บทที่ 2 ชะตามิอาจเปลี่ยน 1/2

996 Words
เวลาผ่านไปจากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นสองเดือน สุดท้ายจวิ้นอ๋องก็ไม่อาจจะเล่นสงครามอารมณ์กับเว่ยเหยาได้อีกต่อไป เมื่อมีรับสั่งจากเสด็จปู่ให้พาหลานสะใภ้เข้าเฝ้า “ฝูเฉิน เจ้าได้แจ้งหรือไม่ว่าข้าให้กลับจวน” หงจื่อร้อนรน เพราะเพียงวันพรุ่งก็ถึงกำหนดงานในราชวงศ์ แต่นางยังไม่กลับมาเตรียมตัวเลยสักนิด ทั้งยังเมินเฉยต่อคำสั่งของเขา “แจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่า...” “แต่อะไรยังไม่รีบพูด!!” จวิ้นอ๋องโกรธแล้วจริง ๆ ตอนแรกก็ไม่เคยคิดอะไรกับนาง เพราะนางก็คงขัดเรื่องแต่งงานของพ่อแม่ไม่ได้เช่นเดียวกับเขา แต่กระทั่งคำสั่งของเขานางก็ไม่ใส่ใจได้อย่างนั้นหรือ “เอ่อ...คือว่าพระอาจารย์ที่วัดหย่งเล่อสั่งห้ามพระชายาออกจากวัดภายในสามวัน มิเช่นนั้นจะมีเคราะห์หนัก” “มีเคราะห์!” เหอะ! มีเคราะห์เป็นเขาเสียมากกว่าเสด็จปู่มีรับสั่งนางขัดได้หรือ ภายในใจจวิ้นอ๋องรู้สึกวุ่นวายมาก เขาสั่งให้คนเอารถม้าออกแล้วตรงไปยังอารามหย่งเล่อทันที หากไม่ได้ตัวนางมาในวันพรุ่งนี้ เห็นทีว่าเขานี่แหละจะโดนเสด็จปู่ลงโทษฐานขัดรับสั่ง ซ่งเว่ยเหยาสวดมนต์นั่งสมาธิถือศีล ตามคำสั่งของพระอาจารย์ที่เตือนตั้งแต่ก้าวแรกที่มาเหยียบเลยก็ว่าได้ ‘อาตมาขอให้พระชายาถือศีลอยู่ในวัดห้ามออกไปไหนสักระยะเถิด’ นั่นเป็นคำขอร้องของพระอาจารย์ผู้เฒ่าแห่งวัดหย่งเล่อที่เอ่ยทักนางคำแรก และนำมาซึ่งการถือศีลโดยไร้กำหนด เมื่อท่านอ๋องเองก็มิไยดีอยู่แล้ว นางเองก็ไม่เห็นทางที่จะกลับไปที่จวนจวิ้นอ๋องเพื่ออะไร บางทีหากนางถือศีลจนจิตใจสงบ อาจจะละวางความทุกข์ในใจลงได้บ้าง ไม่มากก็น้อย แต่เมื่อวานฝูเฉินคนของจวิ้นอ๋องเดินทางมายังวัดหย่งเล่อและขอให้นางกลับจวนโดยด่วน เนื่องจากมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า แต่เมื่อหันมองสีหน้าพระอาจารย์ผู้เฒ่ากลับได้รับเพียงการส่ายหน้ากลับมา นางจึงขัดใจจวิ้นอ๋องเป็นครั้งแรกตั้งแต่แต่งงานมา ‘ข้ามีเคราะห์ถึงชีวิต หากไม่ถือศีลครบอีกสามวัน เรียนท่านอ๋องเถิด’ต่อให้ไม่อยากขัดคำสั่งสามีแล้วอย่างไร ตลอดหลายวันที่อยู่วัดนางซาบซึ้งใจดีแล้วว่า น้ำหนักในใจของสามีไม่เคยมีนางอยู่เลย สามวันแรกนางเฝ้าคิดถึงใบหน้าเขา แต่เมื่อสวดมนต์ถือศีลฟังธรรมไปเรื่อย ๆ นางก็เข้าใจแล้วว่าความสุขที่แท้จริง คือ ความเฉยเมยต่อทุกสิ่ง เฉยเมยต่อสิ่งที่รักและไม่รัก เขามิได้มีใจให้นาง นางก็เพียงแต่เฉยชาต่อเขาก็เท่านั้น สองเดือนที่นางออกจากจวนมา ตระหนักดีแล้วว่า นอกจากเป่ยเป่ย ในโลกนี้นางไม่มีผู้ใดอยู่เคียงข้างอีกเลย พ่อแม่หรือ มีก็เหมือนไม่มี คงมีสตรีเพียงสองผู้ที่รักนางอย่างแท้จริง “นายหญิงเจ้าคะ...ปฏิเสธจวิ้นอ๋องดีแล้วหรือเจ้าคะ” เป่ยเป่ยถามนายหญิงขณะที่อยู่โรงครัวในวัดเพื่อทำอาหารเจถวายพระและสำหรับพวกนาง นางอยู่ที่นี่ทานวันละสองมื้อ ตามพระท่าน อาหารเป็นผักกับถั่วตามแต่จะมีในโรงครัวหรือคนมาทำบุญ เรียกได้ว่านางรู้ว่าการกินง่ายอยู่ง่ายก็ไม่เลวเลยตลอดสองเดือนที่ผ่านมา แต่เมื่อมีคนอีกผู้ที่เหมือนเป็นความทุกข์ใจเดียวของนางที่ตกตะกอนเหลืออยู่นั้น ทำให้นางสับสนขึ้นอีก แต่เมื่อพระอาจารย์ตักเตือนเช่นนั้นก็ควรจะรักตัวเองให้มากหน่อย ในเมื่อมิได้บังคับ และเขาก็ไม่ได้มาเชิญด้วยตัวเอง เหตุใดนางต้องสนใจเขาด้วยเล่า “หากท่านจวิ้นอ๋องกริ้ว....” “บางที่หากเขาโกรธข้าบ้างก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยเขาก็รู้สึกกับข้าบ้าง นี่เขาไม่รู้สึกอะไรกับข้าเลย หากเขาเกลียดข้าก็ดีเหมือนกัน บางทีข้าอาจจะตัดใจจากเขาได้เร็วหน่อย” ใช่นางคิดแล้วว่าควรจะอยู่ในที่ที่ควรอยู่ เพียงแต่ยามนี้ยังไม่ถึงเวลานั้นเท่านั้นเอง “นายหญิง” เสียงแหบเครือของเป่ยเป่ยบอกให้รู้ว่าสงสารนายของตนเพียงใด แม่เสียชีวิต พ่อไม่รัก แม่เลี้ยงรังแก ออกเรือนสามียังมิไยดี มีอันใดทุกข์กว่านี้อีกหรือไม่ เว่ยเหยา เว่ยเหยา เว่ยเหยา....! เสียงตะโกนลั่นตั้งแต่ทางขึ้นวัด ยามบุรุษองอาจก้าวเท้าแตะพื้นก็ดังรบกวนความสงบภายในวัดทันที คนที่กำลังอยู่ในการภาวนาชุดสีขาวใบหน้าล้วนไม่ได้เติมแต่งลืมตาขึ้น นางนั่งสมาธิอยู่ต่อหน้าพุทธองค์ เมื่อคลายสมาธิแล้วจึงขยับลืมตา พระอาจารย์ผู้เฒ่าเองก็ลืมตาพร้อมส่ายหน้าไปมา แล้วเดินมายังที่ไหว้พระสวดมนต์ และพูดเพียงไม่กี่คำกับพระชายาจวิ้นอ๋อง “พระอาจารย์ผู้เฒ่า” เสียงของเว่ยเหยากล่าวออกมาพร้อมกับก้มหัวด้วยความเคารพ “ชะตาถูกกำหนดแล้ว หมั่นสงบใจให้มาก แล้วทุกอย่างจะผ่านไป” พระอาจารย์กล่าวเพียงเท่านั้นแล้วก็จากไป นางรับรู้ได้ทันทีว่าไม่อาจฝืนลิขิตสวรรค์ หากครั้งนี้ออกจากอารามหย่งเล่อ แล้วรอดชีวิตไปได้ นางจะทิ้งทุกสิ่งในเมืองหลวงแล้วหนีไปอยู่ชายแดนบูรพาเหมือนตอนเด็ก หลังจากพนมมือขอพรจากพุทธองค์แล้ว ลมหายใจของนางก็สูดเข้าลึกเต็มปอด พร้อมเผชิญทุกปัญหาจากนี้แล้ว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD