ตอนที่10 ตามหาความจริง

1829 Words
คอนโด K 01.50น. เป็นเวลาเกือบตีสอง หลังกลับจากบาร์ชายหนุ่มที่ยังคงจมอยู่ในความฟุ้งซ่านไม่อยากอยู่คนเดียว เขาจึงขอมานอนค้างคืนที่คอนโดของหนุ่มรุ่นพี่ในย่านใจกลางเมืองด้วยคน แต่จนกระทั่งมาถึงตอนนี้เข็มนาฬิกาได้เลื่อนขยับบ่งบอกเวลาว่านี่ใกล้จะตีสามแล้ว เขากลับยังไม่มีท่าทีหรือวี่แววว่าจะง่วงเลยสักนิด ซึ่งผิดกับอีกคนที่นอนหลับสบายอยู่บนเตียงนุ่มขนาดคิงไซร์นานหลายชั่วโมงแล้ว ภายในห้องนอนอันเงียบสงัด คนตัวสูงนอนพลิกตะแคงไปมาไม่หยุด ไม่ว่าเขาจะพลิกร่างไปทางไหนก็ยากจะข่มตานอนหลับลง เพราะในหัวสมองของเขาตอนนี้ยังคงมีเพียงเรื่องราวมากมายที่เกี่ยวกับเธอแทรกเข้ามาให้ได้คิด ด้วยความที่ไม่อยากจะเสียหญิงสาวไป ชายหนุ่มยังยืนหยัดอย่างเด็ดเดี่ยวเลือกที่จะเข้าข้างตัวเอง ไม่ยอมรับความจริงง่ายๆ ทั้งแอบภาวนาหวังอยู่ในใจขอให้สิ่งที่เธอบอกเขามาในวันนี้เป็นเพียงแค่คำโกหกเท่านั้น ตราบใดที่ยังไม่เห็นด้วยกับตาตัวเองแล้วละก็เขายังไม่ปักใจเชื่ออย่างเด็ดขาด ยังไงก็ต้องรู้ให้ได้ 06.45น. “ไอ้พี่คิน ตื่นได้แล้วพี่” “อือ…” “พี่คินเมียพี่มา!” เสียงตวาดปลุกให้หนุ่มรุ่นพี่ที่นอนหลับกำลังสบายอยู่บนเตียงนุ่มขนาดคิงไซร์ให้สะดุ้งตกใจตื่นขึ้นมากะทันหัน จนร่างสูงที่ไม่ทันระวังเผลอหงายหลังจนร่วงตกเตียง ตุ๊บ! “โอ๊ย! แกร๊ก” เสียงร้องโอดครวญดังขึ้นด้วยความเจ็บดังขึ้นพร้อมกับเสียงกระดูกเคลื่อน เมื่อร่างกายกระแทกผิดท่า “บ้าเอ๊ย เจ็บนะเว้ยทำอะไรของมึงวะเนี่ยไอ้องศา” หนุ่มรุ่นพี่ที่นอนแผ่หลาอยู่บนพื้นข้างเตียง ผุดใบหน้าขึ้นมามองหน้าคนเป็นรุ่นน้องด้วยความโกรธ เมื่อถูกอีกฝ่ายกลั่นแกล้งให้เจ็บตัวในตอนที่กำลังนอนหลับสบาย “โวยวายพูดมากอยู่นั่นแหละ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว เรามีงานที่ทำนะ รีบไปกันเถอะ” “ไอ้เด็กบ้านี่ จะรีบไปไหนนัก..” “หุบปาก แล้วรีบไปขึ้นรถเถอะน่า” พรึ่บ “หะ เห้ย! เดี๋ยวดิไอ้องศา กูยังไม่ล้างหน้าแปรงฟันเลยนะเว้ย…” ไม่ทันให้หนุ่มรุ่นพี่ได้เอ่ยทักท้วงจบประโยค กลับถูกชายหนุ่มที่ยืนร้อนรนทั้งขัดใจอยู่นาน เดินปรี่เดินเข้ามาคว้าท่อนแขนแกร่งและพยุงร่างเขาให้ลุกขึ้นก่อนจะลากพาเดินตรงออกไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ข้างนอกคอนโดโดยทันที ลานจอดรถใต้คอนโดK ตึก ตึก ตึก ปึง ทันทีที่บานประตูรถถูกปิดลง ชายหนุ่มก็ไม่รอช้า รีบสตาร์ทรถและเหยียบคันเร่งขับพาหนุ่มรุ่นพี่ออกจากคอนโดมาด้วยความว้าวุ่นใจ ทว่าอีกฝ่ายกลับเริ่มเปิดปากโวยวายอย่างหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากก้มมือนาฬิกาเรือนหรูบนข้อมือพบว่านี่ยังเช้ามากสำหรับการตื่นนอนของเขา “ให้ตายเถอะ นี่มึงจะรีบอะไรขนาดนั้นวะนี่มันเพิ่งหกโมงเช้าเองนะ ใจคอจะไม่ให้กูล้างหน้าแปรงฟันก่อนเลยหรือไงเนี่ย” “ไม่มีเวลาแล้ว ผมต้องรู้ความจริงให้ได้โดยเร็วที่สุด” พูดไป ฝ่าเท้าก็เหยียบคันเร่งให้เร็วขึ้นกว่าเดิม ขับมุ่งหน้าตรงไปยังบ้านพักของหญิงสาวโดยไม่คิดจะสนใจคำก่นด่าเลยสักนิด “กูล่ะเชื่อกับมึงจริงๆ” ท้ายที่สุดหนุ่มรุ่นพี่ที่หมดคำจะพูด ทำได้เพียงกลอกตาไปมาอย่างเหนื่อยหน่ายกับอารมณ์และความดื้อรั้นที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ของรุ่นน้องอีกตามเคย เลิกโวยวายและปล่อยให้เขาขับรถพาไปยังที่หมายแต่โดยดี ผ่านไปสักครู่หนึ่ง ใช้เวลาเพียงไม่นานมากนัก ในที่สุดหนุ่มหล่อทั้งสองก็ขับมาจนถึงบ้านพักของหญิงสาวหลังดังกล่าว “หลังนี้เหรอว่ะ” หนุ่มรุ่นพี่เอ่ยถามขึ้นขณะเพ่งสายตามองไปยังบ้านไม้สองชั้นหลังสีฟ้าข้างหน้า ซึ่งห่างจากจุดที่พวกเขาจอดรถอยู่ พอจะมองเห็นในระยะสายตาไม่ไกลมากนัก “ใช่ บ้านหลังนี้แหละ ไปกันเถอะพี่” “เออๆ” กล่าวจบ หนุ่มรุ่นพี่ก็พยักหน้ารับหงึกหงักอย่างว่าง่าย ก่อนจะพากันเปิดประตูก้าวลงจากรถ เพื่อไม่ให้ถูกจับได้ทั้งสองไม่ลืมที่จะสวมแว่นตาสีดำและหมวกแก๊ปบดบังใบหน้าป้องกันไว้ จากนั้นเร่งสาวเท้าเดินมาหลบอยู่หลังพุ่มไม้ใหญ่ข้างรั้ว แอบสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของหญิงสาวอย่างเงียบๆ “มึงมาเช้าเกินไปป่าวว่ะ ป่านนี้เธออาจจะยังไม่ตื่นมั้ง” หนุ่มรุ่นพี่กระซิบถามเสียงแผ่วอย่างระมัดระวัง “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน สังเกตรอไปก่อนแล้ว…” แอ๊ดด~ ในระหว่างที่ชายหนุ่มทั้งสองกำลังกระซิบกระซาบสนทนาอยู่นั้น ยังไม่ทันให้เขาได้พูดจบประโยค จู่ๆ เสียงเสียดสีของบานประตูไม้ก็ดังขึ้น ดึงความสนใจให้พวกเขาพลันหัวใจกระตุกวูบ ประสาทสัมผัสทุกส่วนตื่นตัวขึ้นมากะทันหัน ต่างพากันแตกตื่นลนลานรีบก้มหัวมุดลงต่ำหลบซ่อนหลังพุ่งไม้โดยทันที “เชี้ย หลบเร็วๆ!” ในนาทีถัดมา ร่างคนตัวเล็กที่อุ้มลูกชายใบหน้าจิ้มลิ้มไว้ในอกปรากฏตัว เปิดประตูพาลูกออกมาเดินเล่นยังลานสนามหน้าบ้าน “ลงได้แล้วจ้ะ” “อื้อๆ” ใบหน้าเรียวเล็กพยักหน้าหงึกหงักอย่างเชื่อฟัง ก่อนเอียงเอนใบหน้าเข้ามาหอมแก้มนุ่มคนเป็นแม่ฟอดใหญ่ ก่อนฉีกยิ้มกว้างอวดฟันน้ำนมซี่เล็กส่งให้แก่เธอ ฟอดด~ “น่ารักที่สุดเลย หนูอย่าดื้อนะครับ เดี๋ยวแม่รดน้ำต้นไม้ก่อนนะ” “ฮะแม่” หญิงสาวมองหน้าลูกชายยิ้มๆ ด้วยแววตาอ่อนโยนไม่พูดอะไรต่อ ก่อนจะย่อตัววางร่างเล็กลงให้ยืนบนพื้น ทันทีที่ฝ่าเท้าคู่น้อยยืนแตะพื้นอย่างมั่งคง เด็กชายวัยกำลังซนก็ไม่รอช้าที่จะก้าวเท้าวิ่งเตาะแตะมุ่งตรงไปหารถจักรยานคันโปรด เอามาขับปั่นเล่นบริเวณลานหน้าด้วยความสนุกตามประสา เห็นดังนั้น คนเป็นแม่ที่ยังคงยืนไล่สายตามองลูกชายด้วยรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นในทีแรก จึงละสายตาหันมาทำกิจวัตรประจำของตัวเองเหมือนกับทุกๆ วันก่อนออกไปทำงาน เธอหยิบฝักบัวนำมาใส่น้ำ จากนั้นหิ้วเดินไปรดต้นไม้ที่ปลูกเอาไว้ตรงรั้วหน้าบ้านตามปกติ ทว่ากลับไม่รู้ตัวเลยว่าทุกการกระทำและอิริยาบถของเธอในตอนนี้ล้วนกำลังสายตาคมสองคู่แอบจับตามองอยู่หลังพุ่มไม้ใกล้ๆ แบบไม่คาดสายตา ในตอนนี้หัวใจชายหนุ่มที่ตั้งหน้าตั้งตาดูความเคลื่อนไหวของหญิงสาวอย่างใจจดใจจ่อเต้นระทึกราวกับว่าจะหลุดออกมานอกอก จนมีเหงื่อเย็นเริ่มซึมเต็มแผ่นหลัง เขารู้สึกหวั่นใจเป็นอย่างมากกลัวว่าข้างกายเธอจะมีผู้ชายคนอื่นที่ว่าเป็นสามีปรากฏตัวขึ้น เพราะถ้าหากถึงตอนนั้นจริงๆ เขาคงจะทำใจยอมรับไม่ได้อย่างแน่นอน ถึงหนุ่มรุ่นพี่จะพูดกรอกหูซ้ำๆ อยู่ทุกครั้งที่เจอกันว่าเขาควรปล่อยวางทุกอย่าง แต่คนที่ยังรักเธอหมดหัวใจคนนี้กลับไม่สามารถทำใจได้ลงจริงๆ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรต้องทำอย่างไรกับชีวิตนี้ต่อไปเหมือนกันหากเสียเธอไป ยิ่งคิดความรู้สึกกดดันตัวเองก็ยิ่งโหมซัดกระหน่ำเข้ามาในใจชายหนุ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนคิ้วหนาคมขมวดมุ่นเข้าหากันแน่น เขาเหมือนจะแทบรอไม่ไหว ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากจะเดินเข้าไปถามเอาความจริงจากปากเธออีกครั้งให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเสียตอนนี้ แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ความคิดเท่านั้น เพราะรู้ดีอยู่แก่ใจแล้วว่าเธอต้องปฏิเสธทุกคำถามกลับมาอย่างแน่นอน “แง้น แง้น แง้น บรื้นน” เสียงแจ๋วๆ ของเด็กชายที่กำลังทำเลียนแบบตามในจินตนาการดังขึ้น ขณะใช้เท้าคู่เล็กเข็นรถจักรยานคันคู่ใจขับเล่นวนไปรอบๆ บริเวณลานสนามหญ้าหน้าบ้านอย่างสนุกสนาน “สิงหาาา” แต่แล้วในระหว่างนั้น จู่ๆ เสียงแหลมของเด็กชายกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นเหล่าลูกชายของเพื่อนบ้านในละแวกใกล้ๆ อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ได้พากันปั่นจักรยานมาจอดหยุดอยู่หน้ารั้ว ก่อนเอ่ยชักชวนไปเล่นด้วยกันเหมือนในทุกๆ ครั้ง ดึงความสนใจให้สองแม่ลูกเจ้าของบ้านต้องหันไปมองตามเสียงเรียก “ไปปั่นจักรยานเล่นที่สนามกัน” “สนามเหรอ เราอยากไปด้วย” เด็กชายทำตาโตด้วยความดีใจที่จะได้ไปเล่นกับเพื่อนๆ แต่ก่อนจะไป สองเท้าคู่น้อยวิ่งตรงหามาคนเป็นแม่และเอ่ยขออนุญาตก่อนทุกครั้ง “แม่ฮะ ผมไปปั่นจักรยานเล่นกับเพื่อนนะ” ได้ยินดังนั้นหญิงสาวยิ้มพร้อมพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต “ไปเล่นกับเพื่อนเถอะลูกแต่อย่าไปไกลนะ ระวังรถด้วยนะครับ” “ฮะแม่” ใบหน้าน้อยๆ พยักหน้าตอบอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะปั่นจักรยานออกไปขี่เล่นพร้อมกับเพื่อนๆ ในเวลาต่อมา โดยมีสายตาของคนเป็นแม่ไล่มองตาม ก่อนเธอจะหันกลับมาสนใจสิ่งที่ตนกำลังทำอยู่ต่อ “แง้น แง้น แง้น” “สิงหาฉันจะแซงนายแล้วนะ ตามมาให้ทันเร็วเข้า” “มาแข่งกันว่าใครจะถึงสนามก่อน” “อื้อ ได้สิมาแข่งกันพวกเรา” พูดจบ เด็กชายวัยเดียวกันก็ต่างเหยียดขาเร่งออกแรงปั่นจักรยานคันคู่ใจขับไปตามถนนในซอยให้เร็วยิ่งขึ้น แต่ทว่าชายหนุ่มที่ยังคงจับตามองการเคลื่อนไหวอยู่เงียบๆ นั้น เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เมื่อเห็นว่าโอกาสดีกำลังวิ่งเข้ามาหาอาจจะรู้อะไรเพิ่มเติม เขาจึงสอดสายตามองต้นทาง ก่อนหันมากล่าวกับหนุ่มรุ่นพี่ในทันที “พี่ตามผมมาเร็ว” “อ้าว แล้วมึงจะไปไหน?” “ตามผมมาเถอะนะ อย่าพูดมาก" “ดะ เดี๋ยว…” ยังไม่ทันให้หนุ่มรุ่นพี่ได้ถามอะไรมาก ชายหนุ่มกลับรีบสาวเท้าเดินออกจากที่หลบซ่อนไปทันที โดยทิ้งอีกฝ่ายไว้ตรงนั้น “ให้ตายสิ อะไรของมันว่ะ?”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD