บทที่ 4 ความวุ่นวายที่เริ่มเข้ามาในชีวิต
ที่หน้าตึกคณะศิลปกรรมศาสตร์ รถของเมศจอดนิ่งสนิทใต้ร่มไม้ใหญ่ รมิดาค่อย ๆ เปิดประตูแล้วอุ้มน้องอชิที่ยังง่วงงุนลงจากเบาะหลัง เธอปรับตัวน้องให้ยืนบนพื้นพร้อมจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก่อนจะเหลือบมองเมศที่ยังคงนั่งอยู่หลังพวงมาลัย
“ขอบคุณที่มาส่งนะคะ” รมิดาพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพตามมารยาท แต่ในแววตายังแฝงความระแวง
เมศพยักหน้ารับ “ไม่เป็นไรครับ แต่ผมจะไปรออยู่ใกล้ ๆ ถ้ามีอะไรให้ช่วย บอกได้ทันที”
รมิดาชะงักเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าการที่เขาจะ “รออยู่ใกล้ ๆ” หมายถึงอะไร และไม่อยากถามให้มากความ เธอเพียงแค่ส่งยิ้มจาง ๆ แล้วจูงน้องอชิเดินออกไป
เธอพาน้องอชิเดินมายังโต๊ะม้านั่งไม้ใกล้ตึกคณะ ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ที่ช่วยบังแดดในยามสาย แต่ด้วยความที่แดดเริ่มแรงขึ้นเรื่อย ๆ รมิดาจึงหยิบหมวกใบเล็กสีฟ้าลายการ์ตูนออกมาจากกระเป๋าแล้วค่อย ๆ สวมให้หลานชาย
“ใส่หมวกก่อนนะครับ อชิ เดี๋ยวแดดจะร้อนเกินไป” เธอพูดพลางจัดสายหมวกให้พอดีกับศีรษะของเด็กชาย
น้องอชิพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง แต่จู่ ๆ ก็เอียงศีรษะมองป้าดาด้วยความสงสัย “ป้าดาไม่มีเรียนเช้าเหรอฮะ?”
คำถามนั้นทำให้รมิดาหยุดมือชั่วครู่ก่อนจะยิ้มแห้งออกมา “มีครับ…แต่ป้าดาขอให้อชิได้กินข้าวเช้าก่อน ป้าถึงจะไปเรียน”
น้องอชิยังไม่เข้าใจนัก แต่เขาเพียงพยักหน้าเล็กน้อยและนั่งนิ่ง “งั้นป้าดาไปเรียนก่อนก็ได้นะฮะ อชิรออยู่ที่นี่ได้”
รมิดาหัวเราะเบา ๆ พลางลูบหัวหลานชาย “ไม่ได้หรอกครับ หนูยังเล็ก ป้าดาทิ้งหนูไว้คนเดียวไม่ได้”
เสียงของเธออ่อนโยนแต่แฝงความหนักใจลึก ๆ ในใจของเธอ มันไม่ใช่แค่เรื่องของการดูแลหลาน แต่เป็นการปรับชีวิตทั้งชีวิตให้เข้ากับบทบาทใหม่ที่เธอไม่เคยคาดคิด
ในความจริง รมิดามีตารางเรียนเช้าทุกวัน แต่การที่เธอต้องเลี้ยงน้องอชิทำให้ชีวิตเธอไม่ง่ายเหมือนเพื่อนร่วมชั้นคนอื่น การให้หลานชายทานข้าวเช้าจนเสร็จเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกสำหรับเธอ นั่นหมายความว่าเธอเข้าเรียนสายเป็นเรื่องปกติ
บางครั้งเธอต้องรีบวิ่งไปห้องเรียนพร้อมกับคำตำหนิจากอาจารย์ บางครั้งการส่งรายงานก็ล่าช้า เพราะช่วงเวลาที่คนอื่นใช้เตรียมงาน เธอต้องวิ่งวุ่นกับการเลี้ยงเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง
“อชิอยากไปกินข้าวกับป้าดามั้ยครับ?” รมิดาถามด้วยน้ำเสียงนุ่ม ก่อนจะยื่นมือให้เด็กชายจับ น้องอชิพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“ครับ ป้าดา แต่เราไปกินไก่ทอดกันนะฮะ!”
คำพูดของหลานชายทำให้รมิดาหัวเราะออกมา “ได้สิครับ แต่ต้องกินผักด้วยนะ”
น้องอชิยู่หน้าทันที “อชิไม่ชอบผัก…”
รมิดายิ้มพลางก้มลงคุยกับเขา “แต่ถ้าอชิไม่กินผัก อชิจะโตไม่ทันเพื่อนนะครับ แล้วถ้าไม่โต อชิจะใส่เสื้อช็อปแบบลุงเมศได้ยังไง?”
คำพูดนั้นทำให้น้องอชิคิดหนัก “จริงเหรอฮะ? ถ้าอชิไม่กินผัก อชิจะไม่ได้ใส่เสื้อแบบลุงเมศ?”
รมิดาพยักหน้าอย่างตั้งใจ “ใช่ครับ ต้องกินผักเยอะ ๆ จะได้แข็งแรงเหมือนลุงเมศไง”
เด็กชายทำหน้าเหมือนต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิต ก่อนจะยอมพยักหน้าช้า ๆ “ก็ได้ฮะ…อชิกินผักก็ได้”
รมิดาหัวเราะเบา ๆ ขณะจูงหลานชายเดินไปยังโรงอาหาร ความเหนื่อยล้าจากการต้องปรับชีวิตให้สมดุลยังคงหนักอึ้งในใจ แต่ทุกครั้งที่เธอเห็นรอยยิ้มของน้องอชิ มันเหมือนเป็นกำลังใจให้เธอสู้ต่อไป
เธอรู้ดีว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะบาลานซ์ชีวิตนักศึกษาและหน้าที่การเป็นแม่บุญธรรมในเวลาเดียวกัน แต่เธอไม่เคยคิดจะละทิ้งสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพราะสำหรับเธอ น้องอชิไม่ใช่แค่ภาระ แต่คือหัวใจที่เติมเต็มชีวิตของเธอ
ณ โรงอาหารที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและกลิ่นอาหารหลากชนิด รมิดานั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของโรงอาหารพร้อมกับน้องอชิที่กำลังนั่งกินไก่ทอดอย่างเอร็ดอร่อย เธอตักข้าวป้อนหลานชายด้วยความรัก ใบหน้าของเด็กน้อยเต็มไปด้วยความสุขขณะที่เขาเคี้ยวข้าวในปาก
“อร่อยมั้ยครับ?” รมิดาถามยิ้ม ๆ
“อร่อยมากฮะ ป้าดา” น้องอชิตอบกลับพร้อมยกนิ้วโป้ง
รมิดาหัวเราะเบา ๆ เธอรู้สึกผ่อนคลายชั่วขณะ แต่เพียงไม่นานบรรยากาศนั้นก็เปลี่ยนไป เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหาโต๊ะของเธอ
หญิงสาวในชุดนักศึกษาสุดเนี้ยบ ใบหน้าจัดเต็มด้วยเครื่องสำอาง มองรมิดาด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าไม่เป็นมิตร “นี่…เธอใช่ไหมที่มากับพี่เมศ?”
คำถามนั้นทำให้รมิดาเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างงง ๆ “คะ?”
หญิงคนนั้นยืนกอดอก มองรมิดาตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะถามซ้ำ “ฉันถามว่า เธอเป็นอะไรกับพี่เมศ?”
รมิดาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนตอบเสียงนิ่ง “ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ”
เธอพยายามพูดให้จบเรื่อง แต่คำตอบของเธอกลับทำให้หญิงคนนั้นไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
เสียงตบโต๊ะดังขึ้นจนคนรอบข้างเริ่มหันมามอง “ไม่ได้เป็นอะไร แล้วพี่เมศจะให้นั่งรถมาด้วยทำไม?! พี่เมศหวงรถจะตาย ใครจะไปนั่งรถเขาง่าย ๆ ได้?”
รมิดาพยายามคงความสงบ เธอเหลือบมองน้องอชิที่ยังคงกินข้าวต่ออย่างไม่รู้เรื่อง แต่ภายในใจของเธอเริ่มเดือดขึ้นมาทีละน้อย
“ถ้าอยากรู้ ทำไมคุณไม่ไปถามเขาเองล่ะคะ?” รมิดาตอบเสียงเรียบ ก่อนจะหันไปป้อนข้าวน้องอชิต่อ
แต่ดูเหมือนว่าหญิงสาวตรงหน้าไม่คิดจะปล่อยเรื่องนี้ง่าย ๆ เพียงไม่นานก็มีเพื่อนของเธออีกสามคนเดินเข้ามาสมทบ พวกเธอยืนล้อมโต๊ะของรมิดาไว้ ราวกับต้องการข่มขู่
“หรือว่า…เธอเป็นเด็กของพี่เมศอีกคน?” หนึ่งในนั้นพูดพลางยิ้มเยาะ
“ใช่สิ ดูก็รู้ ลูกติดยังมีเลย แบบนี้ไม่ใช่หรือไงที่พี่เมศชอบช่วยสงเคราะห์?” อีกคนพูดเสริมด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน
คำพูดนั้นเหมือนกระแทกเข้ากลางใจของรมิดา เธอกำมือแน่นแต่ยังคงระงับอารมณ์ไว้ หันไปมองน้องอชิที่ยังคงกินข้าวอย่างไม่รู้เรื่อง เธอไม่อยากให้เด็กคนนี้ต้องเห็นหรือจดจำสิ่งไม่ดีในวันนี้
รมิดาหายใจลึกก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถ้าคุณอยากรู้ว่าเขาคิดอะไร หรือทำอะไร ก็ไปถามเขาเองค่ะฉันแค่ติดรถเขามา”
คำตอบที่ดูไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ของรมิดาทำให้กลุ่มผู้หญิงเหล่านั้นนิ่งไปครู่หนึ่ง พวกเธอคงคาดหวังว่าจะได้รับคำตอบที่ยิ่งกระตุ้นให้ทะเลาะกันมากขึ้น
“เหอะ! ปากดีแบบนี้ไม่แปลกเลยที่ต้องพึ่งพาคนอื่น!” หญิงสาวคนเดิมพูดประชด
รมิดายังคงนิ่ง เธอเก็บจานข้าวที่เหลือของน้องอชิแล้วลุกขึ้นช้า ๆ “ขอตัวนะคะ น้องต้องไปพักแล้ว”
เธอจูงมือน้องอชิเดินออกจากโต๊ะไปโดยไม่หันกลับมามอง รมิดาเลือกที่จะไม่ปะทะ แม้ภายในใจเธอจะเต็มไปด้วยความโกรธ แต่เธอรู้ว่าความสงบคือทางออกที่ดีที่สุดในสถานการณ์นี้
ระหว่างเดินออกจากโรงอาหาร น้องอชิถามขึ้นมาอย่างไร้เดียงสา “ป้าดา คนพวกนั้นเสียงดังจังเลยฮะ”
รมิดาหยุดเดินก่อนจะย่อตัวลงมาคุยกับเขา “อชิไม่ต้องสนใจนะครับ บางคนแค่พูดเยอะเกินไป”
“พวกเขาไม่ชอบป้าดาหรือฮะ?” เด็กน้อยถามต่อด้วยความสงสัย
รมิดายิ้มบาง ๆ พลางลูบหัวหลานชาย “บางคนอาจไม่เข้าใจป้าดา แต่นั่นไม่สำคัญหรอกครับ เพราะอชิกับป้าดารู้ว่าเรารักกัน นั่นก็พอแล้ว”
น้องอชิพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะยิ้มสดใสให้เธอ รอยยิ้มนั้นทำให้รมิดารู้สึกว่าทุกคำพูดเสียดสีที่ผ่านมานั้นไร้ความหมาย เมื่อเทียบกับความสุขและความผูกพันที่เธอมีกับหลานชาย
รมิดาจูงมือน้องอชิเดินต่อไป ทิ้งเสียงหัวเราะเยาะของผู้หญิงเหล่านั้นไว้เบื้องหลัง โดยไม่สนใจอีกต่อไป