จู่ๆ ทหารผู้หนึ่งขี่ม้าตรงมา พร้อมใช้กระบองฟาดเหล่าทหารที่กรูเข้ามาหากลุ่มของหมี่ซู่จินราวกับสายฟ้าฟาด ทหารแคว้นเซี่ยเหล่านั้นนอนกลิ้งระเนระนาดและบาดเจ็บปางตายจากแรงกระบองที่ทุบลงมา ชิงชางเห็นว่าผู้ใดที่กล้ามาขวางเขาทำให้เขาตกใจอย่างมาก
“แม่ทัพเฟยหรง!” ชิงชางอุทานด้วยความตกใจ หมี่ซู่จินรู้สึกดีใจที่เป็นเขาเข้ามาช่วยนาง นางคิดว่าสาส์นของนางคงถึงมือของอิ๋งเป่ย และอิ๋งเป่ยคงส่งเขามาช่วยนาง
“หมี่ฟูเหริน พระนางคือฟูเหรินของต้าหวาง พวกเจ้ากล้าทำร้ายนางได้อย่างไร ใครบงการพวกเจ้า เว่ยหวางโฮ่วสั่งให้ทำเช่นนี้หรือ พูด!” เฟยหรงเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงดุดัน ชิงชางคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความหวาดกลัว อีกทั้งทหารของเขาถูกทหารของเฟยหรงล้อมเอาไว้
“เรียนใต้เท้า หวางโฮ่วมีรับสั่งให้นำหมี่ฟูเหรินไปอยู่สุสานหลวงกับต้าหวางตามพระราชโองการฉบับสุดท้าย” ชิงชางเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวเป็นอันมาก เพราะว่าเฟยหรงเป็นคนสนิทของอิ๋งเป่ยทัพใหญ่ควบคุมทหารนับแสนนาย
“กลับไปบอกหวางโฮ่วว่า หมี่ฟูเหรินสิ้นพระชนม์กับไปกระแสน้ำแล้ว อีกทั้งยังหาพระศพไม่เจอ พร้อมด้วยหวางเย่และนางกำนัลทั้งสอง ถ้าพวกเจ้าไม่พูดตามนี้ ข้าจะเก็บครอบครัวของพวกเจ้าทีละคน จำไว้” เฟยหรงเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงข่มขู่ สายตาดุดันดูแล้วน่าหวาดกลัว อีกทั้งยังจ้องมองสายตาชินชาง ชินชางไม่อาจสบสายตาของเขาได้ จึงต้องหลบสายตาทันที
“ขอรับ ข้าจะทำตามที่ท่านสั่ง” ชินชางเอ่ยบอก
“หวังว่าข้ากลับไปเมืองเสียงหู่จะไม่เจอพวกเจ้าในเมืองหลวง” เฟยหรงเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ขะ...ขอรับ” ชิงชางและเหล่าทหารในสังกัดของชิงชางเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงลนลานเป็นอย่างมาก
“ไป!!!” เฟยหรงเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงดุดัน ชินชางและเหล่าทหารของเขาลุกขึ้นวิ่งหนีอย่างลนลานออกไปจากตรงนี้ทันที
“ตามพวกมันไป” เฟยหรงเอ่ยบอกทหารของอิ๋งเป่ยที่เขาบัญชาการในตอนนี้
“ขอรับ” ทหารสิบคนเอ่ยบอกพร้อมกัน และก้าวเดินออกไปจากตรงนี้ทันที
“หมี่ฟูเหริน หวางเย่พวกมันไม่ได้ทำให้พระองค์บาดเจ็บใช่หรือไม่พระเจ้าค่ะ กระหม่อมขออภัยที่มาล่าช้า” เฟยหรงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“พวกข้าไม่เป็นอะไร” ซู่จินเอ่ยบอกเช่นนี้
“ดีที่หยางเล่อกงจู่ส่งจดหมายมาบอกท่านแม่ทัพว่าต้าหวางประชวรหนัก และหมี่ฟูเหรินอยู่ในอันตราย ท่านแม่ทัพจึงรีบส่งข้าและทหารส่วนหนึ่งมาดูพระนาง ใครจะไปคิดว่าพอต้าหวางสวรรคต เว่ยหวางโฮ่วก็ลงมือกับหมี่ฟูเหรินทันที” เฟยหรงเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“หวางโฮ่วเกลียดชังข้า ตั้งแต่ที่ข้าก้าวเข้ามาในวังหลวง พอนางหาช่องทางได้ นางก็ทำลายข้าทันที” ซู่จินเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“หมี่ฟูเหรินขี่ม้าได้หรือไม่พระเจ้าค่ะ” เฟยหรงเอ่ยถามนาง
“ข้าขี่ม้าเป็น” ซู่จินเอ่ยบอกเช่นนี้ มองทหารที่จูงม้ามาสี่ตัว
“จิ้นเอ๋อร์ ข้าจะพาเจ้าขี่ม้า” ซู่จินเอ่ยบอกหยางจิ้นด้วยรอยยิ้ม
“จริงหรือพระเจ้าค่ะ” หยางจิ้นเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม แล้วนางโยนตัวหยางจิ้นขึ้นอานม้าก่อน นางค่อยโยนตัวเองขึ้นตาม
“จิ้นเอ๋อร์จับเชือกม้า เขาเรียกว่าบังเ**ยนม้า” ซู่จินเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม หยางจิ้นจับบังเ**ยนม้าตามที่นางบอกทันที นางจึงบังคับม้าไปพร้อมกับเฟยหรง พร้อมด้วยนางกำนัลของนางและทหารอีกห้าร้อยคนที่มากับเขา
“เจ้าว่าอะไรนะหมี่ซู่จินตายพร้อมกับลูกของนางหรือ เป็นข่าวดีของข้าจริงๆ” เว่ยจวงเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงดีใจ เมื่อกานเยว่นางกำนัลของนางเอ่ยบอกเรื่องนี้
“เพคะ เห็นว่าลือกันให้ทั่ววังว่ารถม้าของหมี่ซู่จินแตกตื่นตกใจอะไรไม่ทราบ ทำให้รถม้าตกลงไปในน้ำ ตายทั้งแม่และลูกรวมไปถึงนางกำนัลของนางด้วยเพคะ” กานเยว่เอ่ยบอก
“แล้วที่ข้าสั่งเจ้าทำแล้วหรือยัง” เว่ยจวงเอ่ยถามนาง
“หยางเล่อกงจู่ ย้ายไปอยู่ซีกงแล้ว หม่อมฉันให้นางกำนัลคอยไปรับใช้แค่สองคนเท่านั้นตามที่พระนางบอก”
“ใครที่คิดตั้งเป็นศัตรูกับข้า ข้าจะทำให้มันทุกข์ทรมานเหมือนตายทั้งเป็น” เว่ยจวงเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น
เว่ยจวง กงจู่แห่งแคว้นตัน นางได้อภิเษกกับหยางไป๋ ต้าหวางแคว้นเซี่ย นางหลงรักหยางไป๋ตั้งแต่แรกเห็น แรกๆ หยางไป๋ก็ดีกับนาง ทั้งที่เขามีผิงเฟยสามร้อยคนก็ตามที ไม่กี่เดือนต่อมานางก็ได้ตั้งครรภ์มังกร เขาก็เริ่มไปสนใจบุตรสาวขุนนางที่อยู่นอกวัง นางก็คือ หมี่ซู่จิน และรับนางเป็นฟูเหริน
หลังจากนั้นเป็นต้นมา หยางไป๋มาหาเว่ยจวงและลูกแทบนับครั้งได้ ทำให้นางอิจฉาริษยาและเกลียดชังหมี่ซู่จินเป็นอันมาก หลายครั้งที่นางสั่งให้นางกำนัลวางพิษในอาหารและเครื่องใช้ของซู่จิน แต่ทว่าซู่จินกลับรอดตัวทุกครั้ง และก่อนที่หยางไป๋จะสิ้น นางก็ให้คนวางยาซู่จินและหยางจิ้นอีกครั้ง พวกเขาก็ยังรอดมาได้อีก
ตลอดสามวันมาทหารของเมืองหลวงไม่ได้ติดตามพวกนางมาเลย ทำให้นางคลายกังวลใจไปได้มาก ระหว่างเดินทางไปยังค่ายทหาร นางได้เล่าเรื่องราวให้เฟยหรงฟังทั้งหมด เฟยหรงรู้ดีว่าเว่ยจวงหวางโฮ่วไม่ลงรอยกับหมี่ซู่จินฟูเหรินมาเนิ่นนาน เพราะซู่จินเป็นที่โปรดปรานของอดีตต้าหวางตั้งแต่นางเข้าวัง ทำให้เว่ยหวางโฮ่วริษยานางเป็นอันมาก
แต่หมี่ซู่จินยังไม่ได้เล่าเรื่องพระราชโองการฉบับสุดท้ายที่ต้าหวางได้มอบไว้ให้
เฟยหรงเองดูแลนางเป็นอย่างดีเช่นเดียวกับดูแลหยวนจิ้น อาจเป็นเพราะนางเป็นฟูเหรินของอดีตต้าหวาง ทำให้เขาเกรงใจนางให้นางแวะนอนระหว่างเดินทางถึงสามครั้ง เพื่อไม่ให้นางเหนื่อยมากจนเกินไป จนมาถึงค่ายทหารของแคว้นเซี่ยที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำก่อนเข้าเมืองซัวเถา ซึ่งห่างจากแคว้นฉีประมาณร้อยลี้
เหล่าทหารแคว้นเซี่ยตั้งแถวถวายบังคมนางด้วยนางเป็นฟูเหรินของอดีตต้าหวางแคว้นเซี่ย นางลงจากม้าด้วยตัวเอง ส่วนหยางจิ้นนางเป็นคงประคองลงเช่นทุกครั้ง พวกเขาทราบดีว่าหมี่ซู่จินรักลูกชายคนนี้มากแค่ไหน
ซู่จินมองชายหนุ่มใบหน้างดงามด้วยรอยยิ้ม เขาเองถวายบังคมนางเช่นกัน นางรู้สึกดีใจที่ได้พบเจอเขาอีกครั้ง ตลอดเพลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา เขาและนางมาไม่ได้เจอกันเลย เพราะนางต้องเข้าวังหลวงไปเป็นผิงเฟย และได้รับแต่งตั้งเป็นฟูเหริน
“หมี่ฟูเหริน จิ้นหวางเย่ เชิญเข้าไปพักผ่อนด้านในกระโจมที่กระหม่อมได้จัดเตรียมไว้ให้” อิ๋งเป่ยเอ่ยบอกนางเช่นนี้
“ท่านอิ๋ง ท่านเฟย ข้าต้องการพูดคุยกับพวกท่านทั้งสอง” ซู่จินเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เชิญทางนี้พระเจ้าค่ะ” อิ๋งเป่ยเอ่ยบอกนาง นางหันไปหาหยางจิ้นและนางกำนัลของนางทั้งสองคน
“จิ้นเอ๋อร์เจ้าเข้าไปพักผ่อนกับมายาและหลินหลังก่อน เดี๋ยวข้าตามไป” ซู่จินเอ่ยบอกหยางจิ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“พระเจ้าค่ะ” หยางจิ้นเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม และถวายบังคมนางด้วยท่าทีนอบน้อม เช่นเดียวกับมายาและหลินหลัง หยางจิ้นก้าวเดินไปพร้อมมายาและหลินหลัง โดยมีนายกองผู้หนึ่งพาพวกเขาไปยังกระโจมที่อยู่ไม่ไกล