วันรุ่งขึ้น
ควันไฟจากเมรุลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า เที่ยงเกือบบ่ายของวันนั้น แสงแดดร้อนจ้า แต่สำหรับ ข้าวฟ่าง มันกลับเย็นเฉียบจนรู้สึกชาไปทั้งตัว
เธอยืนมองเปลวไฟที่เผาร่างของพ่อแม่ นิ่งอยู่อย่างนั้น
ไม่มีญาติ ไม่มีแขก ไม่มีเพื่อนพ่อแม่ ไม่มีใครมาร่วมพิธีเลย
มีเพียงแค่เธอกับ ลมเหนือ เท่านั้น
ข้าวฟ่างรู้สึกเหมือนน้ำตาของเธอมันไหลออกมาจนหมดแล้ว เธอร้องไห้มาทั้งคืน จนตอนนี้แม้อยากร้องให้สุดเสียงก็ทำไม่ได้
สัปเหร่อที่ทำพิธีหันมาบอกเธอเสียงทุ้ม “พรุ่งนี้เช้ามาเก็บอัฐิได้ เสร็จพิธีแล้ว กลับบ้านไปพักเถอะหนู”
ข้าวฟ่างพยักหน้าเบา ๆ แต่เธอไม่มีบ้านให้กลับแล้ว…
ลมเหนือกุมมือเธอไว้แน่น เป็นเพียงหนึ่งเดียวที่ยังยืนเคียงข้างเธอในวันนี้
“ขอบใจนะ… ลมเหนือ” ข้าวฟ่างพูดเสียงแหบพร่า
ลมเหนือยิ้มบาง ๆ “ฉันบอกแล้วไง ว่าฉันอยู่ตรงนี้”
แต่ก่อนที่ข้าวฟ่างจะได้พูดอะไรต่อ เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
เธอหันไปมอง ก่อนจะพบกับ ทนายคนเดิม ที่เธอเจอเมื่อวานนี้
ชายวัยกลางคนเดินเข้ามาหาพร้อมเอกสารในมือ สีหน้าของเขาดูจริงจังและนิ่งเฉย
“คุณข้าวฟ่าง” เขาเอ่ยเรียบ ๆ “ผมมาทำตามหน้าที่”
คงจะมายึดทรัพย์สินที่ถูกอายัดไว้สินะ…
ข้าวฟ่างกำมือแน่น
เธอคิดไว้อยู่แล้วว่า วันนี้ต้องมาถึง
แต่พอเจอเข้าจริง ๆ มันก็ยังเจ็บ…
ข้าวฟ่างพยักหน้าอย่างเข้าใจ แม้จะเจ็บปวด แต่เธอก็รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
เธอเรียกรถแท็กซี่กลับไปที่ คฤหาสน์หรู ที่เคยอาศัยมาตลอดชีวิต ครั้งหนึ่งที่นี่เคยเป็นบ้านที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ อ้อมกอดของพ่อกับแม่ และความสุขที่เธอคิดว่าจะอยู่กับเธอตลอดไป
แต่ตอนนี้…
บ้านหลังเดิมยังอยู่ตรงนั้น แต่ทุกอย่างกลับ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เธอเดินเข้าไปในบ้านโดยมีทนายความเดินตามหลังมา เมื่อเข้าไปถึง เขาก็เริ่มอ่านรายละเอียดในเอกสารเกี่ยวกับการอายัดทรัพย์สินให้เธอฟัง
“คุณสามารถเก็บเสื้อผ้าและของใช้ที่จำเป็นออกไปได้” เขาพูดเสียงเรียบ “แต่ของที่มีมูลค่า เช่น เครื่องเพชร นาฬิกาหรู กระเป๋าแบรนด์เนม ของตกแต่งภายในบ้าน หรือแม้แต่เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมด… ต้องถูกตีราคาและขายทอดตลาด”
ข้าวฟ่างฟังแล้วได้แต่เม้มปากแน่น
ทุกอย่างที่เคยเป็นของเธอ… ตอนนี้มัน ไม่ใช่ของเธออีกแล้ว
เธอเงยหน้ามองไปรอบ ๆ ห้องนั่งเล่น โซฟานุ่ม ๆ ที่เคยนั่งเล่นกับแม่ ทีวีจอใหญ่ที่พ่อชอบเปิดดูข่าวทุกเช้า รูปครอบครัวที่แขวนอยู่บนผนัง… ทุกอย่างกำลังจะกลายเป็นของคนอื่น
แม้แต่ เตียงที่เธอเคยนอนมาตลอดชีวิต
น้ำตารื้นขึ้นมา แต่เธอก็กะพริบตาถี่ ๆ เพื่อไม่ให้มันไหล
“คุณมีเวลาจนถึงพรุ่งนี้เช้า” ทนายยังคงพูดต่อ “จากนั้นนายหน้าจะเข้ามาเคลียร์พื้นที่ และประกาศขายบ้านหลังนี้”
พรุ่งนี้… บ้านหลังนี้ก็จะไม่ใช่บ้านของเธออีกต่อไปแล้ว
ข้าวฟ่างพยักหน้าเบา ๆ “เข้าใจแล้วค่ะ”
เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเดินขึ้นไปยังห้องนอนของตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย
เธอต้องรีบเก็บของ ก่อนที่ทุกอย่างจะหายไปจากชีวิตของเธอ… ตลอดกาล
ลมเหนือเดินตามหลัง ข้าวฟ่าง อย่างเงียบ ๆ ขณะที่เพื่อนสนิทกำลังค่อย ๆ เก็บข้าวของที่จำเป็นออกจากบ้านหลังใหญ่ที่เธอเคยอาศัยมาตลอดชีวิต
เธออดไม่ได้ที่จะถามสิ่งที่ติดอยู่ในใจมาตลอดทาง
“ข้าวฟ่าง… แล้วแกจะไปอยู่ที่ไหน?”
คนตัวเล็กชะงักกึก มือที่กำลังพับเสื้อผ้าหยุดลง ก่อนจะตอบเสียงแผ่วเบา
“คงหาห้องเช่าแถวมหาลัยเอา”
ลมเหนือขมวดคิ้ว เธอไม่อยากให้ข้าวฟ่างต้องเผชิญกับเรื่องพวกนี้เพียงลำพัง
“แกมีเงินเหรอ?”
คำถามนั้นทำให้ข้าวฟ่างก้มหน้าต่ำ หัวใจเธอหนักอึ้งยิ่งกว่าเดิม
เงินที่เหลือ… เธอใช้ไปกับการจัดงานศพให้พ่อแม่หมดแล้ว ตอนนี้ในบัญชีเหลือเงินอยู่ไม่ถึงพัน
“ไม่มีอ่ะลม ฉันว่าจะลองไปหางานพิเศษทำดู”
ลมเหนือสวนทันควัน ไม่ต้องคิดเลยว่าข้าวฟ่างไม่เคยลำบากมาก่อน
“แต่แกไม่เคยทำงานนะฟ่าง! ร่างกายแกก็บอบบาง ฉันเป็นห่วง”
ข้าวฟ่างพยายามฝืนยิ้ม “ขอบใจที่แกเป็นห่วงฉันนะ แต่ฉันเองก็งอมืองอเท้าให้แกช่วยเหลือตลอดไม่ได้หรอกลม”
ลมเหนือถอนหายใจ เธอรู้ว่าเพื่อนของเธอเป็นคนแบบไหน ต่อให้เจ็บแค่ไหน ข้าวฟ่างก็ยังเลือกที่จะยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง
แต่เธอไม่อยากให้ข้าวฟ่างยืนอยู่ คนเดียว
“ฟ่าง แกจะเหนื่อยหน่อยนะ… แต่แกอย่าคิดอะไรอย่างคนสิ้นคิดนะ”
เธอก้าวเข้าไปสวมกอดเพื่อนสนิทแน่น รู้สึกได้ถึงร่างเล็ก ๆ ของข้าวฟ่างที่สั่นไหวอยู่ในอ้อมแขน
“ฉันจะอยู่ข้างแกเอง”
ข้าวฟ่างยังคงเงียบ น้ำตาของเธอไหลลงมาเงียบ ๆ ซึมผ่านเสื้อลมเหนือ แต่เธอยังพยายามไม่ออกเสียงสะอื้น
“แกอยากร้องก็ร้องออกมา ไม่ต้องทำเป็นเข้มแข็ง”
แต่สุดท้าย ลมเหนือกลับเป็นคนที่ร้องไห้เสียเอง
เธอ กลัว
เธอกลัวว่าเพื่อนของเธอจะ สิ้นคิด
เพราะเมื่อครู่… แววตาของข้าวฟ่างมันว่างเปล่าจนน่ากลัว
อีกด้านของใต้ฝุ่น
ใต้ฝุ่นกำลังนั่งกระดิกเท้าอยู่ที่โรงอาหารประจำคณะ ข้าง ๆ มีสาวสวยรุ่นน้องแนบชิดจนแทบจะนั่งตักอยู่แล้ว
เธอชื่อ มะม่วง หนึ่งในสาวคณะบริหารที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยและตรงสเปกเขาพอดี
“พี่ใต้คะ วันนี้มะม่วงน่ารักไหม~”
เสียงหวาน ๆ ของหญิงสาวกระซิบอยู่ข้างหู แต่ใต้ฝุ่นแค่ยกยิ้มมุมปาก ขยับมือไปลูบศีรษะเธอเบา ๆ
กำลังจะอ้าปากตอบ แต่จู่ ๆ ก็มีเสียงโหวกเหวกของเพื่อนสนิทดังขึ้นก่อน
“ไอ้ใต้!”
บอล วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหา หอบจนไหล่กระเพื่อม ก่อนจะฟ้องเป็นชุด
“วันนี้น้องมึงก็ไม่มาที่คณะ เป็นอะไรหรือเปล่าวะ?”
ใต้ฝุ่นขมวดคิ้วทันที “ไม่มา?”
“เออ ใช่ ไม่มา!” บอลย้ำด้วยสีหน้าจริงจัง
ใต้ฝุ่นขบกรามแน่นขึ้นทันที
น้องสาวของเขาเสียคนเพราะผู้หญิงที่ชื่อข้าวฟ่างอีกแล้ว!
“ให้ตายสิ ยัยเด็กนั่นพาน้องกูเถลไถลไปถึงไหนแล้ววะ?”
ทันใดนั้น ใต้ฝุ่นก็ลุกขึ้นพรวด เตรียมจะเดินออกไปทันที
แต่ยังไม่ทันก้าวพ้นโต๊ะ มือเล็ก ๆ ของมะม่วงก็คว้าหมับเข้าที่แขนของเขา รั้งเอาไว้ก่อน
“พี่ใต้คะ จะไปไหนคะ?”
เธอทำเสียงออดอ้อน ดวงตากลมสวยช้อนมองเขาอย่างออเซาะ
“พามะม่วงไปด้วยสิ~”
ใต้ฝุ่นผ่อนคลายสีหน้าตึงลงนิดหน่อย ก่อนจะล้วงคีย์การ์ดจากกระเป๋ากางเกง แล้วยื่นให้
“คืนนี้เจอกันนะครับ”
จากนั้น เขาก็โน้มตัวไปหอมแก้มนวลฟอดใหญ่ โดยไม่สนสายตาของเพื่อนฝูงที่มองมาแบบรู้ทัน
บอลแค่ส่ายหัวเบา ๆ
ไอ้นี่มันเสือผู้หญิงจริง ๆ
แต่ถึงจะมีสาวสวยนั่งแนบชิดแค่ไหน สุดท้ายไอ้ใต้ก็ยังทิ้งทุกอย่าง แล้วมุ่งหน้าไปหาน้องสาวตัวดีของมันอยู่ดี