“ไงยิ้มแก้มปริเลยนะ” ในขณะที่ฉันเข้ามานั่งในรถที่ไอ้ฟรังแสนภูมิใจนำเสนอ ไม่อยากจะคุยว่าในบรรดาผู้หญิงยกเว้นแม่มัน มีแค่ฉันกับต้นหญ้าเท่านั้นที่จะได้นั่งรถคันนี้ เพราะมันหวงรถคันนี้มาก ไม่สนิทจริงอย่าหวัง นอกจากมันจะขี้หวงมันยังรักษาของมันอย่างดี
“เพ้อเจ้อ ใครยิ้ม” ฉันรีบขมวดคิ้วกลบเกลื่อนทั้งที่ก็รู้ว่าตัวเองหุบยิ้มไม่ได้มาสักพักล่ะ
“อ๋อหรออ หมาละมั้ง” ฉันแยกเขี้ยวใส่มันแล้วแกล้งเอื้อมไปปรับแอร์ให้อุณหภูมิลดลงเฉียบพลัน จนคนที่เนื้อตัวเปียกซกอยู่ร้องจ้ากแล้วรีบขอโทษ “เออ ๆ ไม่แกล้งแล้ว หนาวจะตายห่าแล้วไม่เห็นเหรอ”
ฉันเบ้หน้าแสร้งสนใจสักพัก แต่พอรับรู้ว่าตัวเองก็เริ่มหนาวเหมือนกันเลยไปปรับให้มันเท่าเดิม ดูท่าเดินฝ่าฝนเมื่อตอนเย็นจะเริ่มทำพิษแฮะ
“มึงชอบพี่หมอคนนั้นเหรอ” ฟรังเปลี่ยนเกียร์ออกรถไปสักพักก็เริ่มชวนคุย ซึ่งบทสนทนาก็ช่างสมกับเป็นคนขี้เสือกแบบมันจริงๆ
“มึงจะบ้าปะเนี่ย กูเพิ่งจะเลิกกับซันไปไม่ถึงอาทิตย์เองนะ มึงเห็นกูใจง่ายขนาดไหนกันเนี่ยฮะ” ฉันหันไปค้อนให้ มันก็หัวเราะ รู้หรอกว่าด่าไปคนบ้าแบบมันก็ไม่สำนึก
“พึ่งเลิกแต่ทำใจมานานแล้วไม่ใช่เหรอ” ฉันเบ้หน้ากับสีหน้ารู้ทันของมัน
ก็จริงอยู่ที่คบกับซันไม่ถึงปีด้วยซ้ำ จะว่าไปซันเป็นแฟนคนแรกในชีวิตเลยก็ยังพูดได้เต็มปาก ตอนคบกันฉันก็มีความสุขดี เพราะซันดูแลฉันดีทุกอย่าง แม้จะเป็นแฟนแต่ซันก็ไม่รู้ความสัมพันธ์ที่แท้จริงของฉันกับเฮียหรอกนะ ฉันไม่ได้บอก
ปกติฉันจะให้ไปส่งที่หอพักต้นหญ้าแล้วบอกว่าแชร์ห้องกันอยู่ ไม่รู้ว่าซันจะนึกสงสัยอะไรหรือเปล่าแต่ก็ไม่เคยถามหรือยุ่งวุ่นวายอะไรกับเรื่องส่วนตัวของฉัน
ซันเป็นนิสิตแพทย์ปี 2 หน้าตาจัดว่าดีมาก ฮอตมากเช่นกัน เขามีคนรู้จักไปทั่วและเป็นถึงเดือนมหาวิทยาลัย ถึงจะเรียนหนักแต่ก็ไม่เคยสร้างความลำบากใจ หรือทำให้รู้สึกว่าเขาไม่มีเวลาให้ฉันเลยสักครั้ง มันดีจนฉันไม่รู้เลยว่าเราจะเลิกกันยังไง แต่สุดท้ายมันก็พังเพราะเขาไม่ได้มีฉันแค่คนเดียว
“พูดให้เจ็บอีกละ” ฉันถอนหายใจยาวเมื่อนึกถึงอดีต
ตอนนี้ความรู้สึกที่มีต่อซันมันเป็นแบบไหนแน่ก็ยังไม่รู้ พอเวลาเริ่มผ่านมาได้คิด ได้ทำความเข้าใจ ใจหนึ่งก็ยังรู้สึกดี ๆ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมามันดีมาก ๆ อีกใจหนึ่งก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มันมากเกินไป
ขอเถอะอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เรื่องผู้หญิง มันคงทำให้ฉันกลับไปโดยไม่ลังเล
“ทำหน้าจะร้องไห้คือไรวะ หยุดเลยกูปลอบใครไม่เป็นนะ” มันทำหน้าเลิ่กลั่กใส่ฉัน
“จะร้องไห้วะ ถึงทำใจมาแล้วแต่มันก็ไม่ค่อยไหว” ฉันยอมรับตรง ๆ แบบไม่อาย จนมันถอนหายใจปลงแล้วผลักหัวฉันแรง ๆ
แรงมากจนฉันตัวโยกไปชนกระจก
“กูก็ไม่รู้หรอกนะยังไง แต่ที่กูรู้แน่ ๆ คือ เจ้าชู้ไม่ผิดถ้ายังไม่มีแฟน แต่ถ้ามีแล้วมันก็ผิดอะ” มันถอนหายใจอีกรอบเหมือนตัวมันเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้ “เซียร์ กูถามไรหน่อย”
“ฮะ” อยู่ ๆ มันก็ทำเสียงเครียด หน้าที่เคยขี้เล่นก็เปลี่ยนเป็นเครียดแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นมากนัก “มึงว่าระหว่าง รักแฟนมากแต่ไปมีคนอื่น กับไม่มีคนอื่นแต่ไม่รู้ว่ารักแฟนมั้ย อันไหนมันเหี้ยกว่ากันวะ”
ฉันงงกับที่มันถาม แต่ก็พยายามนึกดูตามที่มันพูด แล้วก็ส่ายหน้า ให้ฉันคิดอะไรอยู่เนี่ย!
“เหี้ยพอกันแหละ”
“อืม งั้นกูคงให้คำปรึกษามึงไม่ได้หรอก” มันว่างั้นแล้วทอดมองถนน สีหน้านี้กับคำถามเมื่อกี้อาจจะเกี่ยวกับที่มันดูอารมณ์เสียตอนมาหาฉัน มันเองก็กำลังมีปัญหาสินะ “ที่กูเตือนมึงตอนนั้น เพราะว่ากูทำใจเห็นเพื่อนตัวเองโดนนอกใจไม่ได้ แต่ถ้าให้กูหาเหตุผลดี ๆ มาปลอบมึงกูก็ไม่มีให้วะ เอาตามตรงคือกูก็ยังเอาตัวเองไม่รอด”
“เออ ไม่เป็นไร มึงอย่าเครียดสิวะ กูขนลุกละเนี่ย” มาพูดจาปรัชญาแบบนี้ขัดกับหน้ามาก รับไม่ได้
“นอนไปเหอะเดี๋ยวถึงบ้านจะปลุก”
“จ้า ๆ” ฉันแอบยิ้มให้มัน ฉันรู้ชีวิตไม่ได้ง่าย แต่ก็ยังโชคดีที่มีเพื่อนที่ดูไร้สาระ แต่ก็พึ่งพาได้แบบพวกมัน ฉันนึกขอบคุณมันอยู่ในใจแล้วผล็อยหลับไป...
“ตื่นน…น” เสียงติด ๆ ดับ ๆ ในหู คล้ายสัญญาณโทรศัพท์ไม่ดีดังขึ้นในโสตประสาท
“...” แต่ดูเหมือนสมองจะได้แค่รับรู้ แต่ร่างกายไม่ได้ขยับตาม
“ไอ้เซียร์!!”
“เฮือก!” ฉันสะดุ้งอย่างแรงแล้วหันไปมองเพื่อนที่กำลังเขย่าตัวปลุกฉันอยู่ด้วยสีหน้าและแววตาตื่นตระหนก
“กูตกใจหมด ทำไมตัวร้อนงี้วะ” มันขมวดคิ้วแล้วจับฉันให้เงยหน้าขึ้น “เหงื่อออกได้ไงวะ แย่แล้วมั้งเนี่ย กูว่าไข้ขึ้นแล้วแหละ หนาวทำไมไม่บอกให้ปรับแอร์”
มันทำหน้าดุแล้วรีบไปปรับแอร์ตรงคอนโซลหน้ารถ
“โอยยปวดหัว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหนาว...” เมื่อพูดฉันก็นิ่วหน้า พยายามกลืนน้ำลายผ่านคอ แต่เป็นไปได้อย่างลำบาก แถมเจ็บมาก
“รีบเข้าบ้านดีกว่า เดี๋ยวไปส่ง”
ฟรังปลดเข็มขัดนิรภัยออก แต่ฉันรีบห้ามไว้ เพราะบ้านมีพื้นที่ใหญ่ทำให้หน้าบ้านมีการทำทางเพื่อวนรถโดยสามารถจอดหน้าประตูได้ แล้วมันก็มาจอดแล้วด้วย ถ้ามันไปส่งอีกนิดคงอุ้มฉันไปบนห้องแล้วล่ะ
เวอร์เกิน เป็นไข้แต่แขนขายังอยู่ครบนะ
“ไม่ต้อง...เดี๋ยวไปเอง” ฟรังลังเลเล็กน้อยแต่ก็ยอมพยักหน้าเมื่อเห็นแม่บ้านมารอรับ
เมื่อลงรถฉันก็เดินเข้าบ้านไปก็เจอเจ้าของบ้านสองคน นั่นก็คือ ป๊ากับม๊ากำลังนั่งอยู่กับคนรุ่นราวคราวเดียวกับท่าน ทั้งสองท่าทางดูภูมิฐานทั้งชายและหญิง นั่งคุยกันอยู่ตรงโซฟารับแขกโถงกลางบ้าน
คิดผิดคิดถูกก็ไม่รู้ที่เข้าทางหน้าบ้าน น่าจะเข้าหลังบ้านดีกว่า แต่ถึงอย่างนั้นแม่บ้านก็คงเดินมาบอกอยู่ดี ทำแบบนั้นคงเสียมารยาทแย่
“หนูเซียร์มาแล้วค่ะคุณผู้หญิง” ฉันถอนหายใจแต่ต้องปั้นหน้ายิ้มทั้งที่ปวดหัวตุบ ๆ เหมือนจะไม่ไหวอยู่แล้ว ไม่คิดว่าพิษไข้จะมาเร็วขนาดนี้ ฉันเดินไปหาพวกท่านแล้วเข้าไปนั่งโซฟาตัวเล็ก แล้วยกมือไหว้ทักทายอย่างมีมารยาท
“สวัสดีค่ะคุณป้าคุณลุง”
เมื่อพูดเสร็จท่านทั้งสองก็รับไหว้และหันไปคุยกับป๊าที่นั่งยิ้มแป้น เพราะนี่คือการบังคับฉันกลาย ๆ ในการแนะนำฉันกับเพื่อนของท่านโดยไม่ต้องเปลืองแรง
“นี่ลูกสาวที่เคยมาโม้ไว้หรือเปล่า สวยกว่าที่เล่ามาอีกนะ”
ฉันหันไปทางป๊าแล้วทำหน้าดุ ไหนตกลงกันไว้ว่ายังไม่บอกใคร แต่ดูเหมือนท่านไม่เห็นหรือตั้งใจทำเป็นมองไม่เห็นแถมยังพูดต่ออีก
“แน่นอนสิ ลูกสาวฉันน่ะไม่ได้สวยอย่างเดียวเรียนเก่งด้วย ฉันไม่ได้บอกไปเหรอ”
ป๊ายังคงยอฉันไม่เลิก พอป๊าพูดจบทั้งหมดก็หัวเราะลั่น ยกเว้นฉันที่นั่งนิ่งเพียงแค่ยิ้มตามแค่พอไม่เสียมารยาทเท่านั้น
“หนูเรียนอะไรเหรอจ๊ะ” คุณป้าที่ดูสวยไปตามอายุหันมาถาม
“วิศวะค่ะ” พอฉันพูดคุณป้าก็ชะงัก
ไม่ใช่ว่าคณะฉันแปลกนะ แต่เสียงฉันต่างหากที่แปลกทั้งแตกและแหบหาวจนเกินจะเป็นเสียงสาวน้อย
“เซียร์ทำไมเสียงเป็นแบบนี้ลูก” ม๊าที่นั่งโซฟาตัวใกล้จับไหล่ฉันให้หันไปหา ป๊าก็เหมือนกันดูท่าทางตกใจ
“น่าจะเป็นเพราะเซียร์ตากฝนไปเมื่อตอนเย็นมั้งคะ” ฉันสันนิษฐานไปตามที่ตัวเองคิดว่าเป็นไปได้มากที่สุด แต่คุณลุงพูดแทรก
“ไหนขอลุงดูหน่อยได้หรือเปล่า” พูดจบเขาก็ย้ายตัวเองมาหน้าฉันและแตะบริเวณไหปลาร้าของฉันเบา ๆ สักครู่ก็เอาออก “เจ็บคอหรือปวดหัวรู้สึกปวดหัวหรือเปล่า”
“ค่ะ” พอฉันพูดแบบนั้น เขาก็พยักหน้าและกลับไปนั่งที่เดิม
“ลูกสาวแก น่าจะเป็นหวัดนั่นแหละไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวก่อนนอนทางยาหน่อยนะลูก”
“แน่ใจนะไอ้หมอ ดูแค่นั้นจะพูดเป็นฉาก ๆ ได้ไง ให้แน่สิโว้ย” ป๊ายังคงเล่นใหญ่เสมอ บางทีฉันก็ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น จริง ๆ อาการมันก็หวัดชัด ๆ
“ถ้าไม่แน่ใจก็ไปตรวจที่โรงพยาบาลก็ได้ ฉันก็ดูแลทั้งตระกูลแกอยู่แล้วหนิ” คุณลุงถอนหายใจแล้วชายตามองก่อนพูดแซะกับท่าทางไม่เชื่อใจ
ในขณะที่สองหนุ่มเหลือน้อยกำลังย่นคิ้วใส่กันอย่างไม่จริงจังนักม๊าก็พูดดึงความสนใจของฉันไปหา
“เอ้อนี่ลูก ป๊าม๊าปรึกษากับเจ้าโจ้แล้วนะ ว่าจะมาถามเรื่องคอนโด หลังจากนี้โจ้คงไปดูงานให้ป๊าที่ต่างจังหวัดนาน ๆ กลับบ้านที กลัวเราจะไม่มีใครไปรับส่งน่ะ”
คอนโดเนี่ยนะ...
“แล้วป๊ากับม๊าไม่เหงาเหรอคะ ไม่มีตัวป่วนอยู่บ้านแล้วเนี่ยเหงาแน่เลยสิคะ” ฉันพูดกับม๊าติดตลก และความจริงฉันก็กลัวว่าพวกท่านจะเหงา
“ใช่มั้ย!! ไม่ต้องไปหรอกอยู่กับป๊าเนี่ยแหละเนอะ” ป๊าสนับสนุนฉันแต่ก็ต้องเงียบเมื่อม๊ามองค้อน
“เราเองก็ใช่จะอยู่ติดบ้านเสียเมื่อไหร่ ดูลูกด้วยนะคะ ไม่งั้นลูกก็ต้องขับรถไปเองแล้วไกลขนาดนี้คิดว่าลูกจะเหนื่อยไหมล่ะ”
ม๊าดุจนป๊าจ๋อยสนิท เรียกสายตาขบขันจากผู้ใหญ่อีกสองคน ตอนนี้งานในประเทศม๊าเริ่มโยนงานให้เฮียเป็นคนจัดการบ้างแล้ว ตัวเองก็เริ่มทำร้านขนมจริงจัง ส่วนงานต่างประเทศป๊ายังคงต้องออกไปดูด้วยตัวเองอยู่
“ยังไงก็ได้อยู่แล้ว ไว้ป๊าหยุดเซียร์มาหานะคะ” ฉันหันไปพูดกับป๊าที่นั่งหงอย “ว่าแต่ม๊าได้ลองดู ๆ ที่ไหนไว้บ้างหรือยังคะ”
“ม๊าให้คนไปดูไว้แล้วแต่ยังไม่ถูกใจเลย”
“ฉันมีแนะนำนะสนใจหรือเปล่าล่ะ” คุณป้าพูด ทำเราสามคนหันไปหา
“ที่ไหนเหรอ ฉันอยากได้ติดมหาลัยลูกหน่อย จะได้ไม่ต้องเหนื่อยเดินทาง” คนข้าง ๆ เริ่มสนใจ
“เป็นคอนโดของพ่อแม่เพื่อนลูกชายน่ะ เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อปีที่แล้ว ถ้าสนใจว่าง ๆ ก็เข้าไปดูได้”
ม๊าฉันพยักหน้าแล้วก็เลิกคิ้วถามถึงบุคคลที่อีกฝ่ายพูดถึงเมื่อซักครู่
“เอ้อ พูดถึงลูกชาย ไม่ได้เจอนานแล้วนะ เป็นยังไงบ้าง”
“ก็เรื่อย ๆ นั่นแหละ พูดแล้วก็เสียดายนะมีแฟนไปแล้วไม่งั้นว่าจะให้มาขอลูกสาวบ้านนี้สักหน่อย” พูดจบคุณป้าก็หันไปยิ้มกริ่มกับม๊า แล้วส่งสายตาแปลก ๆ มาทางฉัน
พอจะรู้ความหมายสายตานั่นออกอยู่หรอก แต่ก็ได้แต่ทำหน้ายิ้ม ๆ ไป ทั้งที่อยากปฏิเสธเลยแบบไม่ขอดูตัว
“ฉันว่าให้ลูกไปพักดีกว่านะดูเหนื่อย ๆ” ป๊าก้มหน้ามามองฉันแล้วหันไปเรียกป้าแจ่ม แม่บ้านใหญ่ร่างท้วม “เอายาไปให้เซียร์ด้วยนะแจ่ม”
“งั้นหนูขอตัวนะคะ คุณป้าคุณลุง” ฉันหันไปลา และขึ้นไปห้องตัวเองทางชั้นบนโดยมีป้าแจ่มตามเอายาและน้ำเข้ามาให้ห้อง
“หนูเซียร์ทางข้าวเย็นมาหรือยังจ๊ะ พอดีวันนี้เพื่อนของคุณท่านมาเลยจัดโต๊ะอาหารไปตั้งแต่ช่วงเย็นแล้ว” ร่างท้วมวางน้ำและยาในมือลงบนโต๊ะอ่านหนังสือหัวเตียงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ยังเลยค่ะ วันนี้วุ่นวายทั้งวันเลยค่ะป้า”
“งั้นเดี๋ยวค่อยทานยาดีกว่า หนูไปอาบน้ำให้สดชื่นนะ เดี๋ยวป้าไปดูอาหารในครัวให้”
“ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวเสร็จแล้วเซียร์ลงไปนะคะ” ฉันยิ้มให้กับความใจดีไม่เคยเปลี่ยนของป้าแจ่ม ตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้มีป้าแกที่คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง
ความจริงป๊าและม๊าอุปถัมภ์ตั้งแต่มัธยมศึกษาปีที่ 5 ไป ๆ มา ๆ ช่วงวันหยุด ฉันพึ่งเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้โดยสมบูรณ์ก็ตอนปี 1 ซึ่งผ่านมาเพียงปีกว่าเท่านั้น เพราะปกติอยู่หอใกล้โรงเรียนและคืนมันไปช่วงขึ้นมหาวิทยาลัย แม้ฉันเองก็ไม่ต่างอะไรกับแม่บ้านด้วยซ้ำ ไม่ได้เกิดมาในตระกูลนี้แต่แรก เพียงแต่ทุกคนที่นี้ก็ยังปฏิบัติกับฉันไม่ต่างจากลูกแท้ ๆ อย่างเฮียโจ้
ฉันลากตัวเองเข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกายตัวเองเพียงครู่เดียวก็เดินลงไปที่ห้องครัว ยังคงได้ยินเสียงพูดคุยมาจากทางห้องโถงเสียงดังครึกครื้นคาดว่าคงจะคุยกันเพลินอยู่ตามประสาคนที่ไม่ได้เจอกันบ่อย
เห็นข้าวต้มในชามที่เตรียมไว้ให้ก็บอกให้ป้าแกไปนอน ส่วนฉันก็ใช้เวลานี้โทรหาพ่อกับแม่ที่อยู่ต่างจังหวัด
[ฮัลโหลจ้า] รอสายไม่นานก็มีเสียงดังขึ้นของคนเริ่มมีอายุกล่าวขานอยู่ปลายสายทำฉันอมยิ้ม
“ทำไรอยู่จ้ะ” สำเนียงของฉันเปลี่ยนไปทันที กลายเป็นคนเสียงที่เหน่ออันเป็นเอกลักษณ์ของเด็กต่างจังหวัด
[กำลังจะนอนเลย พ่อก็เข้านอนแล้ว] ฉันส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ พ่อน่ะคงจะเข้านอนไปแล้วจริง แต่แม่น่ะไม่ใช่มั้ง
“อย่าหลอกกันน่า หนูได้ยินเสียงแบตเตอร์เลี่ยนนะ” พอบอกก็รับรู้ได้ว่าปลายสายชงัก แล้วเสียงนั้นก็เงียบลง
แหม...ไม่ทันแล้วจ้า!
แม่ฉันทำงานตัดผม และชอบหักโหมหนักปิดร้านดึกดื่นจนฉันต้องมาดุเกือบทุกวัน แถมพักหลัง ๆ ก็บ่นปวดขาอีก แต่ก็ไม่ยอมพัก
[ฮ่า ๆ หูดีจริงตัดคนนี้เสร็จ ก็ปิดร้านแล้วลูก แล้วนี่หนูไม่นอนหรือไงนี่ก็ดึกมากแล้วนะ] คนเป็นแม่ยังถามกลับมา เมื่อเหล่มองนาฬิกาก็พบว่ามันเพิ่งจะสี่ทุ่ม
“พึ่งจะกลับบ้าน แต่เดี๋ยวก็จะนอนแล้วจ้า หาอะไรกินอยู่” พอพูดจบฉันก็ไอในลำคออย่างอัตโนมัติ จึงเริ่มเอาช้อนมาคนๆ ข้าวต้มให้มันหายร้อนจะได้รีบกินแล้วไปกินยาเสียที ปล่อยนานกว่านี้น่าจะเป็นหนัก
[ไม่สบายเหรอลูก ดูแลตัวเองด้วยสิ]
‘จ้า ๆ เป็นห่วงคนอื่นไม่ห่วงสุขภาพตัวเองบ้างนะ’ ฉันได้แต่พูดในใจแต่ก็ไม่อยากบ่นท่านนัก แม้ว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดของฉันทางนี้เป็นฝ่ายออกให้หมด แต่แม่ก็ไม่ได้ขออะไรจากฝ่ายนี้เลยแม้แต่บาทเดียว เพียงแค่ดูแลฉันอย่างดีก็ท่านก็บอกว่ามันดีมากแล้ว
“โอเค แม่ตัดผมต่อเถอะจ๊ะ เดี๋ยวลูกค้าจะรอ เดี๋ยวหนูโทรไปใหม่เนอะ” เมื่อเห็นว่าแม่อาจโดนลูกค้าตำหนิเลยจำใจตัดสาย
[เป็นเด็กดีนะลูก มีอะไรช่วยเขาได้ก็ช่วยนะรู้มั้ย]
“จ้า ๆ” ฉันรับปากทุกครั้ง และแม่มักจะพูดทุกครั้งหลังจากที่จะวางสาย ทางนี้มีบุญคุณกับบ้านฉันเพราะช่วงที่ฉันอยู่ม.5 เกือบจะต้องย้ายออกจากโรงเรียนแล้ว เนื่องจากพ่อถูกโกงและกำลังแย่ แม้ว่าฉันจะเป็นเด็กทุน และทำงานร้านขนมของม๊าตั้งแต่ม.4 แต่ก็มีค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้นอกเหนือจากนั้น ก็ได้ครอบครัวเฮียเป็นคนช่วยทั้งเรื่องคดีและเรื่องค่าใช้จ่าย
นึกหวนอดีตไปจะว่าเร็วก็เร็ว ช้าก็ช้า เป็นประสบการณ์ชีวิตที่ไม่เคยคิดว่าจะเจอกับตัวเองจริง ๆ ฉันยิ้มออกมากับเรื่องราวทั้งดีและไม่ดีในอดีตแต่ก็รีบกินข้าวต้มตรงหน้าให้หมดแล้วเอาไปล้าง
ครืดด ครืดดด
เสียงสั่นดังจากไอซ์แลนด์กลางครัวที่ฉันวางโทรศัพท์ไว้ก่อนหน้านี้สั่นขึ้น แต่เพราะยังไม่ว่างและมือเปียกอยู่จึงได้แต่ชโงกไปดูปรากฏเบอร์แปลก ๆ จึงไม่ได้สนใจมาก เพราะคนที่รู้จักฉันก็เม็มเบอร์ไว้ทุกคน จึงไม่ค่อยจะรับเบอร์พวกนี้เท่าไหร่ เสียงดับไปตอนที่ฉันล้างชามเสร็จพอดี
พอดูเบอร์ที่ขึ้นจากสายไม่ได้รับก็ไม่คุ้นอยู่ดีจึงไม่ได้สนใจจะโทรกลับ ถ้ามีธุระคงโทรมาอีก เพียงเสี้ยววินาทีที่คิดเช่นนั้นโทรศัพท์ก็สั่นอีกรอบ
“สวัสดีค่า” ไม่น่ามีใครมีธุระกับฉันดึก ๆ แบบนี้ ฉันจึงกรอกเสียงใส่โทรศัพท์ขณะเดินขึ้นบันไดเพื่อไปห้องตัวเอง
[…] เสียงถอนหายใจดังขึ้นเป็นอันดับแรก ฉันกะจะถามไปว่าปลายสายคือใคร เขาคนนั้นก็กรอกเสียงกลับมาเรียบนิ่ง [หออยู่ไหนครับ ใช้เวลาเดินทางสองชั่วโมงเลยเหรอ ฮึ ?]