“พี่ปิ่นเป็นอะไรคะ” แป้งที่กำลังกวาดพื้นเห็นเข้าพอดี
“พี่สะดุดล้มเมื่อคืน มันตึง ๆ เจ็บ ๆ เลยว่าจะทายาจ้ะ” เธอพูดโกหกเรื่องเมื่อคืน
“โห แผลถลอกขนาดนี้ น่าจะเจ็บน่าดูนะคะพี่ปิ่น” เธอชะโงกหน้าไปดูแผล ถึงกับตาถลนร้องบอก
“อื้อ นิดหน่อยน่ะแป้ง” เธอดึงแขนเสื้อขึ้น และหันมองข้อศอก
“มา ๆ หนูช่วย” แป้งเห็นความยากลำบาก จึงอาสาช่วยทำแผลให้
“ขอบใจแป้งมากนะ” ปิ่นฉัตรเม้มปาก ขณะที่โดนแป้งล้างแผลให้ มันแสบและเจ็บพอ ๆ กัน คนเจ็บไม่ได้บอกเรื่องเมื่อคืนให้แป้งฟัง
เธอกลัวว่าแป้งไม่เชื่อและกล่าวหาหลานชายเจ้าของบ้าน เธอได้แต่เก็บเงียบในใจ
“เสร็จแล้วค่ะพี่ปิ่น” แป้งเงยหน้ามองหญิงสาว
“ขอบใจอีกครั้งนะแป้ง” หญิงสาวเก็บขวดต่าง ๆ ใส่กล่องแล้วจึงนำไปเก็บที่เดิม
คุณย่านวลปรางนั่งประจำที่ โดยมีหลานชายสองคนนั่งคนละฝั่งของโต๊ะอาหาร ปิ่นฉัตรเป็นคนตักข้าวใส่จานให้กับทุกคนบนโต๊ะ ขณะตักข้าวนั้น
“หนูปิ่น ข้อศอกไปโดนอะไรมา” คุณย่านวลปรางเห็นแผลนั้นพอดี
“เอ่อ ปิ่นหกล้มเมื่อคืนค่ะ” แววตาเลิ่กลั่กไม่กล้ามองคนต้นเหตุ
“ทำอีท่าไหน ถึงได้ล้มจนเลือดตกยางออก กลางคืนก็เดินให้ระวังหน่อย แล้วทำแผลกินยาหรือยังล่ะ” ท่านถามด้วยความเป็นห่วง
“ค่ะ ปิ่นทำแผลเรียบร้อยค่ะ” เธอรีบถอยห่างไปยืนข้างหลังหลานชายคนโตของบ้าน
“อื้อ” คุณย่านวลปรางมองตามหลังเด็กสาว แต่ไม่พูดอะไร ก่อนลงมือทานมื้อเช้า และจะได้ไปธุระ ก่อนที่มันจะสาย
ปิ่นฉัตรไขกุญแจประตูห้องนอน สายตาคู่โศกกวาดไปทั่วห้อง ขณะที่ยังยืนอยู่ด้านนอก ห้องนอนโทนสีเข้ม ทั้งผนังและข้าวของเครื่องใช้ออกโทนสีเดียวกันหมด
ปิ่นฉัตรยืนงงมองห้องที่มันกว้างมาก ๆ ทุกอย่างดูอึมครึม จนคนที่มาทำความสะอาด มองแทบไม่เห็นอะไรเลย
เธอมองหาสวิตช์ไฟแต่ไม่เจอ พลันทำในสิ่งที่คิด ผ้าม่านหรูถูกแหวกออกเพื่อให้แสงส่องเข้ามาด้านในแทน จากนั้นจึงลงมือทำความสะอาด
เธอเริ่มจากปัดกวาดเช็ดตามชั้นต่าง ๆ หัวเตียงนอน ตู้ข้างหัวเตียง ระหว่างที่ไล่เช็ดฝุ่น กล่องสี่เหลี่ยมซึ่งสิ่งของด้านในเป็นแหวนเพชรราคาแพง ที่เจ้าของห้องเตรียมไว้ให้แฟนสาว วางบนตู้ข้างเตียง เธอเผลอทำมันตก ลงซอกข้างเตียงกับตู้วางของข้างเตียง มันค้างอยู่อย่างนั้น โดยที่ปิ่นฉัตรไม่เห็น
จากนั้นหันไปไล่ฝุ่นบนที่นอนและพับผ้าห่มกองที่ปลายที่นอน ผ้าห่มผืนใหญ่และน้ำหนักเยอะ ทำให้ปิ่นฉัตรเซนิดหน่อย เธอพ่นลมหายใจอย่างโล่งอกเมื่อจัดการมันได้
ปิ่นฉัตรฮัมเพลงเบา ๆ ขณะล้างห้องน้ำ จากนั้นลงมือถูห้องนอน ความร้อนทำให้เหงื่อไหลเปียกตัวปิ่นฉัตร แค่ทำความสะอาดห้องนอนเพียงห้องเดียวใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงกว่า
โดยก่อนขึ้นมาแป้งย้ำนักย้ำหนา ห้ามแตะต้องหรือเคลื่อนย้ายข้าวของในห้องเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นมีหวังบ้านแตก เมื่อสำรวจความเรียบร้อยทุกอย่าง จึงปลดผ้าม่านลงไว้ดั่งเดิม ก่อนถืออุปกรณ์ทำความสะอาดเดินออกประตู
หญิงสาวจัดการซักทำความสะอาดอุปกรณ์และนำไปตากแดด จากนั้นจึงเดินกลับเข้าห้องพัก
รอให้ถึงเวลาช่วงห้าโมงเย็น
ค่อยมาทำอาหารมื้อค่ำอีกครั้ง ระหว่างอยู่ที่ห้องพัก ปิ่นฉัตรหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านคร่าว ๆ รอมหาวิทยาลัยเปิด ความเหนื่อยเมื่อยล้าและความเพลีย ทำให้หญิงสาวเผลอหลับไม่รู้ตัว หนังสือตกอยู่ข้างหมอน
เตชินท์พาแพรวพรรณไปเที่ยวทะเล พวกเขาอยากอยู่ต่อ แต่หญิงสาวมีงานถ่ายแบบ พวกเขาจึงพากันกลับ ชายหนุ่มแวะส่งแฟนสาวที่ทำงาน ก่อนแวะหาเพื่อนที่ไนต์คลับเพื่อดื่มเหล้า เขาไปถึงเกือบหนึ่งทุ่มครึ่ง
“ไงเต มาแต่หัววันเลยนะมึง” แบงค์เจ้าของร้านถามเพื่อน ทันทีที่เปิดประตูเข้ามา
“เบื่อ ๆ” เตชินท์ทำหน้าเซ็ง ๆ
“เบื่ออะไรของแกวะ ชีวิตโคตรดีไม่ใช่หรือไง” ขณะส่งแก้วเหล้าให้
“ดีอะไรวะ มึงก็รู้ว่าย่ากูอยากให้เลิกกับแพรว ไม่รู้ทำไมย่ากูถึงไม่ชอบแพรวนักวะ ทั้ง ๆ ที่แพรวก็ไม่ได้ทำอะไรให้” ชายหนุ่มระบายให้เพื่อนสนิทฟัง
“ก็ไม่เห็นจะยาก มึงก็แต่งงานมีลูกสิวะ ย่ามึงจะได้ดีใจมีเหลนไง” ชายหนุ่มแค่แซวเพื่อน แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ดี ย่านวลปรางจะได้หันมาชอบหลานสะใภ้สักที
“ไม่มีทางที่ย่ากูจะเห็นดีเห็นงามด้วยหรอกมึง ขนาดคบเป็นแฟนยังไม่ชอบ อย่าคิดหวังได้แต่งงานเถอะมึง” น้ำเมาถูกส่งลงลำคอหนาไหลสู่ท้อง ความร้อนของน้ำเมาไม่มีผลต่อคนที่ชอบ
“ก็ไม่ต้องแต่ง” แบงค์เองก็ไม่เข้าใจย่าของเพื่อนเหมือนกัน หรือ ท่านจะให้หลานครองตัวเป็นโสด
“ไอ้เชี้ย” เตชินท์ชักสีหน้าใส่เพื่อน พร้อมสบถคำหยาบ
ทั้งสองเป็นเพื่อนที่สนิทกันที่สุด สามารถปรึกษากันได้ทุกเรื่อง เมื่อแต่ละคนมีปัญหาก็มักจะช่วยหาทางออกช่วยกัน จนกระทั่งล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่ เตชินท์จึงขอตัวกลับ
รถหรูราคาแพง ทะยานมุ่งหน้าสู่บ้านหลังใหญ่ตามความเร็วคงที่ ที่ชายหนุ่มมักใช้เป็นประจำ ก่อนลัดเลาะไปตามทางและเลี้ยวเข้าซอยที่บ้านหลังใหญ่ตั้งตระหง่านในอาณาจักรกว้างใหญ่
วันนี้ชายหนุ่มเลี้ยวรถเข้ามาจอดที่ลานจอดบ้านสีเข้ม เป็นที่รู้กันของเหล่าคนใช้ เวลาที่หลานชายคนโตกลับดึก เขาจะจอดรถที่บ้านสีเข้มทุกครั้ง
ระหว่างที่ก้าวขึ้นบันได เขาเห็นแสงไฟลอดออกจากห้องพักของหญิงสาวที่เขาไม่ชอบขี้หน้า เขาเอื้อมมือเปิดประตู แต่ประตูไม่ได้ล็อก ปกติเขาจะล็อกห้องทุกครั้ง เขาเริ่มสงสัยหรือว่าเขาลืม
แสงไฟสว่างขึ้น เขากวาดมองข้าวของในห้อง ทุกอย่างอยู่ครบยกเว้น กล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินข้างในมีแหวนเพชรหายไป เขาจำได้ว่าเอาวางไว้บนนี้ สีหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนจนน่ากลัว สองเท้าก้าวไปยังห้องที่น่าสงสัยที่สุด
เพราะมีเพียงห้องเธอเท่านั้นที่ยังเปิดไฟอยู่ เสียงเคาะประตูรัว ๆ จนคนในห้องสะดุ้ง เกิดความกลัว
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงดุดันน่ากลัว ทำให้ปิ่นฉัตรรีบเปิดประตู เมื่อรู้ว่าเป็นเสียงใคร สองตาเบิกกว้างทันทีที่เห็นใบหน้า
ชายหนุ่มยืนจ้องเขม็ง แววตาและสีหน้าเกรี้ยวกราด หญิงสาวกำลังจะพาตัวเองออกมาด้านนอก เธอคิดว่าหากเกิดอะไรขึ้น ยังวิ่งหนีเอาตัวรอด แต่มันไม่เป็นอย่างที่เธอคิด
“โอ๊ย” ปิ่นฉัตรถูกกระชากและผลักเข้ามาในห้องเหมือนเดิม เตชินท์ก้าวย่างช้า ๆ พร้อมมือดึงประตูปิดตามหลัง พร้อมบิดล็อกทันที ใบหน้าที่เต็มไปด้วยโทสะ ตาแดงก่ำ น่ากลัว
จนปิ่นฉัตรถอยหลังชนกับผนังห้อง หมดหนทางให้เธอได้หลบหนี ปากคอสั่นระริกด้วยความกลัว พลันน้ำตาเริ่มเอ่อ
“คุณเต” น้ำเสียงอันสั่นเครือเรียกชื่อชายหนุ่ม
“เธอมีสิทธิ์อะไรมาเรียกชื่อฉัน ฮะ คนขี้ขโมย” เขาห้ามให้ปิ่นฉัตร เรียกชื่อเขา แถมกล่าวหาว่าเธอเป็นขโมย