พ่อเลี้ยงแสนยกสำรับอาหารออกไปวางไว้ตรงประตูหน้าห้องนอน จากนั้นเขาจึงเดินไปยังตู้เสื้อผ้า รมตีมองตามหลังคนตัวโตด้วยแววตาหวาดหวั่น เพราะยามกลางค่ำกลางคืนเช่นนี้เธอไม่ควรอยู่กับผู้ชายแปลกหน้าสองต่อสองในห้องนอน
เขาถอดเสื้อยืดสีดำออก ทำให้หญิงสาวมองเห็นเรือนร่างกำยำท่อนบน เห็นกล้ามเนื้อเป็นมัดงามชัดเจน จากนั้นแสนจึงถอดกางเกงของเขาลง รมตีเบิกตากว้างด้วยความตกใจ และรีบยกมือขึ้นมาปิดตาพร้อมกับหมุนตัวหันหลังให้คนไม่รู้จักอาย
"คนบ้า! ฉันอยู่ในห้องนี้ทั้งคนนะ คุณจะแก้ผ้าต่อได้ฉันแบบนี้ได้ยังไงกัน" รมตีโวยวายเสียงดัง ขณะที่พ่อเลี้ยงแสนกำลังคว้าเอาผ้าหนูมาพันกายท่อนล่างไว้แล้วจึงเดินมาหาหญิงสาว
"ตามฉันมานี่"
"ไม่! คุณไปใส่เสื้อผ้าเดี๋ยวนี้นะ" เธอบอกเสียงดุ พ่อเลี้ยงแสนได้แต่ถอนหายใจหนักๆ จากนั้นจึงรั้งเอาข้อมือเล็กมากุมไว้แน่น
"เข้าไปในห้องน้ำกับฉัน" เขารั้งข้อมือเล็กอย่างแรง รมตีจำใจลืมตาขึ้น ถึงเห็นว่าเขาไม่ได้เปลือยกายท่อนล่างเช่นที่คิด แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ไม่ยอมมองกล้ามเนื้อท่อนแขนของพ่อเลี้ยงหนุ่มจึงเมินหน้าหนี
"ไม่เอา ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย"
"ต้องทำสิ คิดว่าฉันไม่รู้หรือยังไงว่าเธอกำลังคิดแผนที่จะหนีออกไปจากที่นี่"
"ถ้าฉันมีทางหนีออกไปได้ฉันหนีแน่ ใครจะยอมถูกขังอยู่ในนี้ล่ะ?"
"เธอนี่มัน..."
"มันทำไมคะ?"
"เข้าไปในห้องน้ำกับฉัน"
"ไม่เอา! ให้ฉันกระโดดลงจากระเบียงยังจะดีซะกว่า" เธอรั้น และยังพยายามดึงมือแข็งแรงของแสนออกจากข้อมือของตน
"ปากดี เข้าไปในห้องน้ำกับฉันเดี๋ยวนี้" เขาออกคำสั่ง แต่รมตีจะไม่มีวันยอมทำเช่นนั้นเด็ดขาด เธอใช้เวลาครุ่นคิดในใจอยู่ครู่หนึ่ง
"นี่พ่อเลี้ยง คุณพูดเองไม่ใช่เหรอว่าฉันหนีออกไปจากที่นี่ไม่ได้ ฉันไม่หนีไปไหนหรอกน่า คุณเข้าไปอาบน้ำให้สบายใจเถอะนะ"
"แล้วฉันจะเชื่อเธอได้ยังไง?" แสนเลิกคิ้วถาม
"ถึงฉันจะหนีออกไปจากห้องนอนของคุณได้ฉันก็หนีออกจากบ้านคุณไม่ได้ไม่ใช่เหรอ?" เธอถาม ชายหนุ่มจึงลองคิดไตร่ตรองในใจ และตอนนี้เขาก็ให้คนงานในไร่สองคนมาเฝ้าหน้าบ้านไว้แล้ว
"ก็จริง งั้นเธอก็นั่งรอเฉยๆ ตรงนี้ อย่าแม้แต่จะคิดหนีออกไป เพราะถึงยังไงเธอก็หนีฉันไม่พ้น" พ่อเลี้ยงแสนพูดแล้วจึงยอมปล่อยข้อมือเล็ก จากนั้นจึงเดินตรงเข้าไปในห้องน้ำ
รมตีรู้สึกโล่งใจ ร่างเล็กทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา และกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องนอนอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เธอค้นข้าวของเกือบทั่วห้องแต่กลับไม่เจอของสำคัญอะไรเลย
"แล้วเขาเก็บของไว้ที่ไหนกัน" หญิงสาวพึมพำ แล้วจึงมองไปยังประตูห้องนอนที่มีโซฟาขวางอยู่ พลันคิดว่าหากเดินไปขยับโซฟาออกพ่อเลี้ยงแสนจะต้องได้ยินเป็นแน่
"ทำยังไงดี จะออกจากห้องนี้ไปได้ยังไง อย่าบอกนะว่าคืนนี้จะต้องนอนในนี้จริงๆ" หญิงสาวทำหน้ามุ่ย ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าตนยังไม่ได้เปิดดูลิ้นชักตรงหัวเตียงนอนของชายหนุ่ม
"หรือว่าจะอยู่ในนั้น" รมตีมองไปยังประตูห้องน้ำ ยังคงได้ยินเสียงฝักบัวเปิดอยู่ ร่างเล็กจึงรีบเดินตรงไปยังโต๊ะลิ้นชักข้างหัวเตียง เธอดึงลิ้นชักออกมา จึงเห็นว่ามีหนังสือหลายเล่มวางซ้อนกันอยู่
รมตีถือวิสาสะหยิบหนังสือขึ้นมาดู แต่กลับเห็นว่ามีกรอบรูปขนาดเล็กวางอยู่ข้างล่างสุด หญิงสาวหยิบเอาหนังสือออกมาทั้งหมด และหยิบเอากรอบรูปนั้นขึ้นมาดู
ปรากฏเห็นเป็นรูปของพ่อเลี้ยงแสนถ่ายคู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง หญิงสาวในรูปมีใบหน้าสวยไม่น้อย แต่พ่อเลี้ยงแสนกลับมีสีหน้าเรียบเฉยปราศจากรอยยิ้มเฉกเช่นในชีวิตจริง
"คงจะเป็นคนยิ้มยากสินะ ขนาดถ่ายรูปกับแฟนยังไม่ยอมยิ้มเลย" รมตีพึมพำแล้วจึงวางกรอบรูปลงไว้ จากนั้นจึงเก็บหนังสือลงในลิ้นชักเช่นเดิม
เมื่อเห็นว่าไม่มีของที่ตนกำลังค้นหาจึงเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาอีกครั้ง สายตาชำเลืองมองไปยังประตูห้องน้ำเป็นระยะ ได้แต่เฝ้ารอเวลาที่พ่อเลี้ยงแสนอาบน้ำเสร็จแล้วเดินออกมา รมตีจะขอเจรจากลับไปนอนที่ห้องของตนเช่นเดิม
กรุงเทพมหานคร
วันนี้คุณรามนัดรับประทานมื้อค่ำกับเจ้าสัวภาคิน ทั้งสองพบปะกันเป็นบางครั้งเมื่อมีเรื่องธุรกิจต้องคุยกัน และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ทั้งสองคนต้องการพูดคุยเรื่องที่ดินที่ต้องการซื้อขาย
"ตกลงว่าที่ดินติดไร่ส้มที่คุณรามซื้อมาจะไม่ยอมขายให้ผมจริงๆ เหรอครับ ผมสนใจที่ดินตรงนี้จริงๆ นะ มันเหมาะที่จะทำเป็นรีสอร์ตมากๆ นักท่องเที่ยวจะได้ไปเที่ยวชมไร่ส้มด้วย"
เจ้าสัวภาคินลองขอซื้อที่ดินต่อจากคุณรามอีกครั้ง หลังจากที่เคยคุยกันแล้วแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ
"ที่ดินแปลงนี้ผมยกให้ลูกสาวเป็นของขวัญวันเรียนจบไปแล้วล่ะครับ แต่ถ้าเจ้าสัวต้องการที่ดินแถวนี้จริงๆ ผมจะลองส่งคนไปขอซื้อที่ดินที่ติดกับไร่ส้มอีกฝั่งให้" คุณรามรู้จักคนในแวดวงอสังหาเป็นอย่างดี เขาจึงพอจะหาคนไปช่วยเจรจาซื้อที่ดินให้ได้
"ถ้าจะให้พูดถึงที่ดินที่อยากได้จริงๆ ก็อยากได้ที่ดินของไร่แสนสักครึ่งหนึ่ง คุณรามพอที่จะช่วยผมได้หรือเปล่านะครับ?"
เจ้าสัวภาคินวางแผนจะซื้อที่ดินไร่แสนมาพักใหญ่แล้ว คุณรามครุ่นคิดพลันนึกไปถึงเรื่องราวเมื่อหกเจ็ดเดือนที่แล้วที่เขาเคยส่งคนไปเจรจาขอซื้อที่ดินไร่แสน
"ไร่นั้นท่าทางจะยากครับ ผมเคยส่งคนไปเสนอราคาแล้ว แต่เขาก็ปฏิเสธมาคำเดียวเลยว่าให้เท่าไหร่ก็ไม่ขาย ทั้งๆ ที่ผมให้ราคาสูงมากๆ เลยนะครับ"
"งั้นเหรอครับ ผมไม่รู้มาก่อนว่าคุณรามเคยไปเจรจาขอซื้อที่ดินที่ไร่แสนด้วย" เจ้าสัวภาคินมีสีหน้าแปลกใจ
"ครับ แต่ไม่สำเร็จหรอกครับ"
"เขาก็คงไม่อยากขายจริงๆ นั่นแหละ แต่ที่ดินที่ว่าอยู่ติดกับอีกฝั่งหนึ่งของไร่ส้มก็คงจะทำเลดีเหมือนกัน ถ้าคุณเจรจาซื้อให้ผมได้จริงๆ ผมจะขอบคุณเป็นอย่างมากเลยนะ ผมยังคงอยากได้ที่ดินอีกหลายผืนอยู่"
"ต้องลองเสนอราคาไปก่อนครับ จะว่าไปแล้วเจ้าสัวไม่คิดจะเหลือป่าไม้ภูเขาไว้สักลูกเลยเหรอครับ?" คุณรามพูดด้วยรอยยิ้มราวกับเป็นการพูดขำขันเสียมากกว่า
"ฮ่าๆๆ โลกของเรามันก็เปลี่ยนไปตามยุคตามสมัยนั่นแหละ สถานที่สวยๆ ใครเขาก็อยากไปท่องเที่ยว อีกอย่างที่นั่นก็บรรยากาศดีด้วย ถ้าทำโรงแรมรีสอร์ตสวยๆ นักท่องเที่ยวก็ไปพักกันเยอะ ลองคิดดูสิครับว่าเราจะทำรายได้มากแค่ไหน" คุณรามยิ้มมุมปากเล็กน้อย แม้บางสิ่งบางอย่างเขาจะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่ได้พูดออกไป
"ผมเข้าใจครับ" ระหว่างทั้งสองคนกำลังคุยกันเสียงโทรศัพท์ของคุณรามก็ดังขึ้น เขามองหน้าจอโทรศัพท์จึงเห็นชื่อของรังสิมันต์ปรากฏอยู่
"ลูกชายผมโทรมา ขอตัวไปรับสายก่อนนะครับ" คุณรามพูดเท่านั้นแล้วจึงลุกขึ้นเดินไปรับโทรศัพท์
ขณะที่เจ้าสัวภาคินยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มจนหมดแก้ว พลันคิดวางแผนธุรกิจโรงแรมที่กำลังสร้างอยู่หลายแห่งในภาคเหนือตอนนี้...