บทที่ 6 : เสียงที่ไม่อยากเจอะเจอ

1907 Words
[…] เสียงถอนหายใจดังขึ้นเป็นอันดับแรก ฉันกะจะถามไปว่าปลายสายคือใคร เขาคนนั้นก็กรอกเสียงกลับมาเรียบนิ่ง [หออยู่ไหนครับ ใช้เวลาเดินทางสองชั่วโมงเลยเหรอ ฮึ ?] เฮ้ย ! จริงสิ “พี่หมอ…” [พี่ชื่อเกียร์] เขาตอบสวนกลับมาคล้ายจะบอกให้เรียกชื่อนี้แทนคำว่าพี่หมอ “ค่ะพี่เกียร์ คือว่าเซียร์ทำกระดาษหาย เมื่อกี้ไม่ได้โทรกลับเห็นเป็นเบอร์แปลกน่ะค่ะ” ฉันบอกเรื่องจริงไปเพียงครึ่งเดียว ความจริงคือฉันลืมว่าต้องโทรหาเขา แล้วลืมอีกว่ากระดาษเบอร์หายไปไหน ตกตอนนอนในรถไอ้ฟรังชัวร์ “ขอโทษนะคะ เซียร์ถึงบ้านแล้วค่ะ” [บ้าน ? ไม่ได้อยู่หอเหรอครับ] “อ้อ ! หอค่ะ พูดผิด” ฉันรีบแก้เมื่อได้ยินน้ำเสียงสงสัยของเขา ว่าแต่มีเรื่องที่ฉันสงสัยเขาอยู่เหมือนกัน “พี่เกียร์ได้เบอร์เซียร์มาได้ไงคะ เซียร์ให้ไปเหรอ” ไม่มั้งงง ฉันหวงความเป็นส่วนตัวจะตายไม่ให้เบอร์ใครมั่ว ๆ แน่ ถึงเขาจะหล่อจนอาจใจอ่อน แต่ว่าถ้าตั้งใจให้ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ [ขอโจ้มาน่ะ] “หา! พี่เกียร์ไปขอเฮีย งี้เฮียก็รู้ว่าเซียร์กลับบ้าน เอ๊ย หอเองสิ] ตาย ๆๆ เฮียจะเฉ่งฉันมั้ยเนี่ย ไปไหนยากอีกแน่เลย [ไม่หรอก พี่แค่บอกว่าเราลืมของบนรถน่ะ] เขาพูดน้ำเสียงนิ่ง ๆ แต่แค่นั้นก็โล่งอก แหมหล่อแถมฉลาด เอาใจไปเลยรัว ๆ ฉันคิกคักอยู่ในใจก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงปลายสายพูดเสียงนิ่ง ๆ กลับมา [นี่ ตัวเล็ก…] “คะ ?” [วันหลังสัญญาว่าจะทำอะไร ช่วยทำมันได้ไหม] ฉันยืนนิ่งอยู่หน้าห้องจากที่กำลังจะเปิดเข้าไปรู้สึกหน้าชาดิกเมื่อได้ยินประโยคนี้เข้าไป เขากำลังดุฉันอยู่ใช่ไหม “พี่เกียร์โกรธอยู่เหรอคะ” ฉันกลั้นใจถามเพราะเดาไม่ออกจากน้ำเสียงนิ่ง ๆ ที่เขาส่งมา “เซียร์ ขอโทษค่ะ” ฉันไม่มีอะไรจะแก้ตัว และรู้สึกไม่ดีไปด้วยพอมานึก ๆ ดูแล้ววันนี้ฉันลืมเขาไปสองรอบ และปฏิเสธเขาไปสองรอบ โดยไม่ได้ตั้งใจ [...เกียร์เอาอะไรมั้ย เดี๋ยวพวกเราลงไปซื้อกาแฟข้างล่าง] ฉันได้ยินในสายมีคนคุยกันไม่แน่ใจว่าเขาอยู่ไหน แต่พอเขาคุยกันเสร็จเสียงพี่เกียร์ก็ตอบกลับมา [พี่ไม่ได้โกรธ แต่แค่รอ ถึงหอปลอดภัยก็ดีแล้ว] “พี่เกียร์อยู่ไหนเหรอคะ ยังไม่กลับเหรอ” ฉันเข้ามานั่งจ๋อยในห้อง เมื่อกี้พอจบบทสนทนาของเขาเราควรวางสายไป แต่เพราะไม่อยากวางสายด้วยท่าทีที่ยังตึง ๆ กันแบบนี้เลยต่อบทสนทนาอีกนิด “ยังอ่านหนังสืออยู่เหรอคะ” ฉันเดาไปงั้น ตอนแรกคิดว่าเขาอาจจะกลับไปอยู่ห้องแล้ว แต่พอได้ยินเขาคุยกับเพื่อนจึงคิดว่าเขาอาจจะยังอ่านหนังสือที่หอสมุดที่ปิดตอนเที่ยงคืน [พักอยู่ครับ] น้ำเสียงเขาดีขึ้นเล็กน้อย [เป็นคนนอนดึกเหรอครับ เห็นยังไม่นอน] “พอดีต้องกินยา เลยไปหาข้าวกินจะได้กินยานอน” ฉันเรียกคะแนนสงสาร เผื่อเขาจะมองฉันจากเด็กนิสัยเสียให้ดูน่าสงสารแล้วใจอ่อนไม่โกรธกัน [กินยาทำไมครับ ?] ตามคาด...ฉันลอบยิ้มในใจ มุกนี้ใช้ได้ผลเสมอ ฮิฮิ “ดูท่าจะเป็นหวัดเพราะตากฝนค่ะ แต่กินยาแล้วไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” ฉันขี้ตู่คิดเองเออเองไป แต่ก็ได้ยินปลายสายคล้ายหลุดขำออกมาเบา ๆ แต่ฉันดันหูดีได้ยิน [คิดไปเองเก่งจังนะครับ] “ค่ะ ของถนัดเลย” ฉันโม้อีกรอบ “เอ่อ...” พอชวนคุยไปชวนคุยมาจู่ ๆ ก็เดตแอร์ขึ้นมา พอต่างคนต่างไม่พูดอะไรฉันก็กะจะลาแล้ววางสายไปแต่เขาก็พูดแทรกเข้ามาเสียก่อน [เม็มด้วยนะครับ] “เม็ม เม็มอะไรคะ” [เบอร์พี่ เห็นบอกว่าไม่รับเบอร์แปลก เม็มไว้จะได้ไม่แปลกไงครับ] “จะโทรมาอีกมั้ยคะ ถ้าจะโทรมาอีกจะเม็มไว้ค่ะ แถมให้ตั้งชื่อได้เองด้วย อยากให้ตั้งว่าอะไรเป็นพิเศษมั้ยคะ” [ตั้งชื่อปกติก็ได้ครับ] ไม่รับมุกเลยแฮะ อุตส่าห์หยอดไปต้องหลายที [ไว้พิเศษแล้วค่อยตั้งใหม่] ฮะ? วันนี้เนื่องจากป๊าและม๊ามีเข้าบริษัทฉันถึงขอติดรถมาลงที่สถานีรถไฟฟ้าใกล้บ้าน อาการฉันไม่ได้ดีขึ้นจากเมื่อวานมากนัก แม้ว่าเมื่อเช้าป้าแจ่มจะให้ยามากินอีกแต่อาการปวดหัวนิด ๆ ก็ยังคงอยู่ “ขอบคุณค่ะ ขับรถดี ๆ นะคะลุงมานะ ไปก่อนน้า” ฉันไหว้ทั้งสองท่านและลุงคุณขับรถของที่บ้านที่หันมายิ้มให้ “ตั้งใจเรียนนะลูกสาว ถ้าปวดหัวไม่ไหวเข้าไปให้หมอเขาตรวจสักหน่อยนะลูก” ก่อนไปท่านก็ทำสีหน้าเป็นห่วง ตอนแรกม๊าจะให้ฉันลาหยุดซักวัน แต่เพราะวันนี้มีงานกลุ่มที่อาจารย์บอกจะสุ่มจับกลุ่ม จึงต้องมาเพราะวิชาค่อนข้างหินพอสมควร “ค่า บ้ายบาย” พอทำท่าจะปิดประตูรถ ผู้หญิงคนเดียวในรถก็รีบยัดเงินใส่มือฉัน “ม๊าให้ค่ารถ” ฉันมองเงินสดจำนวนหนึ่งในมือก็พบว่ามากกว่าค่ารถไฟฟ้าไปไกลโข พอทำท่าจะพูด ท่านก็ขัดขึ้น “เอาไปเถอะลูก เผื่อจำเป็นต้องใช้” ฉันลังเลก่อนพยักหน้า เพราะรู้ว่าถ้าท่านตั้งใจให้คงไม่เอาคืนง่าย ๆ ยกนาฬิกาขึ้นดูเวลาพบว่า ตอนนี้ 8.15 น. แล้วก็ถอนหายใจ ยังพอมีเวลาเพราะเรียน 9 โมง ทำให้ไม่ต้องเบียดคนอื่นมาก เมื่อคืนฉันปวดหัวหนักมาก ปกติฉันเป็นพวกถึก ๆ ไม่ค่อยมีไข้หรือไม่สบายแบบคนอื่น แต่พอเป็นทีนี่เล่นเอาเรื่องเหมือนกันนะ การขึ้นรถไฟฟ้าตอนเช้าเป็นอะไรที่ทรมานมาก เนื่องจากทั้งเด็กนักเรียน เด็กมหาลัย แม้กระทั่งคนวัยทำงานก็เลือกสัญจรแทนการฝ่ารถติดบนท้องถนน ฉันเดินรอรถไฟเพียงครู่เดียวก็โดนยัดไปกับฝูงคน กลิ่นตอนเช้าแสนสดใส แต่กลิ่นรองเท้าหึ่งยังกะไม่ได้ซักมาสิบปีนี่คืออะไร...ฉันรีบอุดจมูกและปิดปากที่ดูเหมือนจะขย้อนเศษอาหารที่เมื่อเช้ากินไปได้สองสามคำออกมาตลอดเวลา ซักรองเท้าถุงเท้าใหม่มันไม่ได้เปลืองแรงมากนักหรอกมั้ง มันเป็นภาระคนอื่นเขาเนี่ย ! ขอให้ถึงสถานีหน้าสักทีเถอะ ฉันจะไม่ไหวจริง ๆ แล้วนะ คลื่นน ฉันรีบวิ่งฝ่าคนนับสิบที่ต้องการจะออกประตูเดียวกันจนชนคนอื่นโดยไม่สนใจใครทั้งนั้น นับว่ายังโชคดีไม่น้อยที่ด้านล่างยังมีห้องน้ำไว้ให้ฉันขย้อนข้าวทิ้ง เหงื่อผุดออกมาเต็มหน้าผากไปหมด “อุแหวะ!!!” ฉันวิ่งเข้าไปกอดอ่างล้างมือและสำรอกออกมาจนปวดหน้าท้องเพราะความเกร็ง ทรมาน... อ้วกจนรู้สึกล้าจนอยากจะนอนในห้องน้ำให้รู้แล้วรู้รอด ดีนะที่ผู้คนต่างก็รีบไปทำงานจนไม่มีใครมาเข้าห้องน้ำ ถ้าใครเห็นคงคิดว่าฉันท้องแน่ ๆ ท้องมานละสิ จะไปท้องกับใครได้ล่ะ พาตัวเองเดินสะโหลสะเหลเข้ามหาวิทยาลัยไป เพราะจากสถานีรถไฟฟ้าไม่ได้ห่างจากประตูทางเข้าคณะฉันมาก วิชานี้เรียนว่านรกแล้ว งานกลุ่มนรกกว่ามาก แม้ร่างกายแทบไม่ไหว แต่ก็พยายามตั้งใจฟังอาจารย์จนถึงท้ายคาบ วันนี้อาจารย์ให้งานเป็นกลุ่มสุ่ม กลุ่มละ7คน กันคนหัวกะทิอยู่กลุ่มเดียวกัน ทำให้กลุ่มฉันโดนแยกกันเกือบหมด แถมงานก็ให้เวลาเพียงนิดเดียว “รบกวนตัวแทนกลุ่มแต่ละกลุ่มส่งรายชื่อมาให้อาจารย์ด้วยนะคะ” ทั้งภัทรฟรังและต้นหญ้าต่างเดินไปหากลุ่มของตัวเอง มีเพียงแค่คนที่จับอยู่กลุ่มเดียวกับฉันเดินมาหาฉันที่ดูเหมือนร่างไร้วิญญาณ “เซียร์ไหวไหม” หนึ่งในนั้นที่กำลังจดชื่อทุกคนในกลุ่มหันมาถามฉันที่นอนฟุ่บอยู่บนโต๊ะ “ได้อยู่” ฉันตอบไป อาการอื่น ๆ หายเกือบหมดแล้ว เหลือแค่อาการคลื่นไส้อีกนิดหน่อย แต่เพราะเมื่อเช้าอ้วกจนหมดไส้หมดพุง ทำให้ไม่ค่อยมีแรงจะพูด “วันนี้เราเริ่มทำกันเลยไหม ฉันยังมีงานกลุ่มวิชาอื่นรออีกเพียบเลย” เพื่อนสาวในกลุ่มเสนอความคิดเห็นอาจเพราะมันไม่ได้ยากมากเพียงแค่เราต้องดูสโคปงานทั้งหมดแล้วแบ่งกันไปหาข้อมูลก่อน ทุกคนก็เห็นด้วยเพราะยิ่งเข้าใกล้เวลาสอบทีไรงานก็ยิ่งเยอะ อาจารย์ทุกคนพร้อมใจกันสั่งงาน “เขียนเสร็จแล้ว ยังเหลือเวลาก่อนเที่ยงอีกหน่อย รีบไปหาอะไรกินดีไหม คนจะได้ไม่เยอะด้วย” คนที่จดรายชื่อเมื่อครู่เอากระดาษไปให้อาจารย์แล้วกลับมาถามทุกคน “ไปกินก๋วยเตี๋ยวคณะแพทย์มั้ยที่ดัง ๆ อะ” 'ไม่ไปได้ไหม' ฉันกำลังจะค้านเพราะไม่อยากย่างกายไปคณะที่ตัวเองกำลังเป็นประเด็นอยู่ “เอาดิ อร่อยนะ ให้เยอะด้วย ไปกัน” แต่พอเพื่อนพร้อมใจกันเอาด้วยไม่อยากขัด ชโงกหน้าไปมองเพื่อนอย่างภัทร ฟรัง และต้นหญ้า วันนี้ทุกคนคงแยกกันไปกินข้าวกับกลุ่มตัวเองเหมือนพวกฉันแน่ เพราะทุกคนคงต้องการจบงานนี้ให้เร็วที่สุด เอาวะ! ไปก็ไป พวกเราย้ายตัวเองมาโรงอาหารคณะแพทย์ ฉันติดรถเพื่อนในกลุ่มมาเพราะไม่มีรถ คนที่โรงอาหารไม่เยอะเท่าไหร่อาจเพราะยังไม่ถึงช่วงเวลาพัก พวกเราก็สั่งของใครของมันแล้วเริ่มนั่งคุยเรื่องงานคร่าว ๆ ฉันไม่ได้รู้สีกไม่ดีอะไรกับการโดนสุ่มให้ต้องทำงานกับคนไม่สนิท คณะเราตอนปี 1 กิจกรรมเยอะมากทำให้รู้จักกันไปหมด เพราะคิดว่าในชีวิตจริงถ้าจะทำงานสายนี้คงเลือกแต่จะทำงานกับคนสนิทอย่างเดียวไม่ได้ และเพื่อน ๆ เองก็ไม่ได้อึดอัดที่ทำงานกับฉัน ไม่อยากอวยตัวเองเท่าไหร่แต่ฉันทำงานค่อนข้างดี เร็ว และรอบคอบ “ได้แล้วจ้าหนู” ป้าตะโกนเรียกทำให้ผู้ชายสองคนในกลุ่มอาสาไปเอาถาดใส่อาหารมาให้ พอได้อาหารทุกคนก็เริ่มคุยกันน้อยลง สนใจของตรงหน้ามากขึ้น ฉันกำลังตัดสินใจจะกินบ้างเพราะก๋วยเตี๋ยวที่สั่งไปดูน่ากินจริง ๆ แต่ก็มีเสียงอันคุ้นเคยที่โคตรไม่อยากเจอะเจอที่นี่โผล่มาจากด้านหลัง “ดีใจจังที่ได้เจอมิเซียร์” ความอยากอาหารหมดสิ้นลงทันที แม่งเอ๊ย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD