“ก่อนจะไปไหนมาไหน นี่จ้ะ...สร้อยน้าให้คนเอาไปทำให้แล้ว แต่พ่อเขาให้เปลี่ยนสร้อยให้ใหม่เลยนะ เส้นเก่าตะขอหายไปไหนก็ไม่รู้ รุนแรงมากเหมือนถูกกระชากเลย” น้าเพ็ญล้วงมือเข้ากระเป๋าเสื้อหยิบเอาสร้อยทองคำขาวเส้นใหญ่ ที่มีจี้ห้อยเป็นของ 2 สิ่งที่แม่ทิ้งเอาไว้ให้ฉันติดตัวมาให้
“ขอบคุณค่ะ” ฉันรับสร้อยเส้นนั้นคืนมากำเอาไว้แล้วยกขึ้นในระดับอก ความรู้สึกเหมือนได้แม่กลับมาอยู่ข้างตัวเหมือนเดิมอีกครั้ง
“มานี่มา เดี๋ยวน้าใส่ให้” น้าเพ็ญแบมือมาตรงหน้าเพื่อรับสร้อยไปใส่ให้อย่างที่บอก
ฉันวางของสิ่งนั้นลงบนมือจากนั้นก็หมุนตัวหันหลังให้อีกฝ่าย สายตามองตรงไปทางเบื้องหน้าทะลุผ่านกระจกหน้าต่างบานใหญ่ออกไป เห็นเข้ากับสไบที่กำลังวิ่งข้ามฝั่งมาทางบ้านฉันพร้อมพวกเด็กคนอื่นพอดี
“สไบมาแล้วจ้า ~” เสียงหวานดังขึ้นนำหน้าก่อนที่ตัวจะปรากฏขึ้นซะอีก ซึ่งจังหวะเดียวกันน้าเพ็ญได้ใส่สร้อยคอให้ฉันเสร็จเรียบร้อยพอดี
“มาเร็วจังเลยนะ เวลาพี่เรียกหาไม่เห็นจะเร็วเท่านี้เลย” วาฬพูดขึ้นแม้จะให้ความสนใจอยู่กับตู้ปลา ทำให้เด็กที่พึ่งมาถึงต่างตรงเข้าไปหาเขาพร้อมกัน
“อยู่นี่นี่เอง รู้มั้ยเมื่อกี้สไบเจอกับคนนั้นด้วยที่ชื่อต้นหญ้า” สไบเท้าเอวใส่วาฬ เรียกความสนใจให้ผู้ถูกสนทนาด้วยหันกลับมามอง
“มีญ่า” วาฬแก้ชื่อพร้อมยันตัวขึ้นยืนหลังตรงเต็มส่วนสูง หลุบตามองต่ำไปยังกลุ่มเด็กตรงหน้าที่สูงเพียงแค่ไหล่ของเขาเท่านั้น
“ไม่ชอบเลย ชอบมองเหมือนรังเกียจพวกเรา” อีกหนึ่งเสียงพูดแทรกเข้ามาทำให้ฉันกับวาฬมองไปที่เธอ
“เมื่อกี้ก็จะตามมาด้วย บอกจะไปหาพี่วาฬดีนะที่พวกเราวิ่งเร็วกว่า” และอีกคนพูดสมทบด้วยใบหน้าจริงจัง ฉันกับวาฬก็มองไปตามเสียงด้วยเช่นกัน
“สมกับที่ได้เหรียญกรีฑากีฬาสีปีที่แล้ว ไม่ให้มาหรอก...ไม่ชอบ” ตอนนี้เด็ก ๆ ที่เป็นลูกหลานคนงานบ้านของวาฬต่างพยักหน้าตามกันอย่างเห็นด้วย ซึ่งเรื่องนี้ตัววาฬเองก็รู้แต่เขาจะทำอะไรได้ ในเมื่อทางนั้นก็เป็นลูกหลานลูกศิษย์คนสำคัญของสำนัก
“พวกเธอไม่ชอบแต่พี่วาฬเขาชอบนะจ๊ะ” ฉันที่ยืนฟังอยู่นานพูดขึ้นในที่สุด แล้วยังหันไปสบตากับบุคคลที่ถูกพาดพิง
“ยังไม่ยี่สิบเลย คุกนะไอ้โป๊ย” วาฬรีบแก้ตัวทันที ปากบอกแบบนั้นแต่เดี๋ยวรอเขาถึงอายุที่เหมาะสมก่อนเถอะ
“คุกของมึงก็แค่คุกกี้นิ จำได้เคยพูดไว้...ขึ้นไปข้างบนไปเลือกของกันเถอะ” ฉันเลิกให้ความสนใจแล้วเปลี่ยนกลับมาสนใจสไบกับกลุ่มเพื่อนต่อ
“จะไปไหนกันเหรอ” และยังไม่ทันที่เราจะได้เดินไปไหน น้าเพ็ญที่ยืนอยู่ข้างฉันได้พูดขึ้นด้วยความสงสัย
“จะยกของให้เด็ก ๆ ค่ะน้าเพ็ญ ของที่ซื้อมายังไม่ได้ใช้พวกเสื้อผ้า กระเป๋า มีเครื่องสำอางอีกนะ” เยอะแยะไปหมดเลยของในห้องฉัน เยอะจนต้องมีห้องเก็บเสื้อผ้าแยกออกมาต่างหาก
“เมื่อเช้าที่พ่อให้คนไปขนของโป๊ยไปบ้านวาฬน้านึกว่าเอาไปให้เด็ก ๆ ซะอีก...อันนั้นไม่ใช่เหรอจ้ะ เยอะมากเลยนะ” น้าเพ็ญทำหน้าสงสัยเพราะเธอไม่รู้ว่าของส่วนนั้นคือของใช้ส่วนตัวสำหรับการไปอยู่บ้านวาฬชั่วคราว ซึ่งตัวเองเป็นคนจัดการเตรียมเอาไว้เพียงแค่สั่งให้คนงานช่วยขนไปเมื่อเช้า
นี่แหละปัญหา...การบอกใครไม่ได้ทำให้ต้องหาคำโกหกต่อผู้ใหญ่ ไม่เข้าใจพ่อเลยว่าทำไมถึงห้ามบอกใครแม้กระทั่งน้าเพ็ญ
“อันนั้นก็ใช่ครับ แต่เป็นของที่จะเอาไปบริจาคกับมูลนิธิที่ลูกศิษย์เขามาขอเอาไว้” ยังไม่ทันที่ฉันจะคิดคำอธิบายออก วาฬได้เป็นผู้จัดการทุกอย่างให้และพูดไม่แสดงออกถึงพิรุธแม้แต่นิดเดียว
“ออ แบบนี้นี่เอง” น้าเพ็ญพยักหน้าอย่างเข้าใจ เมื่อวาฬเปิดมาแบบนี้จึงนึกขึ้นมาได้ว่าฉันยังไม่ได้บอกน้าเพ็ญเลยว่าจะไม่ได้นอนที่บ้านช่วงหนึ่ง
“ช่วงนี้โป๊ยมีงานต้องจัดการเยอะมาก ๆ เลยจะไม่ค่อยได้กลับโป๊ยบอกพ่อเอาไว้แล้วแหละ จะไปให้วาฬช่วยทำงาน” นิ้วเรียวยกชี้ไปทางเพื่อนตัวเองที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม คนหัวไวอย่างวาฬรับมุกทันอยู่แล้วแหละ
“ไม่ได้ช่วยฟรี ทำงานต้องได้เงิน” วาฬพูดจบก็เดินนำหน้าทุกคนไปทางบันไดเพื่อขึ้นไปชั้นบน การกระทำนั้นมันคือการตัดบทที่ดึงให้ฉันต้องตามเขาไปโดยไม่ต้องพูดอะไรกับน้าเพ็ญอีก
“ก็ตกลงแล้วไงว่าจะจ่ายเงินค่าจ้าง ไอ้หน้าเลือด” ปากก็ด่าเพื่อนเท้าก็เดินตามหลังไม่ยอมห่าง และเมื่อฉันเดินไปแล้วพวกเด็ก ๆ ก็รีบเดินตามมาด้วยเช่นเดียวกัน
ลุงวิทกับพ่อถือว่าเลือกคนไม่ผิดดีแฮะ นอกจากจะต้องพึ่งดวงของวาฬแล้วยังต้องพึ่งการเอาตัวรอดจากความช่างสงสัยของคนอื่นอีกด้วย หัวไวแต่อยากจะพูดอะไรก็พูดออกมาเราทั้งคู่จึงต้องตั้งรับกันให้ดี...
2 ชั่วโมงต่อมา ณ ห้องนอนของวาฬ
“ห้ามแม้กระทั่งกินข้าวที่บ้านเลยเหรอ”
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเป็นปมกับสิ่งที่ตัวเองได้รับรู้ สายตาจ้องมองร่างที่นอนเหยียดยาวเล่นเกมอยู่บนเตียง หลังจากที่วาฬกลับมาจากการถูกลุงวิทเรียกไปหาหลังมื้ออาหารเย็น ที่วันนี้มีฉันเข้าร่วมโต๊ะกับบ้านของวาฬด้วย เหมือนว่าตัวเองจะได้เรื่องที่ต้องปฏิบัติตามเพิ่มเข้ามาอีก
“อือ หิวเมื่อไหร่บอกแม่บ้านที่นี่ได้เลยเดี๋ยวจะมีคนเตรียมให้ไม่ต้องเกรงใจ ช่วงนี้อย่าพึ่งกินอะไรที่มาจากบ้านตัวเองก็แค่นั้น” แม้ว่าปากจะพูดกับฉันแต่สายตายังคงให้ความสนใจหน้าจอโทรศัพท์
“ถ้าทำแบบนั้นน้าเพ็ญจะเสียใจนะ” น้าเพ็ญทำกับข้าวรสชาติเหมือนแม่ที่สุดแล้ว น้ำหนักฉันต้องลดลงแน่ ๆ กินข้าวที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่าที่บ้านหรอก
“ก็แค่ไม่กี่เดือน” มันก็จริงอย่างที่วาฬพูดแค่ไม่กี่เดือน...อดทนเอาไว้โป๊ยเซียน ทำให้พ่อสบายใจก็พอแล้ว
“ต้องทำอะไรบ้างนะ...อยู่กับมึง อย่ากินข้าวที่บ้าน”
“อือ”
“แล้วถ้ามึงต้องไปหาเด็ก จะต้องไปนั่งรอที่โรงแรมมั้ย” แขนเรียวยกขึ้นกอดอกและสิ้นเสียงคำถามของฉัน วาฬก็ละสายตาจะเกมมามองสบตาพอดี
“ก็อยู่บ้าน”
“ไม่ได้สิ เราต้องอยู่ด้วยกัน” ฉันเอียงคอมองหน้าเพื่อน สายตาที่เต็มไปด้วยความคิดพยายามหาวิธีแก้ปัญหา
“จะนั่งบนหัวเตียงเลยมั้ย” วาฬพูดประชดกลับมาแม้จะเป็นการประชดแต่คิดว่าฉันจะไม่กล้าเหรอ
“นั่งได้นะไม่ติด ดูได้ตั้งแต่เริ่มยันจบ”
นี่ระดับผู้ชำนาญการทางพิเศษทฤษฎีเชียวนะ เรื่องแบบนี้ผ่านตามานับไม่ถ้วนจากการดูคลิปที่ไม่ซ้ำในแต่ละวัน...