาขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด ถึงอย่างนั้นเธอเองก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันวุ่นวายแต่อย่างใด รวมถึงไม่ได้คิดว่ามีอะไรให้เสียอีกด้วย
“แกจะบอกเรื่องแต่งงานปลอม ๆ เหรอ”
“ที่จริงพ่อกับแม่ก็อยากให้ฉันแต่งงานเหมือนกัน แค่ไม่ได้หาคู่ให้เหมือนแม่แก ก็ถือว่าใช้โอกาสนี้ไปเลยแล้วกัน” ครอบครัวของปันหยาอาศัยอยู่ที่ต่างจังหวัด ผู้คนละแวกนั้นรู้จักกันแทบทั้งหมู่บ้าน และเพราะโดนถามถึงลูกสาวบ่อย ๆ พ่อกับแม่เลยมาบ่นให้เธอฟัง แม้พวกท่านไม่ได้จริงจังเรื่องนี้มากนัก แต่ถ้าแต่งงานขึ้นมาจริง ๆ ชาวบ้านจะได้เลิกมายุ่งวุ่นวายกับบ้านเธอด้วย
“อ้าว! แล้วห้าแสนฉันล่ะ” แบบนี้ไม่ใช่เขาเสียเปรียบหรอกเหรอ ในเมื่อได้ผลประโยชน์กันทั้งคู่แล้วเงินที่โอนไปนั่น....
“สามีขา ต่อไปเงินผัวก็เหมือนเงินเมีย แต่เงินเมียคือเงินเมียค่ะ” ไม่ว่าเปล่า ปันหยายังเอื้อมมือไปบีบแก้มเพื่อนสนิทอย่างหยอกล้ออีกด้วย
เอาวะ เป็นไงเป็นกัน!