ตอนที่ 5
เหมือนจะห่วง
ปรียา เดินขึ้นมาบนห้องอย่างระมัดระวัง เกรงว่าการเคลื่อนไหวของตนจะส่งเสียงรบกวนต่อเจ้าของบ้านผู้ใช้สมาธิอยู่ด้านล่าง เธอเปิดประตูเข้ามาในห้องของตัวเอง วางขวดน้ำส้มและจานผลไม้ลงบนโต๊ะทำงาน จ้องมองพวกมันอยู่เพียงครู่
ภาพรอยยิ้มที่สดใสของคุณวิกานดา แสนสว่างสไสว
แววตาที่เขามองหล่อนเต็มไปด้วยความเว้าวอนและปราถนา แบบที่ไม่เคยมองกับเธอเลยสักครั้ง
เขาคงรักผู้หญิงคนนั้นมาก...
หญิงสาวถอนหายใจเล็กน้อย หันมองหน้าตัวเองในกระจก มือนิ่มไล้ยังรอยสีกุหลาบช่วงเนินอกและซอกคอ ที่เขาฝากฝังไว้เมื่อสักครู่ ก่อนชำเลืองมองรอยแผลจากหนามกุหลาบบริเวณท้องแขน
วันนี้เธอมีแผลและรอยช้ำทั่วตัว
แต่นั่นก็ไม่เจ็บเท่ากับรอยช้ำที่เกิดขึ้นในใจตอนนี้
ปรียาใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงในการพิมพ์งาน ก่อนจะปิดโน๊ตบุ๊คและกระโดดขั้นเตียงนอน เธอพยายามเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าของเขา แต่ก็พบเพียงความเงียบเชียบ คาดว่ากานต์อาจจะอยู่ในห้องนั้นจนดึก
เธอหลับหลังจากนั้นไม่นาน
คลิ๊ก!!
เสียงประตูห้องนอนที่เชื่อมกับฝั่งห้องนอนของเขาถูกเปิดขึ้น ทำให้ปรียารู้สึกตัว หัวใจของเธอเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ เมื่อร่างหนาสาวเท้าเข้ามาใกล้เตียงนอน
เธอหลับตานิ่ง มือซุกกุมไว้ใต้ผ้าห่มนวม พยายามไม่ขยับตัวไม่กล้าแม้จะหายใจให้เต็มปอด ด้วยไม่อยากให้เขารู้ว่าเธอรู้สึกตัว ใจเธอเต้นตึกตัก เมื่อรู้สึกไว้เขายืนอยู่ข้างเตียงและกำลังจ้องมองเธอ
เขามายืนมองเธอทำไมกัน?
ความสงสัยมากมายผุดขึ้นมาในหัว
ฟูกนอนของเธอยุบลงยวบ และปรียาก็ตระหนักได้ว่าร่างหนาของเขานั่งลงยังขอบที่นอนของเธอ และยังคงจ้องมองเธอที่กำลังแสร้งหลับไหล
มือใต้ผ้านวมของ ปรียา เริ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ
“ฝ้าย”
เสียงนุ่มหูกระซิบแผ่วเบาๆ แต่ปรียา ยังคงหลับต่อ ด้วยไม่อยากจะเสวนากับเขา และไม่อยากให้เขารู้ว่าเธอแสร้งหลับ
กานต์ จ้องมองเธอเพียงครู่ ก่อนจะหลุบตาต่ำมองปลีน่องงามที่โผล่พ้นชายผ้าห่มนวม มือหนาไล้ยังข้อเท้าเล็กของเธออย่างแผ่วเบา
ปรียา แทบจะสะดุ้ง!! นี่เขากำลังทำบ้าอะไรกัน?
“ทำไมไม่นอนดีๆ เปิดแอร์ซะเย็นจัด แต่ห่มผ้าแค่ครึ่งตัว”
น้ำเสียงทุ้มต่ำดังต่อ ก่อนจะดึงผ้าห่มนวมลงมาคลุมจนถึงปลายเท้า “เดี๋ยวก็ได้ไม่สบายกันพอดี”
ปรียา ได้แต่นอนนิ่งไม่ยอมขยับ แต่น้ำเสียงตอนท้ายที่คล้ายจะแฝงความห่วงนั้น ทำให้เธอรู้สึกดีแม้จะนึกถึงคำพูดของเขาเมื่อตอนเย็นได้ดี
“ฉันไม่ได้ห่วงเธอ แค่ไม่อยากมีปัญหา..”
เขาคงจะไม่อยากต้องมานั่งตอบคำถามใครซินะ...
ปิ๊บๆ
เสียงรีโมทกดหรี่แอร์ในห้อง ก่อนที่ร่างหนาจะเหยียดกายลุกขึ้น แล้วยืนมองเธออีกเพียงครู่ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
คลิ๊ก!
ประตูห้องถูกปิดลง เท่านั้นแหละปรียาถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
.
...เช้าวันต่อมา
“คิดถึงแกมากเลยฝ้าย”
ก้านแก้ว โผเข้าโอบกอดปรียา ทันทีที่เดินลงจากรถมินิแวนคันหรู โดยมี ปาลิดา มารดาของเธอเดินตามมาด้วย
“คิดถึงเหมือนกัน คราวนี้อยู่หลายวันหน่อยนะ จะได้เข้าไปดูไร่องุ่นด้วยกัน” ปรียาบอก หลังจากไหว้ทำความเคารพ แม่ย่าของตัวเองแล้ว
ปาลิดา ได้แต่อมยิ้มเล็กน้อย มองใบหน้าผุดผาดของลูกสะใภ้ที่ดูมีน้ำมีนวลขึ้น หลังจากมาพักที่บ้านหลังใหญ่ของตระกูลที่ไม่ห่างจากโรงงานไวน์เนอรรี่ศรีพิพัฒน์มากนัก
“แล้ว เจ้ากานต์ยังไม่ตื่นอีกเหรอเนี่ย”
“ตื่นแล้วค่ะ น่าจะนั่งทำงานอยู่ให้ห้อง”
ปรียา ตอบอย่างนอบน้อม ความจริงเมื่อเช้าเธอตื่นสาย และเมื่อลงมาทานข้าวพบว่าเขารออยู่ที่โต๊ะอยู่แล้วด้วยสีหน้าอึมครึม และมองเธอด้วยสายตาตำหนิ
หลังทานมื้อเช้าเสร็จ เขาก็เข้าไปยังห้องทำงานต่อ
เธอได้แต่มองตามหลังร่างของ ปาลิดา แม่ย่าเดินเข้าไปในห้องทำงานของเขา และได้ยินเสียงทักทายพูดคุยเล็ดลอดออกมาเล็กน้อย
“แกโอเคใช่มั้ยฝ้าย”
ก้านแก้ว เอ่ยถามเพื่อนเบาๆ อย่างระมัดระวัง
หนึ่งเดือนที่ผ่านมาที่ ปรียา มาอยู่ที่นี่หลังจากแต่งงานกับพี่ชายของเธอ ก้านแก้วทำได้เพียงวีดีโอคอลและพูดคุยกับเพื่อนถามสารทุกข์สุขดิบในแต่ละวัน
แม้จะรู้ว่าลึกๆแล้ว ปรียาปราถนาที่จะแต่งงานเพื่อใกล้ชิดกับพี่ชายของตนด้วยใจจริงไม่ใช่เพียงข้ออ้างและคำขอร้องจากมารดาตนอย่างเดียว
แต่กริยาที่แสดงออกของ กานต์ พี่ชายตนนั้น ก้านแก้วเองก็ไม่แน่ใจว่าจะทำให้เพื่อนสาวของตัวเองลำบากใจได้มากน้อยแค่ไหน
“ฉันโอเคอะแก ไม่ต้องห่วงที่นี่อากาศดีมากๆ วันๆนั่งทำงานเพลิน บางวันก็เข้าไปช่วยงานที่ไร่และโรงงานไวน์ สนุกดี”
ปรียา ดึงมือเพื่อนมายังห้องนั่งเล่น พร้อมอวดภาพในมือถือที่ถ่ายไว้ทั้งแปลงกุหลาบแสนสวยในสวน และไร่องุ่นที่เพิ่งจะแตกช่อใหม่อย่างตื่นเต้น
“อืม เห็นแกสดชื่นฉันเองก็สบายใจ”
ก้านแก้ว ค่อยคลายกังวลลงเล็กน้อย แม้ความจริงอยากจะถามรายละเอียดเบื้องลึกให้ลึกซึ้งมากกว่านั้น แต่อีกใจนึงคิดว่าไม่ดีกว่า เพราะถ้าเพื่อนสาวอยากจะเล่าคงจะบอกเอง
และเธอเองก็พร้อมจะรับฟังเสมอ
เสียงจอแจหน้าบ้านดังขึ้น สองสาวจึงหยุดการสนทนาไว้แค่นั้น และปรียา ขอตัวเพื่อนสาวที่นั่งเอนหลังดูมือถือบนโซฟา ออกมาข้างบ้าน พบว่าคนงานบางส่วนกำลังวุ่นวายกับการเอาต้นไม้ลงในแปลง
“คุณสันต์เอาต้นไม้มาให้เองเลยเหรอคะ?” ปรียา อุทานอย่างแปลกใจ เมื่อเห็น สันต์ ผู้จัดการไร่วัยสามสิบต้นๆ กำลังลำเลียงนำต้นจันทร์ผาและไม้เลื้อยสองสามชนิดลงจากรถ พร้อมกับคนสวนในไร่
“ครับผม เห็นวันก่อนคุณฝ้ายบอกว่าอยากได้ต้นจันทร์ผากับกล้วยไม้ดิน ผมเลยให้คนงานแวะเอามาให้ แต่ต้นองุ่นถ้าจะเอามาเดี๋ยวผมแวะเข้าไปเอาในโรงเพาะที่ไร่ให้ครับ”
สันต์ตอบอย่างนอบน้อม ใบหน้าคมนั้นมองเธออย่างลิงโลด เมื่อเห็นปรียาออกมาช่วยยกกระถางต้นไม้ด้วยตัวเอง
“คุณฝ้ายไม่ต้องครับเดี๋ยวพวกผมยกเอง”
“ขอบคุณมากเลยค่ะ ถ้างั้นต้นองุ่นที่จะเอามาปลูกข้างบ้าน เดี๋ยวฝ้ายเข้าไปเลือกเองดีกว่าค่ะ ขอติดรถเข้าไปที่ไร่ด้วยนะคะ” ปรียา บอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เมื่อนึกถึงต้นองุ่นเล็กๆในโรงเพาะที่เธออยากจะเอามาปลูกใส่กระถางที่นี่
“ได้ซิครับผม” สันต์ตอบอย่างลิงโลด เป็นจังหวะที่ก้านแก้ว เดินออกมาด้านนอกพอดี ปรียาจึงหันไปเอ่ยชวนเพื่อนขึ้นรถด้วย โดยไม่สังเกตุว่ามีแววตาคู่หนึ่งมองตามอย่างขุ่นเคืองจากห้องต่างกระจกห้องทำงานของเขา