22.40น.
“หลังจากเจ้าหญิงโอลีเฟียได้แต่งงานกับเจ้าชายไมเคิลท่ามกลางสายตาของประชากรในประเทศ ที่ต่างมาร่วมแสดงความยินดีกับราชาองค์ใหม่กันอย่างล้นหลาม แม้กาลเวลาจะห่างเหินยาวนาน แต่สุดท้ายแล้วโลกก็ยังหมุนประจบให้ทั้งสองได้กลับมาเจอและรักกัน ดูแลกันไปจวบจนชั่วนิรันดร จบบริบูรณ์…”
“ฟี้~”
เสียงกรนของเด็กชายที่เคลิบเคลิ้มเข้าสู่ห้วงนิทราหลับสบายอยู่ข้างกายดังขึ้นเสียงแผ่วหลังจากหญิงสาวเล่ามาถึงบทส่งท้ายของนิทานกล่อมนอน เธอจึงพับเก็บหนังสือนิทานเข้าที่จากนั้นโน้มตัวเลื่อนใบหน้าเข้ามาหอมหน้าผากเล็กของลูกชายอย่างทะนุถนอมไปฟอดหนึ่ง พร้อมกับเอ่ยคำอวยพรส่งเข้านอนประโยคสั้นๆ เหมือนดั่งในทุกๆ คืน
“ฝันดีนะครับลูกแม่”
“ฟี้~”
หลังจากทำหน้าที่แม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวจึงค่อยๆ เอนตัวลงนอนบนเตียงนุ่มข้างกายลูกชายอย่างระมัดระวัง กลัวว่าลูกจะตื่นด้วยความอ่อนล้ามาทั้งวัน
“เฮ่อ~”
ภายในห้องนอนอันเงียบสงบเสียงลมหายใจแผ่วเบาถูกถอนออกมาเบาๆ อย่างเหนื่อยล้า วันนี้คงเป็นอีกวันและเป็นอีกคืนหนึ่งที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างกอหญ้าคนนี้ต้องดิ้นรนฝืนตัวเองทำทุกวิถีทางหาเงินกลับมาบ้านให้ได้เยอะๆ ทุกวัน เพียงเพราะอยากสร้างรากฐานปูทางให้ชีวิตของลูกนั้นมีแต่ความสุข ความสบาย ไม่ลำบากอย่างที่เธอเผชิญอยู่และมีทุกสิ่งที่เด็กคนอื่นๆ เขามีกัน
ยิ่งถ้าให้นับภาระเท่ากองภูเขาที่กำลังรอเธออยู่ข้างหลังไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน แล้วไหนเลยจะเผื่อเก็บเอาไว้ส่งกลับไปให้ครอบครัวที่อยู่ต่างจังหวัดอีก แต่แทนที่จะได้ตั้งหน้าตั้งตาหาเงินกลับกลายเป็นว่าวันนี้เป็นวันเริ่มงานใหม่วันแรกที่แย่ที่สุดชีวิตมากเลยจริงๆ
ผู้ชายสารเลวคนนั้นอะไรเหวี่ยงมาให้เธอต้องเจอกับเขาอีก
พอนึกถึงเรื่องวันนี้ขึ้นมาแล้วใบหน้าหญิงสาวเศร้าสลด ลงทันตา เธอเม้มริมฝีปากแน่นราวกับแรงกดทับจากความทุกข์ คิดไม่ถึงเลยว่าโลกใบนี้จะดูแคบมากขนาดนี้ ใครจะรู้บ้างว่าเป็นเวลาห้าปีเต็มที่เธออุตส่าห์พยายามทำใจลืมเขาให้ได้มันไม่ง่ายเลยนะ…
แต่ทำไม พอได้กลับมาเจอหน้ากันอีกครั้งหัวใจที่คิดว่าเย็นชามีแต่ความเกลียดชังในตัวผู้ชายคนนี้ไปแล้ว กลับเกิดหวั่นไหวขึ้นมาเสียอย่างนั้นกันนะ
สรุปแล้วว่าที่ผ่านมาทั้งหมดนี้ เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะหลอกตัวเองต่อไปได้นานแค่ไหน ถึงจะเย็นชาในสายตาเขาก็จริง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ายังมีความรู้สึกเสียใจอยู่ลึกๆ
ภาพความทรงจำในตอนที่เธอและเขายังรักกันจนตอนนี้ก็เกลียดกันไปแล้ว ทุกฉากทุกตอนเธอล้วนยังคงจดจำได้เป็นอย่างดี ไม่มีวันไหนเลยที่เธอสามารถลืมเขาได้ลงจริงๆ สักครั้งเดียวแม้ว่าจะพยายามทำเป็นเข้มแข็งและปล่อยวางมัน ตั้งใจจะใช้ชีวิตให้ดีกับลูกแค่สองคนก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วในยามที่เธอมองใบหน้าลูกชายทีไรก็มีภาพใบหน้าของชายหนุ่มผู้เป็นพ่อเช่นเขาลอยขึ้นมาซ้อนทับทุกครั้ง
แล้วแบบนี้จะให้เธอลืมมันลงได้ยังไง…แต่มันจะมีประโยชน์อะไรอีกล่ะ
ยิ่งคิดก็เหมือนจะยิ่งเป็นการตอกย้ำหัวใจตัวเองให้เจ็บระบมแผลเก่าขึ้นมาอีกครั้ง ฝ่ามือบางเอื้อมไปกอดร่างลูกชายเบาๆ พร้อมกับหยาดน้ำตาเม็ดใสที่เอ่อระเรื่อขึ้นคลอขอบตาแดงก่ำ ไหลทางปรายหางตาอย่างไม่สามารถปฏิเสธหรือสั่งห้ามได้เลยว่าครั้งนี้อย่าร้องไห้ออกมาให้ใครเห็น
ในใจเธอได้แต่หวังภาวนาขออย่าให้เขาสงสัยถึงความจริงที่เธอพยายามปิดบังเอาไว้มาหลายปี ว่าเด็กคนนี้คือสายเลือดของเขาเลยเถอะ เธอไม่อยากเจ็บปวดซ้ำซากและไม่ต้องการจะสร้างปมด้อยให้กับลูกอีก เพราะแค่นี้มันก็เกินพอจะเยียวยาแล้ว…
…..
ผับCK
(โซน วี.วี.ไอ.พี)
ทางด้านชายหนุ่มหลังจากกลับมาถึงบาร์ เขาเอาแต่นั่งมือกุมหน้าผากครุ่นคิดถึงเรื่องหญิงสาวและลูกชายของเธอไม่หยุด ราวกับว่ายังไม่ปักใจเชื่อจนสนิทใจ ว่าเธอนั้นจะลืมเขาไปแต่งงานมีครอบครัวกับคนอื่นไปแล้วอย่างที่เธอบอกเขาจริงๆ
แต่อีกใจมันก็ทั้งกลัวและกังวลในเวลาเดียวกันว่าเด็กคนนั้นใช่ลูกของเขาหรือเปล่า แต่ถ้าหากเธอท้องลูกของเขาขึ้นมาจริงๆ แล้วทำไมตอนนั้นเธอถึงไม่รีบบอกเขาล่ะ
ยิ่งคิดมากกับเรื่องพวกนี้ คิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหาจนแทบจะติดกัน อยากรู้ใจแทบขาด ว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นมายังไงกันแน่
“ทำหน้าเครียดอะไรขนาดนั้นวะ ใจเย็นหน่อย ค่อยๆ คิด”
เสียงทุ้มของหนุ่มรุ่นพี่ได้เอ่ยดังขึ้นขณะเดินเข้ามานั่งด้วยกัน เมื่อสังเกตเห็นว่าสีหน้าของรุ่นน้องกำลังอมทุกข์หนักกว่าในทุกๆ ครั้งเสียจนชวนให้บรรยากาศรอบตัวรู้สึกอึดอัดตามไปด้วย
“เห่อ” เขาถอนหายใจเสียงดังอย่างระงับตัวเองไม่ได้ เมื่อฟังหนุ่มรุ่นพี่พูดจบ ก่อนดวงตาคมจะชำเลืองมองใบหน้าหนุ่มรุ่นพี่ พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “พี่จะให้ผมไม่เครียดได้ยังไงกันล่ะ”
“แบบนี้คงง้อไม่สำเร็จละสิท่า กูเห็นมึงนั่งหน้าบูดเหมือนปวดขี้แบบนี้ตั้งแต่กลับมาแล้ว” รุ่นพี่เลิกคิ้วเข้มถามกลับอย่างรู้ใจ
แน่นอนว่าชายหนุ่มทำได้เพียงแต่พยักใบหน้าเล็กน้อยอย่างยอมรับความจริง
“อืม”
“โถ่ ไอ้น้องเอ๊ย อุตส่าห์ได้เจอผู้หญิงที่ตามหามานานแล้วแท้ๆ ดันง้อไม่สำเร็จอีก”
“เธอไม่ยอมรับฟังผมเลยพี่ ผมควรจะทำยังไงดี ผมเครียดมากจริงๆ นะ”
“เออกูเข้าใจความรู้สึกมึงดี แต่ที่จริงเธอน่าจะฟังบ้างสิเห็นมึงก็พูดอธิบายให้เธอฟังไปซะตั้งเยอะนี่”
“เธอคงเกลียดผมมากจริงๆ เอาแต่จะไล่ให้ผมกลับไปคนอื่นอย่างเดียวเลย” เขาพูดเสียงอ่อน ดวงตาคมฉายแววความเจ็บปวดอย่างรวดร้าว เมื่อนึกถึงสายตาและท่าทีของเธอที่มีแต่เพียงความเกลียดชังให้แก่เขา
แต่หนุ่มรุ่นพี่ที่ได้ยินดังนั้น ถึงกับขมวดคิ้วและอดเอ่ยปากถามด้วยความสงสัยไม่ได้
“เดี๋ยวนะ กูถามมึงหน่อย แล้วมึงไม่ได้บอกเธอไปเหรอว่ามึงหย่ากับ…ยัยลิตานานแล้วนะ”
“ไม่ได้บอก” เขาตอบเสียงแผ่ว
“เอ้า ปัดโถ่เอ๊ย แล้วทำไมมึงไม่บอกเธอให้เข้าใจ เผื่อเธอจะยอมฟังมึงบ้าง”
หนุ่มรุ่นพี่กล่าวต่อว่าอีกฝ่ายอย่างรู้สึกหัวเสียขึ้นมาแทน แต่สีหน้าเขายังคงตกอยู่ในความเศร้าสลดทั้งสับสน ไม่รู้ว่าควรจะหาวิธีไหนทำให้เธอรับฟังเขา
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนั้นผมคิดอะไรไม่ออกเลยจริงๆ คิดแค่ว่าไม่อยากให้เธอจากไปก็พอ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงฟังดูสิ้นหวัง จนหนุ่มรุ่นพี่เห็นแล้วอดถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“เห้อ แต่ก็นะมึงถึงจะพยายามขอโทษเป็นพันๆ ครั้ง แบบนั้นก็ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากจะให้อภัยมึงหรอก ถ้ากูเป็นกอหญ้านะ ที่ตบมึงไปสองครั้งมันยังไม่สาแก่ใจเลยกับสิ่งที่มึงทำให้เธอเจ็บ”
“…”
“เอาน่าเรื่องแบบนี้นะมันต้องใช้เวลาพิสูจน์”
“พิสูจน์?”
“ก็พิสูจน์ความจริงใจไง”
“ต้องทำไง?”
ทันทีที่ได้ยินคำถามใสซื่อสมองเบาของรุ่นน้อง หนุ่มรุ่นพี่อย่างภาคินถึงกับส่ายหน้าไปมาอย่างเหนื่อยอ่อน ไม่คิดว่าขนาดเขาพูดให้มาขนาดนี้แล้วอีกฝ่ายยังไม่คิดตามไม่ทันอีก
“โถ่เอ๊ยเรื่องแค่นี้ยังคิดไม่ได้อีก กูล่ะไม่แปลกใจเลยว่าที่เต่ากระดองอย่างมึงจะง้อผู้หญิงไม่สำเร็จ มึงตั้งใจฟังนะกูกูจะบอกให้มึงรู้ไว้ว่า ผู้หญิงแทบทุกคนส่วนใหญ่จะเป็นเพศที่รักแรงแล้วก็เกลียดแรง ทำให้เธอเจ็บมามากก็ไม่แปลกที่เธอยังไม่ยอมใจอ่อนให้อภัยตอนนี้ เพราะฉะนั้นมึงก็ต้องพิสูจน์ตัวเองให้เธอเห็นว่ามึงเปลี่ยนเป็นคนใหม่แล้วจริงๆ แล้วเธอที่เห็นความพยายามของมึงจะค่อยๆ ใจอ่อน เข้าใจมั้ย ทีนี้มึงเข้าใจแล้วใช่ไหม ถ้าไม่เข้าใจอีกกูก็ไม่รู้จะช่วยมึงยังไงแล้วนะ”
“ใช่ จริงด้วย ต้องพิสูจน์ตัวเอง…” เขาพึมพำเสียงแผ่ว คิดไตร่ตรองตามคำแนะนำยาวเหยียดของหนุ่มรุ่นพี่ที่กล่าวมาอย่างจริงจัง
มันก็จริงอยู่ที่เขาดูจะเร่งรัดขอให้เธอยกโทษเร็วเกินไปตอนนี้จริงๆ สำหรับห้าปีที่ผ่านมาแค่คำขอโทษคำเดียวมันยังน้อยจนแทบไม่มีค่าอะไรเลยเสียด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นแล้วต้องหาทางพิสูจน์ตัวเองให้เธอเห็นว่าเขานั้นรักเธอและยอมทำได้ทุกอย่างเพื่อเธอแค่คนเดียวจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่ลมปาก
คิดได้ดังนั้นหัวใจที่จมปลักอยู่กับความเสียใจอยู่นานก็เริ่มกลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง ราวกับมีแสงสว่างของความหวังชี้นำทางให้เขาได้มีแรงเดินหน้าง้องอนเธอให้สำเร็จ “ผมเข้าใจแล้ว ขอบใจมากพี่”
“เข้าใจแล้วก็ดี มันต้องอยากนี้สิวะ”
“ครับ แต่ว่าทำไมพี่ถึงไม่บอกผมว่ากอหญ้ามาทำงานที่นี่ล่ะ”
“เออ นี่ถ้ามึงไม่พูดกูก็ลืมแล้วนะเนี่ย กูก็กะว่าจะมาพูดเรื่องนี้กับมึงอยู่พอดีเลยเหมือนกัน ผู้หญิงของมึงนี่ทั้งแสบทั้งรอบคอบเอาเรื่องมากเลยจริงๆ นะ ถึงว่าล่ะทำไมมึงส่งคนตามหาแต่ก็ไร้วี่แวว คว้าน้ำเหลวกลับมาทุกที”
“ทำไมพี่?” คิ้วคมขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เอ่ยถามกลับอย่างสงสัย
“ก็เพราะว่ากูให้เจ๊ดวงตรวจสอบดูแล้ว เลยได้ข้อสรุปมาว่ากอหญ้าของมึงเปลี่ยนชื่อกับนามสกุลตั้งนานแล้วก่อนเข้ามาสมัครเข้าทำงาน ไม่แปลกใจที่ไม่มีใครหาตัวเธอเจอ หรืออาจเป็นเพราะคงไม่อยากให้มึงหาเจอด้วยล่ะมั้งถึงได้ทำแบบนี้”
ได้ยินดังนั้นสีหน้าฉายแววตกตะลึงทั้งรู้สึกเศร้าใจอยู่ไม่น้อยเมื่อรับรู้ว่าเธอคงไม่อยากเจอเขาถึงขนาดนั้น จนท้ายที่สุดชายหนุ่มพลั้งปากระบายเล่าเรื่องทั้งหมดที่มันน่าปวดใจให้หนุ่มรุ่นพี่ฟังด้วยสีหน้าเจ็บปวด ถึงแม้ว่าจะไม่อยากพูดออกมาให้เจ็บใจเลยก็ตาม
“ก่อนหน้านี้ เธอก็บอกกับผมว่าเธอแต่งงานมีครอบครัวแล้ว…”
“ว่าไงนะ เชี้ย เรื่องจริงเหรอวะ?” ดวงตาคมเบิกกว้างด้วยความตกตะลึงขึ้นมาเล็กน้อยในทันที เอ่ยปากถามย้ำอีกครั้งอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“อืม”
เมื่อหนุ่มรุ่นพี่ได้เห็นความสิ้นหวังที่ปรากฏบนใบหน้าหล่อของรุ่นน้องแบบนั้นแล้ว เขาถอนลมหายใจออกมาเบาๆ อีกครั้งอย่างหนักใจแทนในความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงนี้
“เห้ออ อุตส่าห์ได้เจอกันแล้วแท้ๆ แต่ดันกลายเป็นแบบนี้ไปเสียได้ กูเข้าใจความรู้สึกมึงตอนนี้ดีนะไอ้องศา แต่อย่าหาว่ากูซ้ำเติมมึงเลยนะ ในเมื่อเธอแต่งงานมีครอบครัวใหม่ไปแล้ว มึงก็ควรตัดใจและปล่อยวางเรื่องของกอหญ้าได้สักที ปล่อยให้เธอมีความสุขเถอะ”
ความสัมพันธ์นี้คนที่ช่วยอะไรไม่ได้มากอย่างภาคินก็ทำได้แค่กล่าวปลอบใจเหมือนในทุกๆ ครั้งและพูดให้เหตุผลอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้รุ่นน้องที่ยังจมปลักอยู่กับอดีตนั้นมูฟออนเลิกให้ความหวัง กลับมาอยู่ในโลกความเป็นจริงได้เสียที
ทว่าคำตอบของอีกฝ่ายที่ได้กลับมานั้นกลับทำให้เขา ขมวดคิ้วอีกครั้งอย่างไม่เข้าใจ
“ทำแบบนั้นไม่ได้”
“ทำไมไม่ได้? นี่อย่าบอกนะว่ามึงจะเข้าไปแทรกกลางระหว่างครอบครัวเขานะ”
“ผมยังไม่เชื่อหรอกว่าเธอจะแต่งงานแล้วลืมผมไปได้จริงๆ” ชายหนุ่มพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง ยังคงยอมรับฟังความคิดเห็นของรุ่นพี่ไม่ได้ในตอนนี้ทั้งดึงดันจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิด
“กูว่ามึงควรฟังที่กูพูดบ้างก็ได้นะ เชื่อกูเถอะว่าปล่อยให้เธอมีความสุขและยินดีกับเธอไม่ดีกว่าเหรอ”
หนุ่มรุ่นพี่ยังคงพยายามพูดปลอบใจทั้งโน้มน้าวให้หนุ่มรุ่นน้องให้เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด หยุดหลอกตัวเองและยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้แล้ว
“แต่ว่าเด็กคนนั้น…ลูกชายของเธอหน้าตาเหมือนผมมาก ไม่ว่ายังไงตอนนี้ผมยังเชื่ออะไรไม่ได้ทั้งนั้นจนกว่าจะรู้ความจริงว่าสามีของเธอเป็นใครกันแน่ และเด็กผู้ชายคนนั้นใช่ลูกเธอกับสามีจริงๆ หรือเปล่า เรื่องนี้ผมต้องตามสืบให้แน่ชัดก่อนผมถึงจะวางใจ”
ทว่าหนุ่มรุ่นพี่อย่างภาคิน ได้เห็นความดื้อรั้นของรุ่นน้องแล้วดังนั้น ก็ทำได้เพียงแค่นั่งกุมขมับปวดหัว แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ยังไม่วายจะยอมยื่นมือเข้ามาช่วยกันตามสืบเรื่องของหญิงสาวด้วยอีกแรง
“เห้อ เอาล่ะๆ พูดกับคนหัวรั้นอย่างมึงยังไงก็กล่อมยากเปลืองน้ำลายเปล่าๆ ถ้ามึงจะดื้อด้านขนาดนี้ กูจะช่วยมึงไปจับตามองกอหญ้าให้อีกคนด้วยก็แล้วกัน เอาให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย มึงจะได้เลิกจมอยู่ที่เดิมสักที”
“อืม ก็ได้” ชายหนุ่มพยักหน้าตอบตกลงนิ่ง อย่างไม่คิดจะบ่ายเบี่ยง