บทที่ 8
หลายชั่วโมงผ่านไป...
Rrrr
ครืดดดดดดด ครืดดดดดดด
ครืดดดดดดดด ครืดดดดดดดดด
“ใครแม่งโทรมาตอนนี้ว่ะ”
ติ๊ิด.
“มีใครตายรึไงว่ะ โทรทำเหี้ยอะไรนักหนา!!”
“มึงก็จัดการไปเลยสิวะ”
“ฉิบ น่ารำคาญฉิบหาย เออ!! บอกมันเดี๋ยวกูเข้าไป”
ตุบ!
ฉันสะดุ้งตื่นทันทีหลังจากที่ได้ยินเสียงไซเรนกำลังคุยกับใครสักคนด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูหงุดหงิด และตามด้วยเสียงโยนอะไรสักอย่างลงบนโต๊ะข้างเตียงหลังจากที่เขาคุยเสร็จ
ก่อนที่ฉันจะรู้สึกว่าเขาลุกออกจากเตียงไปไหนสักแห่งในห้องนอน จนเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ฉันก็ได้ยินเสียงเท้าหนักๆ ของเขาเดินกลับมาที่เตียงนอนอีกครั้งเหมือนมาหยิบอะไรสักอย่าง แล้วเดินออกไป ไม่นานก็ได้ยินเสียงเปิดและปิดประตูห้องดังขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันมาจากข้างนอก
ซึ่งบ่งบอกได้ว่าเขาไม่ได้อยู่ในห้องนี้แล้ว และฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาออกไปไหน ออกไปทำอะไร....
หลังจากที่ไซเรนเดินออกไปแล้ว ฉันก็ลุกขึ้นมานั่งตรงขอบเตียงด้วยสภาพร่างกายที่...เหมือนคนโดนรุมโทรมก็ไม่ปาน
ใช่ มันต้องใช้คำนั้นแหละเพราะหลังจากที่ฉันเผลอปล่อยเสียงเล็ดลอดออกไปหายนะจากไซเรนก็เข้ามาครอบงำทันที หมอนั้นมันแทบจะทำให้ฉันขาถ่างตามที่ปากว่าจริงๆ ส่วนร่างกายของฉันตอนนี้ไม่ต้องอธิบายอะไรไปมากกว่าความปวดและแสบตรงนั้นเถอะเพราะมันทั้งเจ็บและแสบไปหมดแถมยังรู้สึกตัวรุ่มๆ เหมือนไข้จะขึ้นด้วย แต่ไม่พอแค่นั้นเมื่อสายตาของฉันดันเหลือบไปเห็นสภาพห้องนอนของฉันตอนนี้ก็ต้องตกใจขึ้นมากว่าเดิม เพราะมันไม่ต่างจากการทำสงครามในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองเลยเถอะ
บนพื้นที่เต็มไปด้วยเศษเสื้อผ้า ชุดชั้นในที่ฉีกขาดของฉันและเสื้อผ้าของเขาที่ถอดทิ้งไว้กระจัดกระจายเกลื่อนเต็มพื้นไปหมดทำเอาฉันนึกถึงภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้แทบไม่ทัน
ใช่ เขามันเป็นผู้ชายที่ร้ายกาจเกินไป ร้ายกาจกว่าครั้งไหน ๆ ที่ฉันเคยได้สัมผัส รวมถึงสีหน้าแววตาที่ฉันได้เห็นวันนี้ก็ทำให้ฉันรู้แล้วว่าเขามันก็เป็นผู้ชายที่ป่าเถื่อนคนหนึ่งได้เหมือนกัน เขามีแต่ความป่าเถื่อนรุนแรง และเขาก็เลือกที่จะกระทำรุนแรงกับฉันเหมือนฉันไม่มีความรู้สึกมากกว่าการพูดจาดีๆ อย่างที่ควรจะทำ....
ติ๊งน่อง ติ๊งน่อง~
เสียงกดอ๊อดหน้าห้องทำให้ฉันหลุดจากภวังค์ที่กำลังคิดอยู่เมื่อกี้ ก่อนจะหันไปทางประตูห้องนอนอย่างเหนื่อยหน่าย ฉันเหนื่อย ฉันไม่อยากลุกออกไปไหน แต่เสียงอ๊อดหน้าห้องก็ดังไม่หยุด
สุดท้ายฉันจึงต้องค่อยๆ ลุกออกจากเตียงไปแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนจะพยายามข่มความเจ็บปวดตรงส่วนนั้นเอาไว้แล้วเดินออกไปดูที่หน้าจอข้างประตูว่าใครมาหา...
พรึบ!
“กว่าจะมาเปิดประตู ถามจริงเธอหายไปไหนทั้งวันว่ะเอวา โทรไปก็ไม่รับสาย แถมพอโทรอีกรอบก็โทรไม่ติดอีก”
ทันทีที่ฉันเปิดประตูห้องเดเนียลก็ยิ่งคำถามเป็นประโยคยาวเหยียดทันที
ใช่ค่ะ คนที่มากดอ๊อดหน้าห้องของฉันคือเดเนียล และตอนนี้เขาก็ยืนทำหน้าตึงอยู่ตรงหน้าฉันด้วย มันคงจะหงุดหงิดมากที่วันนี้ฉันหายไปทั้งวันแถมโทรไม่ติดอีก จะให้โทรติดได้ไงก็โทรศัพท์มือถือฉันมันพังไปแล้วนี่ พอคิดถึงเรื่องนี้ก็ทำเอาฉันอยากจะฆ่าไอ้บ้าไซเรนเหมือนกัน
“นายมีอะไรรึเปล่า”
“ยังจะมาถามฉันอีกเหรอว่ะ ก็วันนี้เรานัดกันว่าจะไปรับรถของเธอไง แล้วเธอหายไปไหนมา ฉันมากดอ๊อดก็ไม่มีคนมาเปิดประตูให้”
“ขอโทษพอดีฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายอะ”
“จริงดิ แล้วเป็นอะไรมากปะ” เดเนียลพูดพร้อมกับยกมือขึ้นมาอังหน้าผากของฉันเพื่อเช็กอุณหภูมิร่างกาย
“เออว่ะ ตัวเธอรุ่มๆ จริงด้วย แล้วกินข้าวกินยายัง” ฉันก้มหน้าส่ายหัวไปมาให้เดเนียล เริ่มจะทรงตัวไม่อยู่ เอาจริง ๆ ฉันไม่มีแรงเพราะยังไม่ได้กินอะไรด้วย
“งั้นรออยู่ที่ห้อง เดี๋ยวฉันไปซื้อยากับข้าวให้” เดเนียลพูดจบมันก็เตรียมจะเดินออกไปทันที แต่ฉันรีบดึงแขนมันไว้ก่อน...
พรึบ!
“มีอะไร”
“ฉันอยากออกไปกินข้าวต้มร้านข้างทางที่อยู่ไม่ไกลจากคอนโดอะ”
“เธอไม่สบายอยู่ จะออกไปตากลมตากน้ำค้างให้ไข้ขึ้นกว่าเดิมทำไมวะเอวา ไม่ต้องไป เดี๋ยวฉันไปซื้อมาให้” พูดจบเดเนียลก็เตรียมจะเดินออกไปอีกครั้ง แต่ฉันก็ฉุดแขนมันไว้เหมือนเดิม จนมันหันมาเลิกคิ้วใส่ฉัน...
“ฉันอยากไปด้วย ฉันอยากออกไปกินข้างนอกอะ...นะ”
“จิ๊ เธอนี่มันโคตรดื้อฉิบหายเลยว่ะเอวา เป็นเมียฉันเมื่อไหร่เธอไม่ได้ดื้อแบบนี้แน่”
“เมียบ้าอะไรล่ะ” พูดจบฉันก็รีบเดินนำเดเนียลออกไปเลย เพราะฉันไม่อยากยืนมองหน้ามันที่ทำสีหน้าจริงจังตอนพูดประโยคท้ายเมื่อกี้
ไม่รู้สิฉันแค่รู้สึกแปลกที่โดนมันรุกแบบนั้น จึงต้องรีบเดินออกมา แต่ด้วยสังขารของตัวเองตอนนี้ไม่สามารถจะเดินเร็วได้เพราะจะทำให้เจ็บตรงส่วนนั่น ฉันเลยต้องค่อยๆ เดินจากที่เดินเร็วๆ เมื่อกี้ฉันก็เปลี่ยนเป็นเดินช้าลงกว่าตอนแรก จนเดเนียลที่เดินอยู่ข้างหลังทักขึ้นมา...
“แล้วทำไมเดินช้าแบบนั้นว่ะ” ฉันชะงักเท้าตัวเองแล้วหันไปมองหน้าเดเนียล ก่อนที่จะตอบมันไปแบบปัดๆ
“เอ๋อ ฉันลื่นล้มในห้องน้ำอะ ก็เลยต้องเดินช้าๆ เพราะเจ็บเท้ากับสะโพกอยู่” มันโคตรจะไม่สมเหตุสมผลเลยใช่ไหมที่โกหกไปแบบนั้นเดเนียลมันถึงมองฉันด้วยสีหน้าแปลกๆ แบบ...มันใช่อ้อว่ะ
แต่คือตอนนี้ฉันนึกคำโกหกแบบอื่นไม่ออกแล้วไง นอกจากลื่นในห้องน้ำอะ
พรึบ!
แต่อยู่ ๆ เดเนียลก็เดินเข้ามาหาฉันพร้อมกับทำในสิ่งที่ทำให้หน้าฉันเหว่อด้วยการอุ้มฉันในท่าเจ้าสาวขึ้นมา
“เดเนียล!”
“ดื้อแล้วยังซุ่มซ่ามอีก” แต่นอกจากมันจะไม่ตกใจกับสีหน้าของฉันตอนนี้แล้วมันยังก้มหน้ามาว่าฉันหน้าดุอีกด้วยนะ นี่มันซึนปะเนี่ย
“ก็มันเป็นอุบัติเหตุอะ” ฉันเลยต้องตอบมันหน้านิ่ง ก่อนจะสบตากับนัยน์ตาเจ้าชูของมันอย่างตรงไปตรงมา แต่สุดท้ายฉันก็เบือนหน้าหนีเมื่อเริ่มรู้สึกว่าตัวเองจะเผลอยิ้มออกไป
“หึ” ฉันได้ยินเดเนียลมันส่งเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ ก็เลยหันขวับไปมองมันอีกครั้ง แต่เห็นมันเลิกคิ้วใส่แบบกวนๆก็เลยทำหน้าตึงใส่มันกลับไปก่อนจะหันกลับไปทางเดิมส่วนเดเนียลก็อุ้มฉันเดินเข้าไปในลิฟต์
“ถ้านายหนักก็วางได้น่ะ” ฉันพูดกับเดเนียลที่ยังอุ้มฉันอยู่
“ตัวเบาอย่างกะเด็กสามขวบเอาอะไรมาหนัก”
“นี่!! นี่นายกำลังด่าฉันว่าน้ำหนักไม่ถึงเกณฑ์ใช่ไหมหะ” หลังจากที่ได้ยินมันพูดฉันก็ตีหน้ายักษ์ใส่มันทันที หน่อย!กล้าดียังไงมาว่าฉันน้ำหนักเหมือนเด็กสามขวบ
“หึ ฉันไม่ได้พูด เธอคิดเองเออเองต่างหาก”
“จิ๊ แต่สีหน้านายมันฟ้องไงเดเนียล”
“เหรอว่ะ...ฉันเป็นพวกเก็บอาการไม่ค่อยอยู่อะ โทษทีนะ”
ติ๊ง.
ฉันที่กำลังจะอ้าปากเถียงมันอีกรอบก็ต้องหยุดชะงักไว้เพราะประตูลิฟต์เปิดออกพอดี มันเลยรอดไป ไม่งั้นหูมันชาแน่ที่มาว่าฉัน!
ภายในรถ
เดเนียลกำลังขับรถออกจากคอนโดเพื่อไปที่ร้านข้าวต้มที่ฉันบอกมันว่าจะไปกิน ใช้เวลาไม่นานมันก็ขับรถมาถึงร้านที่ฉันบอกพอดี ซึ่งย่านนี้มันจะมีของกินเยอะมากและร้านค้าก็มีหลากหลายให้เราเลือกด้วย ถือว่าเป็นสวรรค์สำหรับคนชอบกินเลยละ
“ร้านไหนวะ มีตั้งหลายร้าน” เดเนียลถามฉันในขณะที่สายตามันก็มองหาร้านข้าวต้มที่ฉันบอก
“ร้านที่ชื่อป้านวลข้าวต้มอะ” ฉันตอบมันไป มันจึงใช้สายตาสอดส่องหาร้านที่ฉันว่า ก่อนที่มันจะบ่นออกมา...
“คนเยอะฉิบหาย ชาตินี้จะได้กินไหมว่ะ”
“ได้กินชาตินี้แหละ ถ้านายรีบไปหาที่จอดรถแล้วเลิกบ่นเป็นผู้หญิงเข้าวัยทองสักที”
“ก็มันจริงนี่หว่า คนเยอะขนาดนั้นกว่าจะได้กินก็รอจนไส้แห้งกันพอดี”
เดเนียลมันก็ยังบ่นไม่หยุดในขณะที่มันก็หาที่จอดรถไปด้วย พอได้ที่จอดแล้วมันก็ถอยรถด้วยความชำนาญในการควงพวงมาลัยรถด้วยมือข้างเดียวของมันส่วนมืออีกข้างก็พาดไว้ที่หัวเบาะที่ฉันนั่งอยู่พร้อมกับเอี่ยวใบหน้ามองด้านหลังเพื่อถอยรถเข้าที่จอดข้างทางให้เรียบร้อย ก่อนที่มันจะดับเครื่องยนต์แล้วเดินลงจากรถ
“ต้องให้อุ้มอีกปะ” มันถามฉันที่ยืนอยู่ข้างๆมัน
“อุ้มบ้าอะไรล่ะ คนในร้านจะได้คิดว่าฉันเป็นง่อยพอดีที่ต้องให้นายอุ้มข้ามถนนเดินเข้าร้านอะ”
“หึ ก็ดีน่ะ ฉันจะได้ไม่มีคู่แข่งมาจีบเธอไง เพราะไม่มีใครอยากได้แฟนง่อยไปเป็นภาระ แต่ฉันโอเคน่ะเพราะฉันรับได้ทุกอย่างที่เป็นเธอ” ใจฉันสั่นขึ้นมาทันทีที่ได้ยินประโยคหลังของเดเนียลมัน ไม่รู้สิ มันให้ความรู้สึกที่ดีและอบอุ่นขึ้นมาแปลกๆ อาจจะเป็นเพราะว่าฉันไม่เคยได้รับคำพูดดีๆ แบบนี้จากใครบางคนด้วยมั้ง...เลยหวั่นไหวง่ายไปหน่อย
“ยืนอึ้งอะไรล่ะ จะกินไหมข้าวต้มอะ เดี๋ยวก็ไม่มีโต๊ะนั่งกินกันพอดี” เดเนียลว่าขึ้นหลังจากที่เห็นฉันยืนนิ่งกับคำพูดของมันเมื่อกี้นี้
“จิ๊ ก็เพราะนายนั่นแหละที่มัวแต่ยืนคุยอยู่ได้” ฉันเลยหันไปแวดเสียงใส่เดเนียลอย่างหงุดหงิด ก่อนที่จะค่อยๆ เดินข้ามถนนที่มีรถส่วนทางกันไปมาตลอดเวลา จนสักพักก็รู้สึกถึงท่อนแขนแกร่งที่เดินมาโอบเอวฉันไว้ ฉันเลยเงยหน้าขึ้นไปคนที่มันเดินมาโอบเอวฉันไว้
“มองอะไร ฉันก็แค่กลัวเธอโดนรถชนตายซะก่อน เดี๋ยวเที่ยวมาหลอกมาหลอนฉันให้ถวายข้าวต้มเช้าเย็นอีก”
“...” เหอะ! ฉันละเกลียดสีหน้าลอยหน้าลอยตาของมันตอนนี้มากเลยอะ เห็นฉันยอมหน่อยละเอาใหญ่ แต่ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรมันไง ปล่อยให้มันโอบเอวไปเพราะถ้าเอากันจริงๆฉันก็กลัวว่าจะถูกรถชนจริงๆเหมือนกัน
“หึ”
@ร้านป้านวลข้าวต้ม
หลังจากที่ข้ามถนนมาได้ ฉันกับเดเนียลก็เดินเข้ามานั่งที่โต๊ะหน้ารถเข็นขายข้าวต้มของป้านวล ซึ่งบรรยากาศตอนนี้คนเยอะมากมีทั้งคนรอต่อคิวซื้อกลับบ้านและนั่งรอที่โต๊ะแบบฉัน อีกทั้งยังได้ยินเสียงตะโกนนู่นนี่นั้นของป้าแกที่กำลังเรียกลูกน้องให้ไปเสิร์ฟออร์เดอร์ตามโต๊ะต่างๆ ของลูกค้าอีก
เออมันก็ชุลมุนวุ่นวายดี แต่ให้ทำไงได้อะเจ้านี้อร่อยสุดในย่านนี้แล้วอะ คนถึงเยอะทุกวันไง....
“ข้าวต้มสองที่ได้แล้วจ้าแม่หนู”
“ขอบคุณคร้า~”
หลังจากที่มีลุงสามีของป้าแกมาเสิร์ฟข้าวต้มแล้วฉันก็รีบจัดแจงข้าวต้มอีกชามหนึ่งให้เดเนียลทันที...
แต่อยู่ ๆ เดเนียลมันก็ลุกเดินออกจากร้านไปโดยที่ไม่ได้บอกไม่ได้กล้าวฉันพร้อมกับข้ามถนนไปอีกฝั่งที่มีรถของมันจอดอยู่ ฉันก็ได้แต่นั่งสงสัยว่ามันจะข้ามถนนไปที่รถทำไม จนกระทั่งมันข้ามถนนกลับมาพร้อมกับของบางอย่างในมือ แต่ฉันเห็นไม่ชัดเลยเลิกสนใจมันแล้วก้มหน้ากินข้าวต้มตรงหน้าต่อไป...
พรึบ! เสียงเดนียลนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามฉัน
“อะ เอาผ้าห่มไปปิดขาอ่อนเธอด้วย แล้วก็ใส่เสื้อแจ็คเก็ตคลุมไว้ด้วย รู้ว่าตัวเองไม่สบายแล้วยังจะใส่กางเกงขาสั้นอีก แล้วเสื้ออะจะใส่ทำไมวะตัวบางขนาดนั้น”
เดเนียลยื่นผ้าห่มขนาดเล็กพร้อมกับถอดเสื้อแจ็คเก็ตสีดำที่มันใส่อยู่ออกมาให้ฉันใส่แทน ตามด้วยเสียงบ่นกระปอดกระแปดทิ้งท้ายของมัน ก่อนที่มันจะหันไปกินข้าวต้มตัวเองด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ทำเหมือนเมื่อกี้ไม่ได้พูดอะไรกับฉัน
เออดูเป็นห่วงแบบแปลกๆดีเหมือนกันแฮะ
“ขอบใจ” ฉันเลยรับมาปิดขาอ่อนพร้อมกับเอ่ยขอบใจด้วยน้ำเสียงแข็งๆ ใส่มัน ก็รำคาญมันอะบ่นอยู่ได้
“อืม...รีบกินจะได้กลับไปนอนพักต่อ มัวแต่นั่งตากน้ำค้างอยู่เนี้ย เดี๋ยวไข้ก็ขึ้นกันพอดี”
ฉันนั่งมองเดเนียลมันนั่งบ่นฉันในขณะที่มันกำลังกินข้าวต้มไปด้วย แต่พอจ้องหน้ามันนานๆ ฉันก็อยากจะขำมันน่ะ ก็มันเป็นผู้ชายที่มีรอยสักที่แขน แล้วหน้าออกจะนิ่งๆ ดุๆ สไตล์เด็กวิศวะอะ แต่ปากนี่โคตรจัดเลยอะ ขี้บ่นมาก ก.ไก่ล้านตัวบอกเลย
เป็นผู้ชายที่หล่อนะแต่แอบแปลกไปหน่อย
“มองอะไรวะ” มันเงยหน้าถามฉันด้วยสีหน้านิ่งๆ
“เปล่า แค่นั่งมองผู้ชายขี้บ่นเป็นยายแก่ๆ อยู่อะ”
“หึ แล้วที่บ่นเพราะเป็นห่วงไหมว่ะ” ฉันชะงักมือตัวเองที่กำลังกวนข้าวต้มอยู่ทันทีที่เดเนียลพูดแบบนั้นพร้อมกับเงยหน้าไปสบตามัน ก่อนที่มันจะ....
ป๊อก!
“โอ๊ย ไอ้บ้า! นายมาดีดหน้าผากฉันทำไมหะ!”
“ก็มัวแต่จ้องหน้าฉันอยู่ได้ จะกินไหมข้าวต้มอะ”
“กินสิ” หลังจากที่มันดีดหน้าผากฉันแล้ว ฉันก็ได้แต่ยกมือขึ้นมาลูบหน้าผากตัวเองปอยๆ ด้วยสีหน้ามู่ทู่ของตัวเองเพราะยังเจ็บอยู่ ก่อนจะยกช้อนป้อนข้าวต้มเข้าปากตัวเองอย่างขึงขัง....
@คอนโดเอวา
“ขอบใจที่พาไปเลี้ยงข้าวต้มให้ฉันน่ะ”
“อืม...ถ้าไม่อยากให้ฉันขึ้นไปส่งก็รีบเดินขึ้นห้องไปซะ แล้วอย่าลืมกินยาด้วย ถ้ารู้สึกไม่ดีขึ้นก็โทรมาละกัน”
“โอเค งั้นนายก็ขับรถกลับดีๆละกัน”
“อืม”
พอฉันพูดจบฉันก็หันไปเปิดประตูลงจากรถทันที ก่อนจะยืนส่งเดเนียลขับรถออกไป พอรถของเดเนียลพ้นสายตาแล้วฉันจึงหมุนตัวค่อยๆ เดินเข้าไปในตึกแล้วกดขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นของตัวเอง...
ติ๊ด ติ๊ด พรึ่บ!
หลังจากที่เดินมาถึงห้องฉันก็จัดการกดรหัสประตูแล้วเปิดเข้าไปในเวลาต่อมา ก่อนจะถอดรองเท้าเก็บไว้ในตู้แล้วเปลี่ยนเป็นรองเท้าใส่ในบ้านแทน จากนั้นก็เดินตรงเลี้ยวเข้าไปในห้องนอนทันที...
“เธอไปไหนมาเอวา”
กึก!