คนในเรือนต่างก็กระวนกระวายใจ เมื่อเห็นหลานชายคนเดียวกระอักเลือดออกมา พวกเขาจึงพุ่งเป้ามายังหญิงสาวที่นำยามาให้ ซึ่งยามนี้ฮุ่ยอันก็ไม่ได้หนีหายไปไหน
“ใจเย็นเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวไห่ถังก็ฟื้น เพราะเลือดพิษออกมาแล้ว จากนั้นต้มยากินสองสามวันก็หายเจ้าค่ะ”
“เจ้าไม่ใช่หมอนะ ทำตัวสู่รู้จนทำให้ผู้อื่นเกือบตายเห็นหรือไม่” น้องสาวคนป่วยตวาดลั่นเรือน นางไม่เชื่อว่าฮุ่ยอันจะรักษาคนเป็น ภาพที่เห็นเมื่อครู่มันก็ชัดแจ้งแล้วว่ายาที่นางปรุงมันไม่ได้ผล เพราะคนป่วยถึงกับกระอักเลือดออกมา
“หมิ่นเอ๋อร์อย่าเสียมารยาท พี่รู้สึกโล่งขึ้นแล้ว ขอบคุณพี่ฮุ่ยอันที่ช่วยชีวิตข้า ก่อนนี้ข้าทรมานมากเหลือเกิน” คนป่วยเอ่ยบอก พร้อมกับพยายามคำนับผู้มีพระคุณ
“ไม่เป็นไร เจ้าอาการดีขึ้นก็ดีแล้ว ท่านป้าอย่าลืมต้มยาที่ข้าเตรียมไว้ให้นะ รอดูอาการอีกสักวันสองวัน ข้าเชื่อว่ายานี้ได้ผล” เอ่ยจบนางก็ขอตัวกลับ เพื่อไปปรุงยาขึ้นมาอีก
“ฮุ่ยอันเจ้ายังมียาเหลืออีกหรือไม่” ชายแก่รีบเดินตามหลัง และยังมีอีกหลายคนที่อยากสอบถามนางเรื่องนี้
“มีเจ้าค่ะ ถ้าท่านลุงท่านป้าอยากได้ก็ตามข้ามาแล้วกัน แต่ถ้ายังไม่เชื่อจะรอดูอาการของไห่ถังก่อนก็ได้” นางบอกทุกคนให้เข้าใจ เพราะรู้ดีว่าตนยังใหม่ในหมู่บ้านนี้
ผู้ที่ตามมาจึงหันไปหารือกันว่าจะเอาอย่างไรต่อ เพราะไม่รู้ว่าการรักษาของสตรีนางนี้จะได้ผลจริง ๆ หรือไม่ แม้ว่าอาการของไห่ถังจะดีขึ้น ทว่าต่อจากนี้ไม่รู้จะเป็นเช่นไร บางคนจึงรออย่างที่นางบอก บางคนก็ไม่อยากรอนางจึงจ่ายยาให้
สามวันต่อมา
ข่าวการรักษาของหมอหญิงก็แพร่สะพัดไปทั่วตำบล มีผู้คนมากมายมาขอซื้อยาจากนาง ฮุ่ยอันก็ขายให้ในราคาถูก เพราะสูตรการปรุงนั้นไม่ได้ซับซ้อนอันใด ในที่สุดเรื่องก็ถึงหูรุ่ยอ๋องและหวังอวี้โหว ตามมาด้วยคำสั่งเรียกตัวนางให้มาพบ
ฮุ่ยอันหยุดยืนที่หน้าทางเข้าห้องโถงของเรือนรับรอง ภายในใจหวั่นกลัวอยู่ไม่น้อย เพราะผู้ที่อยู่ด้านในคือเจ้าของจวนที่นางเคยอยู่อาศัย 'เอาเถอะ อย่างไรเสียเรากับเขาก็ไม่เคยพบหน้ากัน เขาไม่รู้หรอกว่าเราเป็นใคร’ นึกแล้วก็ก้าวเข้าไปด้านใน ทว่าพอเห็นบุรุษที่นั่งอยู่มุมขวา ฮุ่ยอันก็ชะงักเท้าทันที
‘พี่ชายคนนั้นนี่ เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน’ ดวงตาสวยยังคงจับจ้องที่บุรุษหน้าตาดี ที่เคยพบกันเมื่อเดือนก่อน
“ไม่ต้องกลัวเข้ามาเถิด” เฟิงหรานเอ่ยเรียกสตรีที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตู ท่าทางนางประหม่าอย่างเห็นได้ชัด มันก็ไม่แปลกหรอก เพราะทั้งเขาและสหายต่างก็มีสีหน้าเคร่งเครียดพอกัน
“นี่คือแม่นางฮุ่ยอัน ท่านหมอที่รักษาคนป่วยหายพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์หนุ่มรายงานผู้เป็นนาย ก่อนจะหันมาเอ่ยกับผู้ที่ตนพามา “นี่คือรุ่ยอ๋อง ส่วนผู้ที่นั่งอยู่ทางด้านขวาคือหวังอวี้โหว” แนะนำเสร็จองครักษ์หนุ่มก็เดินไปยืนข้างผู้เป็นนาย
ฮุ่ยอันยืนตัวแข็งทื่อเมื่อได้รู้ว่าผู้ที่นั่งอยู่คือใคร ‘ซวยล่ะ เขาคือหวังอวี้โหวงั้นเหรอ ตายแน่! เราเป่ายาสลบใส่เขาจนล้มทั้งยืน มิหนำซ้ำยังขโมยเงินมาอีก ไม่สิ! มันเป็นเงินที่เราควรได้ แกไม่ได้ขโมยสักหน่อยฮุ่ยอัน’ หมอหญิงยืนเถียงตนเองอยู่ในภวังค์ จนลืมไปว่าตนกำลังถูกสายตาหลายคู่จับจ้อง
“ท่านหมอไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ ไยถึงยืนนิ่งไม่คารวะรุ่ยอ๋องและท่านโหว” องครักษ์หนุ่มเอ่ยเตือนสติ เมื่อเห็นสตรีหนึ่งเดียวในห้องยังคงยืนนิ่งไม่ยอมขยับหรือกล่าวอันใด
“หา!...อะ…เออ…ขะ…ขออภัยเพคะ” เมื่อถูกตำหนินางก็ได้สติ ก่อนจะรีบย่อตัวแล้วเอ่ยวาจาอ่อนน้อม
“ถวายพระพรรุ่ยอ๋อง คาระวะท่านโหวเจ้าค่ะ”
“ตามสบายเถอะ เจ้าคงรู้แล้วว่าที่ข้าเรียกมาในครานี้เพราะเหตุใด” เฟิงหรานเอ่ยเสียงทุ้มอย่างเป็นมิตร ดวงตาคมกริบกำลังสนใจใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผ้าสีขาวนี้มากกว่า
“เพคะ” ตอบออกไปสั้น ๆ ยามนี้นางกำลังลอบสังเกตุบุรุษอีกคนที่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จาทำหน้าเคร่งขรึมจนนางเริ่มหวั่น ปกติเขาก็เป็นเช่นนี้สินะ เจ้ายศเจ้าอย่างถือตัวเสียจริง
“ข้าได้ยินว่าเจ้ามีวิธีรักษาโรคระบาดใช่หรือไม่” รุ่ยอ๋องยังถามต่อ และเดินเข้ามาใกล้นางด้วย
“เพคะ ทว่าอาการป่วยที่ทุกคนเป็นอยู่ในยามนี้ มิได้เกิดจากโรคระบาด แต่มันคือพิษที่มากับน้ำ สาเหตุที่ทำให้มีคนป่วยมากมาย ก็เพราะชาวบ้านต่างก็กินใช้แม่น้ำสายหลักนี้เพคะ ไม่ใช่เพราะป่วยแล้วติดต่อกันอย่างที่เราเข้าใจ” เอ่ยบอกไปตามจริง เพราะนี่คือหนทางเดียวที่จะช่วยชาวบ้านที่ล้มป่วยทั่วทุกมุมเมืองได้ เพราะตอนนี้ไม่ใช่แค่เมืองชวาเท่านั้นที่มีผู้คนล้มตายเพราะพิษร้าย ยังมีราษฎรอีกห้าเมืองที่สายน้ำนี้ไหลผ่าน พวกเขาต่างก็ล้มป่วยโดยมีลักษณะอาการเดียวกัน
“น้ำหรือ? เจ้าแน่ใจนะว่ามันไม่ใช่โรคระบาด”
“เพคะ หม่อมฉันปรุงยาถอนพิษแจกจ่ายให้คนในหมู่บ้านและตำบลใกล้เคียงในเมืองชวาแล้ว ทุกคนอาการดีขึ้นมาก บางรายก็หายเป็นปกติดีแล้วเพคะ” สิ่งที่ฮุ่ยอันเอ่ย พวกเขาได้รับรายงานแล้ว เพราะเหตุนี้จึงเรียกตัวนางมาพบ
“ก็ดี จากนี้เจ้าก็อยู่ปรุงยาถอนพิษที่นี่ จนกว่าคนป่วยจะดีขึ้นทุกคนแล้วกัน” ผู้ที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นบ้าง น้ำเสียงเขาห้วนอย่างเห็นได้ชัด เป็นเพราะสังเกตุดูท่าทางของสตรีผู้นี้แล้วมันขัดตา ทั้งที่รุ่ยอ๋องเดินเข้าใกล้ถึงเพียงนั้นนางก็ยังไม่ขยับออก การกระทำเช่นนี้คงหวังจะจับผู้สูงศักดิ์กระมัง
คิ้วสวยผูกกันเป็นปมทันที เหลือบมองผู้ที่นั่งจ้องนางเขม็ง ‘คนบ้านี่ ทำไมนิสัยแย่จัง อยากให้ช่วยก็พูดดีดีไม่เป็นหรือไง’
“เช่นนั้นก็เอาตามที่ท่านโหวว่าแล้วกัน เจ้าคงไม่ขัดนะ” เอ่ยพร้อมกับโน้มใบหน้าลงมาหา คราวนี้เองที่ฮุ่ยอันผงะถอยหลังจนเกือบจะเซล้ม เป็นโอกาสให้อีกฝ่ายได้รั้งเอวคอดไว้ทันที
“ระวังหน่อยสิ” เฟิงหรานเอ่ยราวกับกระซิบ พร้อมกับสูดดมเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่โชยออกมาจากร่างนางอย่างชอบใจ
“รุ่ยอ๋องปล่อยเพคะ หม่อมฉันเป็นสตรีที่มีสามีแล้ว ไม่ควรให้บุรุษอื่นเข้าใกล้” รีบยกมือดันร่างแกร่งออก เฟิงหรานก็ปล่อยนางทันทีเช่นกัน ยังความสนใจมาให้คนที่นั่งสังเกตุการณ์เป็นอย่างมาก เพราะหวังอวี้คิดว่าสตรีผู้นี้คงไม่ต่างจากหญิงสาวทั่วไป ที่คอยจับแต่บุรุษสูงศักดิ์เพื่อยกฐานะตน
“นี่เจ้ามีสามีแล้วจริงหรือ น่าเสียดายนัก” เฟิงหรานเอ่ยอย่างที่คิด เขาอุตส่าห์ถูกชะตากับนางแล้วแท้ ๆ ทั้งที่ใบหน้านี้ยังอยู่ใต้ผ้าคลุมด้วยซ้ำ หากเปิดออกมานางจะงามไหมนะ
“เป็นหม่อมฉันที่ไร้วาสนาเพคะ” แสร้งเอ่ยอย่างถ่อมตน ขยับถอยออกมายืนให้ห่างคนมือไวอีกสองก้าว
“น่าเสียดาย น่าเสียดายจริง ๆ” เฟิงหรานยังคงพึมพำให้ได้ยิน คนมองจึงได้แต่ยกยิ้มเมื่อเห็นสหายทำท่าผิดหวังมาก ก่อนจะหันไปหาสตรีที่ยืนนิ่ง หลุบตาต่ำลงมองแต่มือตน
ยามนี้เองที่เขาได้พิจารณารูปร่างของหมอหญิงผู้นี้ ซึ่งมันดูคุ้นตาเป็นอย่างมาก รวมถึงบางสิ่งที่อยู่บนนิ้วนางข้างขวาของนาง ‘แหวนหยกเขียว เราเคยเห็นที่ไหนกันนะ’ สายตาเขาจับจ้องที่มือของฮุ่ยอันซึ่งวางทับกันอยู่ ก่อนที่มันจะถูกเปลี่ยนให้อีกข้างวางทับ ราวกับรู้ว่ามีคนจับจ้องเสียอย่างนั้น
นัยน์ตาคมดุจเหยี่ยวจึงเคลื่อนขึ้นไปที่ใบหน้านางแทน จึงได้เห็นว่าท่านหมอหญิงก็มองเขาอยู่เช่นกัน
“เจ้าว่าตนมีสามีแล้ว แล้วไหนล่ะสามีเจ้าไยถึงไม่มาด้วย” เมื่อนึกอะไรบางอย่างออก หวังอวี้ก็ตั้งคำถามกับนาง เขากำลังคิดว่าแหวนวงที่หมอหญิงผู้นี้ใส่อยู่อาจจะเป็นวงเดียวกันกับที่เคยเห็นมา และสามีที่นางเอ่ยถึงก็อาจจะเป็นเจ้าหนุ่มแสบนั้นก็ได้ หากเป็นเช่นนั้นเขาก็ไม่ต้องเสียเวลาตามหาตัวอีก คนที่เคยทำให้เขาล้มทั้งยืน หวังอวี้โหวไม่มีทางปล่อยไปง่าย ๆ แน่
#ลูกสาวเราเจอโจษเก่าแล้ว แถมยังมีหลัวไปอีก สร้างเรื่องเก่งมาก 555
ฝากกดใจเป็นกำลังใจให้ไรท์ด้วยนะคะ