หรืออากาศมันร้อนจนตาลาย…
ถึงจะพยายามบอกกับตัวเองเช่นนั้นแต่ในหัวเหมือนมีเสียงโต้เถียงออกมาไม่หยุด ฉันมั่นใจในตัวเองมาก ๆ ว่าไม่ได้ตาฝาด หูฝาด เสียงเรียกและสิ่งที่ตาเห็นคือปลาเก๋าจริง ๆ
แต่พูดไปใครจะเชื่อ แค่นี้ก็โดนวาฬบ่นจนสมองไม่รับเรื่องแล้ว!
“จะกลับยังไง ลุงลพมารับกี่โมง” เสียงของผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างกันถามขึ้น แต่ฉันกลับไม่ได้ใส่ใจคำถามนั้นเอาแต่คิดถึงเรื่องราวมากมายที่อยู่ในหัวไม่หยุด
“….” ถ้าไม่ใช่ปลาเก๋าแล้วนั่นใคร ถ้าไม่ใช่ยัยเก๋าก็ผีหลอกแล้ว!
“โป๊ยเซียนได้ยินที่ถามมั้ยเนี่ย”
“….” เหลือจะเชื่อ ผีหลอกเหรอวะ?
“โป๊ย” เสียงนิ่ง ๆ ของวาฬบ่งบอกได้ถึงอารมณ์ที่กำลังไม่ปกติ ทำให้ฉันชำเหลืองสายตามองไปทางร่างสูงที่ยืนอยู่
“พูดให้มันเพราะ ๆ เหมือนกับเวลาที่พูดกับผู้หญิงคนอื่นหน่อย อย่าให้มีน้ำโหนะ” ยิ่งร้อน ๆ ไหนจะเจอเรื่องบ้า ๆ ตอนนี้กำลังจะมีเรื่องกับผู้ชายที่ตัวโตกว่าตัวเองอีก ฉันสูงแค่ไหล่วาฬเอง โดนผลักทีเดียวก็กลิ้งแล้ว
“ตัวเท่าลูกหมานี่เก่งจริง ๆ จะกลับบ้านยังไงหรือว่ามีเรียนต่อ…แต่เจอเรื่องเกือบตายแบบนี้คงไม่มีอารมณ์เรียนแล้วมั้ง” วาฬหรี่ตามองมาทางฉันทำให้เราสบตากันและนั่นทำให้นึกอะไรขึ้นมาได้
รู้แล้วว่าจะกลับบ้านยังไงดีหลังจากเจอเรื่องขนหัวลุกมา ตอนนี้ยิ่งทำให้ไม่อยากอยู่คนเดียว จะรอลุงลพกว่าจะมาถึงก็อีกประมาณ 30 นาทีเพราะวันนี้ฉันเลิกก่อนเวลาแล้วไม่อยากไปเร่งเขา
“กลับบ้านด้วยสิ” นี่ไม่ใช่คำขออนุญาต แต่เป็นคำบอกเล่าให้รับรู้และไม่สนใจว่าจะให้ฉันกลับด้วยหรือไม่
“วันนี้มีไปธุระต่อ กว่าจะกลับบ้านก็ดึก” คำว่าไปธุระต่อของวาฬทำให้ต้องใช้สายตากวาดรอบตัวเพื่อหาผู้หญิงที่อาจจะเป็นธุระในวันนี้ก็เป็นได้ รุ่นน้องคนไหนอีกนะที่เสียเหลี่ยมไอ้ตัวอันตรายคนนี้
ไอ้คนนี้มันก็ไม่ธรรมดาซะด้วยสิ ในฐานะที่รู้จักกันและเห็นหน้ากันมาตั้งแต่เกิดเพราะเราอยู่บ้านตรงข้ามกัน ฉันก็พอจะรู้ว่าผู้ชายหน้าหวานอย่างวาฬนั้นไม่เคยขาดเรื่องผู้หญิง
ความที่เป็นคนเฟรนด์ลี่ ใจดี ยิ้มเก่ง สุภาพกับทุกคนยกเว้นฉัน จึงไม่ได้แปลกใจที่วาฬจะฮอตมาก ๆ ในมหาวิทยาลัย มีแปลกใจอยู่อย่างเดียวคือมันไม่มีแฟน อาจจะเพราะ…
ศีลข้อที่ 3 กาเมสุมิจฉาจาราเวรมณี วาฬเลยไม่มีแฟนจะได้ไม่ผิดลูกผิดเมียใครเพราะตัวเองโสดจะทำอะไรก็ได้…เยี่ยมไปเลย!
“ไปหาผู้หญิงเหรอ” เสียงหวานย้อนถามกลับด้วยความอยากรู้ ธุระของผู้ชายจะมีสักกี่อย่างกันเชียว
“ธุระ” วาฬยังคงยืนยันคำพูดเดิม สายตาที่มองมาแล้วก็ดูแน่วแน่ไม่มีทางหลุดความลับของตัวเองออกมาอย่างแน่นอน
“ผู้หญิงสินะ กลับบ้านเองก็ได้วะ” ไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะต้องไปตามเขาเพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกัน
ต่อให้รู้เรื่องของวาฬมากมายก็ไม่เคยยกเอามาพูดหรือเอาไปฟ้องลุงวิทพ่อของเขาเลยสักครั้ง แม้ว่ามันจะบอกว่าห้ามบอกพ่อ แต่ฉันมั่นใจว่าคนระดับลุงวิทย่อมรู้อยู่แล้วว่าลูกชายตัวเองเป็นยังไง
“งอนเหรอ” ฉันหันขวับมองหน้าเพื่อนด้วยความรู้สึกขนลุกชันไปทั่วตัว อะไรที่ทำให้มันคิดไปทางนั้นได้กันนะ…
“อย่าพูดเรื่องน่าขนลุก ไปดีกว่า” พูดจบก็หันหลังเดินออกจากจุดนั้นที่ยังคงดูวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น
ฉันหันไปมองท่อนเหล็กแหลมที่หลุดลงมาเพียงท่อนเดียวด้วยหัวใจที่ยังคงเต้นแรงถี่ ถ้าเหล็กนั่นโดนตัวเองละก็ คงแทงผ่านทะลุตัวเหมือนหนังสยองขวัญที่เคยดูแน่ ๆ
น่ากลัวเป็นบ้าเลย…
Rrrrrrrrr!!
ในระหว่างทางที่กำลังเดินไปหาที่นั่งรอคนขับรถอยู่นั้นเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ได้ดังขึ้น มือเล็กล้วงหยิบเอามือถือออกจากกระเป๋าขึ้นมาดูรายชื่อของบุคคลที่โทรเข้ามานั่นคือ ‘น้าเพ็ญ’ นิ้วเรียวกดรับสายอย่างไม่ลังเลแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู
ติ๊ด!
“จ้าน้าเพ็ญ” เสียงหวานเอ่ยพูดกับคนในสาย สายตาก็หันมองไปยังถนนในมหาวิทยาลัยก่อนจะก้าวเท้าเดินข้ามถนนไปอีกฝั่ง
(หนูโป๊ยอยู่ที่ไหนลูก) น้าเพ็ญย้อนถามกลับมาหลังจากที่ฉันพูดจบ
ความสนิทสนมของเราเปรียบเสมือนว่าเป็นแม่ลูกกันเลย ในฐานะที่น้าเพ็ญเป็นเพื่อนสนิทของแม่ฉัน ทั้งสองคนเข้ามาทำงานที่โรงงานน้ำแข็งของบ้านพ่อตั้งแต่สมัยสาว ๆ และนั่นแหละเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้พ่อได้เจอกับแม่
จนวันหนึ่งที่แม่จากไปด้วยอาการป่วยพ่อจึงจ้างน้าเพ็ญมาเป็นพี่เลี้ยงและคอยดูแลฉันประหนึ่งแม่คนที่ 2 เลยไม่ต้องทำงานที่โรงน้ำแข็งอีกต่อไป มีหน้าที่ดูแลฉันและดูแลเรื่องอาหาร
“อยู่มอค่ะ รอลุงลพมารับอยู่เลย”
(อ่อ)
“น้าเพ็ญจะเอาอะไรหรือเปล่า” ถ้าไม่เปิดปากถามไปก่อนน้าเพ็ญคงไม่กล้าฝากเรื่องแน่นอน อยู่กันมาจนรู้นิสัยของกันและกันดีแล้ว
(จะฝากซื้อผักสักสองสามอย่าง มอเตอร์ไซค์ก็ไม่อยู่ ไม่รู้เด็กในบ้านคนไหนเอาไปจนป่านนี้ยังไม่กลับมาเลย) ฟังจากเสียงบ่นแล้วน้าเพ็ญกำลังโมโหได้ที่ คนเอารถไปมีหวังได้โดนดีแน่ ๆ
“ได้สิ เดี๋ยวโป๊ยต้องไปเก็บเงินที่ตลาดให้พ่ออยู่พอดี” ถ้าน้าเพ็ญไม่พูดถึงเรื่องที่ต้องไปทำอะไรที่ตลาดฉันก็ลืมไปเลยนะว่าวันนี้เป็นวันเก็บเงิน ต้องไปทำงานแลกเงินยังไงเงินดอกที่แม่ค้าในตลาดจ่ายมานั่นแหละคือค่าขนมรายเดือนของตัวเองที่พ่อยกให้ ไม่รวมเงินค่าจ้างไปเรียนอีกต่างหาก
พ่อสอนเองว่าเราจะทำอะไรต้องหัวธุรกิจเข้าไว้ ฉันจึงจำคำสอนนั้นมาอย่างดี…ทุกบาทของพ่อก็คือเงินของตัวเอง
(เดี๋ยวน้าส่งรายการไปให้ในแชตนะ หนูโป๊ยให้ลุงลพเขาไปเดินเลือกซื้อให้น้าทีนะจ้ะ)
“ได้จ้าน้าเพ็ญ” หลังจากตกปากรับคำเรียบร้อยก็กดวางสายน้าเพ็ญ แล้วเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าของตัวเองเดินเข้าร้านคาเฟเล็ก ๆ ในมหา’ลัยเพื่อรอคนรถของฉันมารับ
ณ ตลาดสด เวลา 17.30 น.
“อันนี้ถุงเท่าไหร่คะป้า”
นิ้วเรียวชี้ไปทางถุงขนมหวานที่เรียงรายกันอยู่ตรงหน้าละลานตา ตลาดนัดยามเย็นที่เต็มไปด้วยของขายมากมายซึ่งไม่บ่อยนักหรอกที่ฉันจะมาเดินตลาด 1 เดือนจะมาแค่วันเดียวนั่นก็คือวันที่ต้องมาเก็บเงินค่าดอกและเงินแผงตลาด
“เอาไปเลยจ้าหนูโป๊ย ป้าให้” แม่ค้าตอบกลับเสียงสดใสแล้วหยิบเอาถุงหิ้วมารอใส่ขนมให้ฉัน
“ไม่ได้ค่ะ ของซื้อของขาย ถ้าป้าเป็นแบบนี้หนูจะงอนมาก” ฉันส่งยิ้มให้ป้าแล้วหยิบเอาขนมหวานใส่ถุงพร้อมจ่ายเงิน ระหว่างนี้ก็เดินดูอะไรไปเรื่อยเพราะต้องรอลุงลพไปซื้อของให้น้าเพ็ญอยู่ สายตาที่ให้ความสนใจแต่ของกินและซื้อทุกอย่างจนเต็มมือแทบถือไม่หมด จนรู้ตัวอีกก็เดินมาถึงท้ายตลาดที่เป็นลานจอดรถซะแล้ว…
ยืนรอตรงนี้ดีกว่าฉันเดินต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว วันนี้อากาศร้อนสุด ๆ!
พรึ่บ!
ของในมือวางลงบนเคาน์เตอร์ปูนของแผงร้านค้าที่หยุด บริเวณหลังตลาดเต็มไปรถยนต์และคนที่ไม่ได้เยอะมากเพราะลูกค้าที่มาเดินตลาด กำลังจับจ่ายกันอยู่โซนด้านหน้าซะส่วนใหญ่
ออกมายืนตรงนี้พอได้รับลมพัดผ่านค่อยรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่แล้วก็ต้องยกมือขึ้นปิดจมูกเพราะกลิ่นเหม็นเน่าที่ลอยมาตามลมปะทะเข้าหน้าอย่างจัง
“อื้อ! เหม็นอะไรเนี่ย ยังกับมีอะไรมาตายหรือเปล่า”