บทที่ 2 วันที่โลกพังทลาย

1332 Words
ตอนเย็น ภายในโรงพยาบาลเอกพล ข้าวฟ่าง นั่งกุมมือ ลมเหนือ แน่นอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้ตลอดทางที่มา ลมเหนือไม่พูดอะไร มีเพียงมืออบอุ่นที่คอยจับมือเธอไว้ตลอด เวลาผ่านไปราว ๆ หนึ่งชั่วโมง ประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออก พร้อมกับ คุณหมอในชุดกาวน์สีขาว ที่เดินออกมา สีหน้าของเขาจริงจังและเต็มไปด้วยความเห็นใจ ข้าวฟ่างลุกขึ้นแทบจะทันที หัวใจเธอเต้นรัว ภาวนา… ขอให้มีปาฏิหาริย์ “คุณหมอคะ… พ่อแม่ของหนูเป็นยังไงบ้าง?” เสียงของเธอสั่นเครือ ดวงตาสั่นระริก เธอไม่อยากได้ยินคำตอบที่กลัวที่สุดเลยแม้แต่นิดเดียว แต่แล้วหมอก็ถอนหายใจยาว มองเธอด้วยแววตาเวทนา ก่อนจะพูดออกมาอย่างชัดเจน “เสียใจด้วยนะครับ… พ่อกับแม่ของคุณเสียชีวิตแล้ว” เสียงรอบตัวเงียบสนิท มีเพียงเสียงลมหายใจขาดห้วงของข้าวฟ่าง เธอเหมือนถูกดูดออกจากโลกแห่งความจริง ทุกอย่างรอบตัวหมุนคว้าง คำว่า เสียชีวิตแล้ว ดังก้องในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ไม่นะ…” เธอพึมพำเบา ๆ ถอยหลังไปหนึ่งก้าว “พ่อกับแม่ของฉัน… พวกเขายังต้องอยู่กับฉัน” เธอส่ายหน้าแรง ๆ อย่างไม่อยากเชื่อ ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง นี่มันแค่ฝันร้ายใช่ไหม? “ข้าวฟ่าง…” ลมเหนือเรียกชื่อเธอเบา ๆ พยายามจะเข้ามาประคอง แต่ข้าวฟ่างกลับก้าวถอยหลังอีกครั้ง ก่อนจะทรุดลงกับพื้น “ฮึก… ไม่จริง” น้ำตาของเธอไหลออกมาเหมือนเขื่อนแตก มือสั่นเทาจนไม่สามารถกำอะไรได้ ลมเหนือรีบลงไปนั่งข้าง ๆ กอดเธอไว้แน่น “ข้าวฟ่าง…” ข้าวฟ่างซบหน้ากับไหล่เพื่อนรัก ร้องไห้อย่างหมดแรง เธอสูญเสียทุกอย่างไปแล้วจริง ๆ โลกทั้งใบของเธอพังทลายลงต่อหน้าต่อตา… หลังจากต้องเซ็นเอกสารรับรองการเสียชีวิตทุกฉบับ จัดการเรื่องออกจากโรงพยาบาล และแจ้งมรณะต่อเจ้าหน้าที่ ข้าวฟ่างรู้สึกเหมือนทั้งร่างกายถูกดูดพลังไปจนหมด เธอยืนอยู่หน้าห้องธุรการของโรงพยาบาล ดวงตาบวมช้ำจากการร้องไห้ต่อเนื่อง ลมเหนือคอยอยู่ข้าง ๆ ไม่ห่าง คอยช่วยเธอจัดการเรื่องต่าง ๆ อย่างเงียบ ๆ ระหว่างที่เธอกำลังเซ็นเอกสารฉบับสุดท้าย ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง “คุณหนูข้าวฟ่าง ลูกสาวคนเดียวของตระกูลอัครพันธ์ใช่ไหมครับ?” ข้าวฟ่างชะงัก เธอหันไปมองต้นเสียง เห็นชายวัยกลางคนในชุดสูทสีดำ ใบหน้าสุขุม ดวงตาดูเป็นทางการ เธอพยักหน้าอย่างมึนงง “ใช่ค่ะ…” ลมเหนือที่ยืนข้าง ๆ มองชายตรงหน้าด้วยสายตานิ่ง ๆ คิดว่าคงเป็นทนายที่มาแจ้งเรื่องพินัยกรรมหรือทรัพย์สินมรดกปกติ แต่แล้ว… คำพูดถัดมาของชายคนนั้นทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป “ผมเป็นตัวแทนจากบริษัทกฎหมายสมภพแอนด์พาร์ทเนอร์ครับ พ่อกับแม่ของคุณถูกฟ้องล้มละลาย” ข้าวฟ่างรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ “ล้มละลาย…?” เธอพึมพำเสียงแผ่ว “ใช่ครับ ก่อนที่ท่านทั้งสองจะเสียชีวิต ธุรกิจของท่านประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก และถูกฟ้องล้มละลายตามกฎหมาย นั่นหมายความว่า…” ทนายหยุดเว้นจังหวะ ก่อนจะกล่าวประโยคที่ทำให้ข้าวฟ่างแทบทรุดลงไปอีกครั้ง “ทรัพย์สินทั้งหมดของครอบครัวคุณ… ถูกอายัดเรียบร้อยแล้ว” ลมเหนือเบิกตากว้าง ขณะที่ข้าวฟ่างยืนตัวแข็งทื่อ เธอไม่เหลืออะไรเลยจริง ๆ บ้านที่เธอเติบโตมา… รถที่เธอใช้… เงินในบัญชี… ทุกอย่างถูกยึดไปหมดแล้ว จากที่เคยเป็นคุณหนูของตระกูลดังที่มีพร้อมทุกอย่าง ตอนนี้… เธอไม่มีแม้แต่บ้านให้อยู่ ลมเหนือเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง “เป็นไปได้ยังไงคะ!?” เธอขยับมายืนข้างหน้าข้าวฟ่าง ราวกับจะใช้ร่างกายตัวเองปกป้องเพื่อนรักจากข่าวร้าย “คุณดูเอกสารผิดหรือเปล่า? พ่อแม่ของข้าวฟ่างทำงานหามรุ่งหามค่ำ พวกเขาทุ่มเทกับธุรกิจขนาดนั้น ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้!?” ทนายหน้านิ่งถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดวงตาเขาดูเหนื่อยล้าไปชั่วขณะ ก่อนจะมองข้าวฟ่างด้วยสายตาเวทนา “ผมเข้าใจว่ามันกระทันหันสำหรับคุณ… แต่ทุกอย่างเป็นความจริง” เขาล้วงซองเอกสารออกมาถือไว้ ไม่ได้ยื่นให้ แต่กำไว้แน่นเหมือนไม่อยากให้เด็กสาวตรงหน้าเผชิญหน้ากับมันตอนนี้ ข้าวฟ่างยังยืนตัวแข็งทื่อ สมองตื้อตันจนไม่สามารถคิดอะไรได้อีก ทนายมองเธอแล้วเผลอถอนหายใจเบา ๆ ในใจเขานึกถึงลูกสาวตัวเองที่อายุไล่เลี่ยกับข้าวฟ่าง เด็กคนนี้กำพร้าพ่อแม่ในวันเดียวกัน แถมยังต้องรับรู้ว่าตัวเองหมดตัวอีก มันไม่ใช่เรื่องที่ใครจะรับไหวง่าย ๆ เขาปิดแฟ้มในมือแล้วพูดว่า “หลังจากเสร็จงานศพ ผมจะมาหาอีกทีครับ” ข้าวฟ่างเม้มปากแน่น หัวใจหล่นวูบ ทนายเว้นจังหวะ ก่อนจะพูดต่อเสียงอ่อนลงกว่าเดิม “คุณเสียใจมากพอแล้ว… ถือว่าผมเห็นใจคุณก็แล้วกัน” เขาพยักหน้าให้ลมเหนืออย่างสุภาพ แล้วเดินจากไป ทิ้งให้ข้าวฟ่างยืนอยู่กับความจริงอันโหดร้ายที่เธอไม่อาจหนีไปจากมันได้เลย ต่อจากนี้… เธอจะอยู่ยังไง? เสียงฝีเท้าของทนายหายลับไปทางเดินของโรงพยาบาล ทิ้งไว้เพียง ข้าวฟ่าง ที่ยืนเหมือนร่างไร้วิญญาณ ใบหน้าของเธอขาวซีด ดวงตาเหม่อลอย คำว่า ล้มละลาย ยังดังก้องอยู่ในหัว เธอไม่เหลืออะไรแล้วจริง ๆ ใช่ไหม…? เธอพยายามสูดลมหายใจเข้า แต่ทุกอย่างหมุนคว้าง และก่อนที่สติของเธอจะดับวูบไปหมด ร่างกายก็ทรุดลง… “ข้าวฟ่าง!!” ลมเหนือเบิกตากว้าง รีบพุ่งเข้าไปรับตัวเพื่อนรัก แต่ด้วยน้ำหนักที่โถมเข้ามากะทันหัน ทำให้เธอประคองไม่อยู่ ข้าวฟ่างล้มลงไปกับพื้น! “ข้าวฟ่าง! ได้ยินฉันไหม!?” ลมเหนือเขย่าตัวเพื่อน แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับ เธอหันซ้ายหันขวาอย่างร้อนรน ก่อนจะตะโกนเสียงดัง “ช่วยด้วยค่ะ! เพื่อนฉันเป็นลม!” พยาบาลที่อยู่ไม่ไกลรีบวิ่งเข้ามา พร้อมกับเจ้าหน้าที่อีกสองสามคนที่มาช่วยยกตัวข้าวฟ่างขึ้นเตียงฉุกเฉิน เข็นเข้าไปในห้องพักฟื้นทันที ลมเหนือรีบตามเข้าไปไม่ห่าง แต่ในขณะเดียวกัน เสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้นไม่หยุด เธอเหลือบมองชื่อบนหน้าจอ… “ใต้ฝุ่น” พี่ชายสุดหวงของเธอเอง รอบที่ 10 แล้ว ที่เขาโทรมา และเธอก็รู้ดีว่า… ถ้าเธอรับสาย เขาต้องอาละวาดแน่ ๆ “ให้ตายเถอะ…!” ลมเหนือสบถเบา ๆ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าพี่ชายเธอจะต้องบ่นเรื่องที่เธอหายออกมาจากกิจกรรมรับน้อง แต่ ตอนนี้ เรื่องของข้าวฟ่างสำคัญกว่า! เธอจิ้มปุ่ม ปฏิเสธสาย อย่างไม่ลังเล และเพื่อความชัวร์… เธอปิดเครื่องไปเลย —– อีกด้านของใต้ฝุ่น “เชี่ย! กดตัดสายกูเหรอ!?” ใต้ฝุ่นยืนอยู่หน้าโรงอาหารคณะวิศวะ สีหน้าเริ่มหงุดหงิด พยายามกดโทรหาน้องสาวอีกครั้ง แต่ปลายสายกลับขึ้นว่า… “หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้…” ใต้ฝุ่นมองหน้าจอค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกัดฟันแล้วด่าขึ้นมาลอย ๆ “ให้ตายเถอะลมเหนือ! นี่น้องกูถึงขั้นปิดเครื่องหนีเลยเหรอวะ!?” เขาไม่เคยเห็นน้องสาวเป็นแบบนี้มาก่อน ปกติแล้วลมเหนือแทบจะไม่เคยกดตัดสายเขาเลยด้วยซ้ำ แล้วดูตอนนี้… ออกไปกับยัยเด็กข้าวฟ่างแค่ไม่กี่ชั่วโมง ก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว เขากัดฟันแน่น ความไม่ชอบหน้าที่มีต่อข้าวฟ่างเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว “โทษใครไม่ได้เลยนอกจากยัยเด็กนี่! ข้าวฟ่าง!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD