คนรัก
“คิดจะอยู่แบบนี้ไปถึงเมื่อไร”
“เราไม่รู้” ณิชาตอบเสียงเบา เธอมองไม่ออกเลยว่าในอนาคตชีวิตเธอจะออกมาในรูปแบบไหน และจะดำเนินไปในทิศทางใด รู้เพียงแค่ว่าที่เธอยังอยู่ตรงนี้ก็เพราะลูกที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเท่านั้น
แน่นอนว่าหากเธอตัดสินใจไปจากที่นี่ วินทร์ไม่มีทางยอมให้เธอพาณิศราไปด้วยเด็ดขาด เพราะที่เขายอมมาอยู่ในสภาวะแบบนี้กับเธอนั้นก็เพราะ ‘ลูก’ เช่นกัน ฉะนั้นเธอจึงไม่รู้เลยว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร
“ไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืนนะชา เราเชื่อว่าทุกคนคงเข้าใจเธอ เมื่อก่อนเธอเคยสดใสมากกว่านี้ อย่าทำร้ายตัวเองไปมากกว่านี้เลย”
ณิชาพลันน้ำตารื้นคลอหลังจากได้ยินประโยคนั้น น้อยครั้งนักที่กันตยศจะเอ่ยอะไรซึ้ง ๆ เช่นนี้ และที่กระแทกใจเธอที่สุดคือประโยคที่ว่า...
‘เมื่อก่อนเธอเคยสดใสมากกว่านี้’
ใช่ เธอเคยสดใส เคยร่าเริงมากกว่านี้หลายเท่า แต่ด้วยเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมันทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไป รู้ตัวอีกทีเธอก็กลายเป็นคนที่มีแต่ความทุกข์ ความสุขเดียวที่มีอยู่ตอนนี้ก็คือเด็กหญิงณิศราเท่านั้น
“อืม เอาไว้ถ้าเราไม่ไหวจริง ๆ เราจะหยุด” หญิงสาวตอบพลางเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมานิด ๆ อีกอย่างตอนนี้เธอยังไม่อยากตัดสินใจอะไร เพราะลูกก็ยังเล็กอยู่ รอให้ลูกโตกว่านี้อีกหน่อย เธอคงตัดสินใจอะไร ๆ ง่ายขึ้น...
“วันนี้มีหนังใหม่เข้าโรงพอดี กินข้าวเสร็จแล้วเราไปดูหนังกันต่อดีไหม” เปียวดีเอ่ยชวนคนรักระหว่างนั่งรับประทานอาหารด้วยกันในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของชายหนุ่มสักเท่าไร
“เรื่องอะไร” วินทร์เงยหน้าขึ้นมาถามเสียงเรียบ
หญิงสาวบอกชื่อภาพยนตร์ที่ตนอยากดูออกไป ก่อนจะพูดต่อเมื่อเห็นสีหน้านิ่งเรียบคล้ายไม่สนใจอยากดูหนังอย่างที่เธอเสนอ “เราไม่ได้ดูหนังด้วยกันนานมากแล้วนะ ถ้าจำไม่ผิดเรื่องล่าสุดก็หลายปีที่แล้วโน่นแน่ะ”
“ลองเช็กรอบดูก่อนแล้วกัน ถ้าไม่ดึกมากก็ดูได้” ชายหนุ่มบอกแล้วเริ่มกินข้าวต่อ อันที่จริงตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์ไปดูหนังตามที่คนรักเอ่ยชวนสักเท่าไร ด้วยตอนนี้เขาอยากกลับไปหาลูกน้อย เพียงแต่ที่ผ่านมาเขาปฏิเสธและผิดนัดเธอไปหลายครั้งแล้ว เขาเลยกลัวว่าเธอจะน้อยใจ และอีกเหตุผลก็คือเขายังรู้สึกต่อเธอกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
คบกันอยู่ดี ๆ แต่เขากลับมีลูกและต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น
เรื่องนี้ยังติดอยู่ในใจของวินทร์และยังรู้สึกผิดมาจนถึงทุกวันนี้
“มีรอบบ่ายสองโมงครึ่ง หนังยาวประมาณเกือบ ๆ สองชั่วโมง จบเรื่องก็ประมาณสี่โมงครึ่ง วินทร์โอเคไหม ถ้าโอเคจะได้จองเลย” เปียวดีเงยหน้าจากสมาร์ตโฟนขึ้นไปถาม และรอคำตอบอย่างมีความหวัง นานแล้วเหมือนกันที่เธอกับคนรักไม่ได้ออกมาเที่ยวกันสองต่อสองอย่างนี้ ด้วยความรักที่เคยราบรื่นกลับมีข้อจำกัดมากมาย เพราะสถานะที่เปลี่ยนไปของฝ่ายชาย
หญิงสาวเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นและไม่เคยยอมรับความจริงได้เลย เคยคิดจะปล่อยมือจากเขาอยู่หลายครั้ง หากก็ไม่เคยใจแข็งทำได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
ไม่ใช่เพราะเขารั้งไว้ แต่เป็นเธอเองที่ไม่กล้าปล่อย เพราะวินทร์คือทุกอย่างในชีวิตเธอ เธอเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีพ่อไม่มีแม่ อาศัยอยู่กับป้าและสามีของท่านในบ้านเช่าหลังเล็ก ๆ ทว่าป้าผู้ซึ่งเป็นญาติเพียงคนเดียวก็มาด่วนจากไปตอนเธอเพิ่งเข้ามหา’ลัยปีหนึ่ง
ตอนนั้นเธอไม่เหลือใครให้เป็นที่พึ่งแล้ว เงินติดตัวก็เหลือไม่ถึงหนึ่งหมื่นบาท ด้วยเงินประกันชีวิตของป้านั้นถูกผู้เป็นสามีของท่านชิ่งหนีไปหมด ไม่เหลือไว้ให้เธอสักบาทเดียว มิหนำซ้ำช่วงนั้นยังเป็นช่วงที่ต้องจ่ายค่าเทอม ถึงแม้จะเป็นมหา’ลัยในเครือของรัฐ แต่ค่าเทอมก็ไม่ได้ถูกสักเท่าไร
ความอับจนหนทางนั้นทำให้เธอเกือบเลือกเส้นทางชีวิตคล้ายเด็กใจแตก หากไม่ได้วินทร์ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนและแฟนของเธอในตอนนั้นฉุดรั้งไว้ เธอก็คงไม่มีชีวิตที่สวยงามอย่างทุกวันนี้
เขาดีกับเธอมาก คอยสนับสนุนเธอในทุก ๆ ทาง เขายินดีรับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่าง หากเป็นเธอเองที่เกรงใจ ขอรับเท่าที่จำเป็นจริง ๆ จะดีกว่า เขาจึงแนะนำให้เธอขายของออนไลน์เพื่อเพิ่มรายได้ ซึ่งเธอก็เห็นด้วย แล้วก็เป็นเขาอีกนั่นแหละที่ช่วยเธอทุก ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นการพาไปรับของ แพ็กของ และส่งของ
เป็นแบบนั้นจนกระทั่งเรียนจบ วินทร์เข้าทำงานในบริษัทของครอบครัว ส่วนเธอใช้เงินเก็บลงทุนเปิดร้านเสื้อผ้า ต่างคนต่างยุ่งกับงานของตัวเอง แต่ก็เติมความหวานให้กันไม่เคยขาด
พอถึงจุดหนึ่งเธอก็เริ่มมองเรื่องอนาคต และคิดว่าอย่างไรก็ต้องเป็นวินทร์เท่านั้นที่จะเดินเคียงข้างกัน เธอรักเขามาก วาดฝันอนาคตที่มีเขาไว้มากมาย
เปียวดีดีใจจนน้ำตาไหลในวันที่เขาบอกรักและขอเธอแต่งงาน หากแล้วสามเดือนต่อมาความดีใจและความฝันของเธอก็พังลงไม่เป็นท่า เมื่อเขาเดินเข้ามาสารภาพว่าทำผู้หญิงอื่นท้อง
ทุกอย่างรอบกายพลันหยุดหมุน เธออึ้งจนพูดอะไรไม่ออก คิดเข้าข้างตัวเองสารพัดว่านี่อาจจะเป็นแผนหรือเป็นเซอร์ไพรส์อะไรสักอย่าง แต่เมื่อถามย้ำแล้วย้ำอีก เขาก็ยังยืนยันคำเดิม น้ำตาเธอก็ไหลพราก คืนนั้นเธอจำได้ว่าเขากอดเธอที่นอนร้องไห้จนหลับไปเอาไว้ทั้งคืน
พอเช้าวันต่อเขาก็ขอคุยกับเธอด้วยเหตุผล พร้อมเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เธอฟัง ทำให้เธอยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม และพร่ำขอร้องให้เขาไม่ไปแต่งงานกับคนอื่น
หากก็ได้คำปฏิเสธกลับมา เพราะเขาทำอย่างที่เธอร้องขอไม่ได้
“อืม งั้นจองเลย”
เสียงของวินทร์ดึงเปียวดีให้กลับมาอยู่ที่ปัจจุบันอีกครั้ง เธอยิ้มออกมาอย่างดีใจเมื่อเขายอมไปดูหนังกับเธอ ก่อนจะก้มลงไปจัดการจองตั๋วออนไลน์อย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงไม่นานเธอก็ทำการจองเสร็จ แล้วเงยหน้าขึ้นไปบอกเขา
“เรียบร้อยแล้ว” เธอยิ้มแล้วโชว์หน้าจอสมาร์ตโฟนให้เขาดู ครั้นเห็นว่าคนที่นั่งตรงข้ามพยักหน้ารับรู้ เธอจึงพูดต่อ “จริงสิ แล้วเรื่องไปพัทยาอาทิตย์หน้าว่ายังไง ยังไปอยู่หรือเปล่า”
วินทร์เหลือบสายตาขึ้นมองหญิงสาวอย่างเพิ่งนึกขึ้นมาได้ เขาลืมไปเสียสนิทว่าเคยบอกเธอว่าจะพาไปเที่ยวพัทยาชดเชยที่ทำทริปกระบี่ล่มไปเมื่อสามเดือนที่แล้วเพราะณิชาคลอดลูกวันนั้นพอดี
“หวังว่าคราวนี้คงไม่ล่มอีกนะ พัทยาใกล้ ๆ เอง” เปียวดีเอ่ยขึ้นมาอีกเมื่อวินทร์ไม่พูดอะไร นึกหวั่นกลัวว่าเขาจะขอยกเลิกทริปอีก
“ค้างคืนเดียวได้ไหมเปียว วินทร์เป็นห่วงลูก” ชายหนุ่มต่อรอง ตอนนี้ไม่ว่าเขาคิดจะทำอะไร ต้องคิดถึงลูกก่อนเป็นอันดับแรกเสมอ อันที่จริงช่วงที่ลูกยังเล็กแบบนี้เขาไม่อยากห่างบ้านเลย แม้จะยังมีณิชาซึ่งเป็นแม่อยู่บ้านกับลูก หากเขาก็ไม่สบายใจที่จะปล่อยให้แม่ลูกอยู่ด้วยกันตามลำพังในเวลากลางคืน
ทว่าคราวนี้เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธเปียวดีได้ เพราะเคยสัญญากับเธอไว้ตั้งแต่คบกันใหม่ ๆ ว่าจะต้องไปเที่ยวด้วยกันอย่างน้อยปีละสองถึงสามครั้ง หากช่วงสามปีที่ผ่านมาเขางานเยอะมาก มีการขยับขยายสาขาย่อยไปทั่วทุกภูมิภาค ทำให้ไม่มีเวลาว่างเลย และยิ่งพอมีหนูณิ แค่เวลาออกไปกินข้าวด้วยกันสักหนึ่งหรือสองชั่วโมง เขาก็ยังไม่มีให้เธอ
มันจึงกลายเป็นความรู้สึกผิดที่สะสมมาเนิ่นนาน ยิ่งเห็นสีหน้าและแววตาส่อความผิดหวังของเธอที่มองมา เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก แต่เขาก็ไม่สามารถละทิ้งลูกให้ณิชาเลี้ยงคนเดียวหลายวันได้เช่นกัน
“หนูณิก็มีแม่อยู่ไม่ใช่เหรอ” เปียวดีงอแงคล้ายไม่พอใจนิด ๆ เพราะทริปกระบี่ที่ล่มไปนั้นมีระยะเวลาตั้งสี่วันสามคืน การเปลี่ยนมาเป็นจังหวัดใกล้ ๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องลดเวลาที่ควรจะเป็นของเธอนี่นา “อย่างน้อย ๆ ก็สักสามวันสองคืนไม่ได้เหรอวินทร์ นาน ๆ เราจะได้ไปเที่ยวด้วยกัน เปียวอยากอยู่กับวินทร์นาน ๆ นะ” เธอต่อรอง
“แต่วินทร์เป็นห่วงหนูณิจริง ๆ” ตอนกลางวันนั้นไม่เท่าไรเพราะมีดวงใจคอยช่วย ผลัดเปลี่ยนให้คนเป็นแม่ได้มีเวลาทำธุระส่วนตัว ทว่าตอนกลางคืนนั้นไม่มีใคร ชายหนุ่มจึงกังวลว่าอาจเกิดอะไรขึ้นตอนดึก ๆ “งั้นเอาอย่างนี้ เราค้างแค่หนึ่งคืน แล้ววันต่อมาเราก็เที่ยวที่นั่นทั้งวันเลย เย็น ๆ เราค่อยกลับกรุงเทพฯ แบบนี้ดีไหม”
หญิงสาวหน้าง้ำนิด ๆ ด้วยรู้สึกขัดใจ อยากต่อรองอีกสักนิด หากก็รู้ดีว่าวินทร์ให้เธอได้มากสุดแค่นี้จริง ๆ
ตั้งแต่รู้ว่าณิชาท้องลูกของเขา กระทั่งคลอดออกมา เปียวดีก็รู้สึกว่าตัวเองถูกลดความสำคัญลงเรื่อย ๆ เธอเข้าใจว่าณิศราคือเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา ไม่ผิดถ้าเขาจะให้ความสำคัญมากที่สุด หากเธอก็อดรู้สึกน้อยใจไม่ได้ เมื่อยามที่เขาปฏิเสธทุกครั้งที่เธอชวนออกไปกินข้าว และให้เหตุผลว่าต้องอยู่กับณิชาที่ท้องแก่ หรือไม่ก็ต้องอยู่ดูแลลูกที่เพิ่งคลอดออกมา
แต่ถึงแม้จะน้อยใจมากเพียงใด เธอก็พูดและทำอะไรไม่ได้อยู่ดี จะบอกให้เขาทิ้งลูกแล้วมาหาเธอ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ เธอจึงทำได้แค่เก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้แล้วทำตัวตามปกติ
“เอาแบบที่วินทร์ว่าก็ได้ เปียวก็ไม่อยากทิ้งร้านไปนาน ๆ เหมือนกัน”
“วินทร์ขอโทษนะ ที่ไม่ค่อยมีเวลาให้” ชายหนุ่มยื่นมือไปจับมือหญิงสาวแล้วบีบเบา ๆ เพื่อบอกให้เธอรู้ว่าเขาเองก็รู้สึกแย่ที่ทำให้ทุกอย่างมันกลายมาเป็นแบบนี้ จากที่คบกันได้อย่างเปิดเผยและกำลังจะแต่งงาน เริ่มสร้างครอบครัวด้วยกัน กลับกลายเป็นว่าต้องมาอยู่ในสถานะที่ลักลอบคบกัน ไม่ต่างอะไรกับชู้
เปียวดียิ้ม ยกมืออีกข้างขึ้นไปวางทับมือหนาที่วางกุมมือเธออยู่ “ไม่เป็นไร เปียวเข้าใจ”
เข้าใจ...ทั้งที่ไม่อยากเข้าใจอะไรเลย
“ขอบคุณนะที่เข้าใจวินทร์” ชายหนุ่มเอ่ยแล้วยิ้มตอบ แล้วดึงมือตัวเองกลับมา ยกมือเรียกพนักงานให้มาคิดเงินค่าอาหาร ก้มหน้ามองนาฬิกาข้อมือ ครั้นเห็นว่าใกล้เวลาฉายภาพยนตร์ วินทร์จึงชวนเปียวดีขึ้นไปยังชั้นโรงหนังทันที