ฉันต้องไปบอกให้คนมาตรวจหน่อยแล้วแหละเหม็นยิ่งกว่าอะไรตายซะอีก เน่ามากี่วันแล้ว! ว่าแต่แม่ค้าพ่อค้าที่อยู่ที่นี่เขาไม่ได้กลิ่นอะไรกันเลยเหรอ ทุกคนดูปกติเดินผ่านไปผ่านมา ค้าขายและพูดคุยกันยิ้มแย้มราวกับว่ากลิ่นเหม็นนี้มีแค่ตัวเองที่ได้กลิ่น
ปรื้น!!!!
“กรี๊ด!!”
ขณะที่ฉันกวาดสายตามองไปรอบตัวอยู่นั้น เสียงแตรรถกับเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นทำให้หันไปมองตามเสียงก็ต้องตกใจสุดขีด หัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ตัวแข็งทื่อก้าวขาไม่ออกเพราะรถยนต์ที่พุ่งเข้ามานั้นกำลังตรงมาทางตัวเอง
หมับ! พรึ่บ! โครม!!
จังหวะที่ไร้ซึ่งสตินิ่งค้างทำอะไรไม่ถูก เพียงเสี้ยววินาทีจู่ ๆ ร่างบางถูกกระชากก้าวเท้าถอยหลังออกจากจุดนั้นเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของใครบางคน ดวงตาทั้งสองปิดสนิทหันหน้าซุกกับอกเสื้อของคนที่เข้ามาช่วย รถยนต์ที่พุ่งเข้ามาชนเคาน์เตอร์ปูนของแผงร้านค้าอย่างจัง ทำให้เศษซากความเสียหายกระเด็นกระจัดกระจายไปทั่ว แขนของฉันรับรู้ถึงความเจ็บปวดเล็กน้อยเพราะถูกเศษเหล่านั้นบาด
“นี่มันอะไรกันวะเนี่ย…” เสียงผู้ชายคุ้นหูพึมพำอย่างไม่เข้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น และน้ำเสียงนั้นทำให้ฉันรับรู้ได้ว่าคนที่เข้ามาช่วยตัวเองคือใคร
“วาฬ” ฉันเงยหน้าขึ้นสบสายตากับคนตัวสูง เจ้าของซื่อหลุบตามองลงมาทั้งที่แขนทั้งสองข้างยังคงสวมกอดตัวฉันไว้แน่น
“เออ เจอหนักขนาดนี้เลยเหรอ” ฉันไม่เข้าใจเรื่องที่วาฬถามสักเท่าไร เวลานี้ร่างกายโอนเอนแทบทรงตัวไม่อยู่จากนั้นภาพทุกอย่างก็ได้ดับลง…
2 ชั่วโมงต่อมา ณ โรงพยาบาลเอกชน (หน่วย ER)
“อีโป๊ย ไม่นะ ~ ยังไม่ทันได้ลิ้มรสชาติของการเสียซิงเลย ต้องมาตายซะแล้ว ฮือ ~”
เสียงร้องไห้คร่ำครวญน่ารำคาญของทิศเหนือดังอยู่ข้างหูไม่หยุดตั้งแต่ที่พ่อกับหมอออกไป เวลานี้จึงมีเพียงแค่ฉัน วาฬและทิศเหนือ ดีนะที่สั่งเบรกคนอื่น ๆ ไม่ให้ตามมาไม่อย่างนั้นฉันคงเป็นโรคประสาทยิ่งกว่านี้แน่นอน
ลำพังเจอ 2 คนนี้ก็จะเป็นบ้าอยู่แล้ว!!
“สาธุ ขอให้อีทิศมีเมียเป็นผู้หญิง ให้ไปเสียซิงจิ้มรูอื่นบ้าง!” ไม่ได้พูดเปล่าแต่ยกมือขึ้นเหนือหัว เป็นการขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้เพื่อนตัวเองรู้สึกขนลุกขนพองบ้างแหละ
“กูเสียมาเยอะแล้วซิงเนี่ย นับหนึ่งใหม่ตลอดเป็นคนไม่ติดอยู่กับอดีตก็เท่ากับว่าซิงทุกครั้งที่เริ่มใหม่” ทิศเหนือวางมือลงกลางหัวบังคับให้ฉันหันไปทางตัวเอง แล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกับพูดออกมา
“ส่วนไหนของมึงที่ซิงอีทิศ” เด็กของมันมีเป็นสิบขนาดนี้ แล้วคำพูดคำจาน่าตบปากเป็นที่สุด
“ตาขาวกับนิ้วก้อย” ฉันกับทิศเหนือสบตากันหลังที่ได้รับคำตอบจากเพื่อนตัวเอง ในวันที่เกิดเรื่องมากมายฉันต้องมาเจอเพื่อนตัวเองที่เป็นแบบนี้อีก…
เฮ้อ! ชีวิตอีโป๊ยเซียน
“ตาดำก็ไม่เหลือ...เข้าตาเหรอ” วาฬที่ยืนอยู่อีกฝั่งพูดขึ้น คำพูดนั้นทำให้ฉันกับทิศเหนือละสายตาจากกันหันไปมองทางเจ้าของเสียง
“ก็มีบ้างหรือมึงไม่เคยเหรอ” ทิศเหนือย้อนถามกลับ
“ระดับนี้”
“ระดับนี้เข้าตาทุกหยด” ทิศเหนือเบะปากใส่วาฬอย่างดูถูกตัวพ่อตัวรุกทั้งคู่แค่คนละสาย มีความสงสัยหนึ่งเกิดขึ้นในใจจนเผลอปากถามออกไป
“โดนตาแล้วมันแสบมั้ย” สิ้นเสียงคำถามทั้งสองคนก็หันมามองเป็นตาเดียว แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
อะไรวะ! ก็จุดประเด็นกันเอง เปิดหัวมาให้สงสัยทำไมเล่า!
“นี่ก็อยากรู้อะไรไปเรื่อยจริง ๆ สนใจชีวิตตัวเองก่อนมั้ย วันนี้มีเรื่องทั้งวันเลย” วาฬส่ายหัวไปมาอย่างเหนื่อยใจ นี่ฉันยังไม่ได้ถามเลยนะว่าไปโผล่ที่ตลาดได้ยังไงไหนบอกว่ามีธุระ
พรึ่บ!
ระหว่างที่ทุกคนกำลังเหนื่อยใจกับฉันที่ยังต้องนอนรอหมออยู่ในห้องฉุกเฉิน ผ้าม่านก็ถูกเปิดออกเต็มแรงและหญิงสาวคนหนึ่งพุ่งตัวเข้ามาหาด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา
“โป๊ย! โป๊ยเซียน ฮือ! ขวัญเอยขวัญมานะลูก ฮือ!” น้าเพ็ญเข้ามาสวมกอดฉันไว้แน่น เสียงร้องไห้จนสิ่งที่พูดนั้นแทบฟังไม่ได้ศัพท์ นาทีนี้ฉันสามารถรับรู้ได้เพียงว่าน้าเพ็ญนั้นเป็นห่วงอย่างมาก
“ไม่เป็นอะไรเลยน้าเพ็ญ ดูสิ…ไม่มีแผลเลย” น้าเพ็ญคลายอ้อมกอดออก ก้มหน้าไล่สายตามองไปตามแขนทั้งสองข้างแล้วยกมือขึ้นแตะข้างแก้ม จับใบหน้าเอียงหันไปมาเพื่อเช็กความผิิดปกติบนร่างกาย
“พ่อพึ่งเล่าให้ฟังว่าวันนี้ก็เจอเรื่องที่มอมาใช่มั้ยลูก ฮึก…” น้าเพ็ญละสายตาฉันมองไปทางวาฬที่เดินไปหยุดยืนอยู่ข้างทิศเหนือ
ระหว่างที่ฉันสลบไปสิ่งที่เกิดขึ้นคงถูกเล่าให้พ่อและคนอื่น ๆ ฟังจนหมดแล้ว เหตุการณ์ที่ตลาดเกิดจากคนขับเกิดเป็นลมหมดสติทำให้ไม่สามารถควบคุมรถยนต์ได้ โชคดีที่ครั้งนี้ไม่มีใครบาดเจ็บนอกจากฉันที่เป็นลมไปเท่านั้น แขนมีรอยข่วนจากเศษปูนที่กระเด็นมาโดนเท่านั้น
“ครับ น้าเพ็ญ”
“ต้องพาไปทำบุญเก้าวัดแล้วมั้งโป๊ยเซียน” น้าเพ็ญยกมือขึ้นลูบหัวฉันระหว่างที่พูดไปด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ขนาดนั้นหรอกน้าเพ็ญก็รู้กันอยู่ว่าเป็นอุบัติเหตุ แล้วโป๊ยแค่เป็นลมวันนี้อากาศร้อนมาก ๆ” ถึงปากจะพูดแบบนั้นแต่สายตาที่มองมาของวาฬทำให้รู้สึกแปลก ๆ
หรือว่ามีอะไรกับตัวเอง....
2 ชั่วโมงต่อมา
หลังจากกลับจากโรงพยาบาล ณ บ้านของโป๊ยเซียน
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูห้องนอนดังขึ้นในขณะที่ฉันกำลังนั่งหวีผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หลังจากกลับมาจากโรงพยาบาลก็ยังไม่ได้พูดคุยอะไรกับใคร เวลานี้พ่อก็ยังไม่กลับจากบ้านของวาฬแม้จะอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกันก็เถอะ สิ่งที่เกิดขึ้นดูเหมือนจะไม่มีใครกล้าเข้ามาถาม คงเพราะพ่อสั่งเอาไว้แล้วอีกนั่นแหละ
กริ้ก!
ประตูห้องเปิดออกด้วยฝีมือของฉันเองและพบว่าคนที่มาเคาะประตูนั้นคือพ่อ สีหน้าแววตาเคร่งเครียดเริ่มทำให้ฉันรู้สึกว่าเรื่องที่ทำให้พ่อมาหาในตอนนี้ต้องเกี่ยวข้องกับตัวเองอย่างแน่นอน
“พ่อขอเข้าไปคุยด้วยหน่อยได้มั้ย”
“ได้ โป๊ยยังไม่นอน” ฉันเปิดทางให้พ่อเข้ามาในห้องนอนแล้วปิดประตูลง และเมื่อพ่อเข้ามาแล้วก็พูดเรื่องสำคัญที่เก็บเอาไว้ในใจทันที
“โป๊ยเซียนจะต้องไปอยู่กับวาฬจนกว่าจะผ่านพ้นคืนวันเกิดอายุครบยี่สิบสอง” สิ่งที่พ่อพูดทำเอาคิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน
อยู่กับวาฬเนี่ยนะ?
ไปอยู่ทำไม?
“ทำไมต้องอยู่กับวาฬ”
“จำเรื่องที่พ่อเคยเล่าให้โป๊ยฟังได้มั้ย ที่มีพระธุดงค์เคยทักว่าโป๊ยจะมีช่วงเวลาดวงตกสองช่วง...ตอนอายุสิบเอ็ดกับตอนอายุยี่สิบเอ็ด”
“....” เพียงพ่อพูดออกมาก็ทำให้นึกถึงเรื่องในอดีตเข้ามาเลย และตอนอายุสิบเอ็ดปีคือตอนที่แม่จากไป ฉันเจอคำพูดว่าแม่เป็นตัวตายตัวแทนในวัยเด็ก จนพ่อออกคำสั่งว่าถ้าใครพูดแบบนี้อีกจะไม่เก็บเอาไว้สักราย
“ลุงวิทเสนอออกมาเองว่าโป๊ยไม่ควรอยู่คนเดียว และคนเดียวที่จะอยู่ด้วยได้คือวาฬ”
“ข้องใจตรงนี้แหละว่าทำไมต้องเป็นวาฬ”
“วาฬเกิดในวันเดือนปีและช่วงเวลาที่แข็งที่สุด...โป๊ยต้องอยู่กับวาฬตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงและพรุ่งนี้จะเป็นวันแรกที่โป๊ยจะต้องไปอยู่บ้านวาฬ”
ตลอดเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง...ตอนนอนด้วยเหรอ!