“พี่ไอรินสวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ”
ตั้งแต่งานรับน้องจบลงฉัน ไอริน นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ ปี 3 ก็กลายเป็นที่รู้จักของน้องๆ ชั้นปีที่ 1 เดินผ่านไปไหนก็มีแต่คนยกมือไหว้ แต่เชื่อไหมล่ะว่าลับหลังฉันคำว่าไอรินจะกลายเป็นเพียงเครื่องระบายอารมณ์ของเด็กพวกนั้น
ทำไมน่ะเหรอ
ก็เพราะว่าฉันเป็นเฮดว๊ากไง เดิมทีคนที่ควรทำตำแหน่งนี้คือไอ้ลอตเต้เพื่อนสนิทฉัน แต่หมอนั่นกลับติดงานของมหาวิทยาลัยทำให้เจียดเวลามาทำกิจกรรมที่คณะไม่ได้
ก็นะ ลอตเต้มันเป็นหนุ่มคิวทองที่ใครๆ ก็ต้องการตัว
สุดท้ายกรรมเลยตกมาถึงฉันที่ต้องทำหน้าที่ของมันแทน
ไม่ใช่แค่ทำหน้าที่แทนนะ แต่โดนสาปแทนด้วย
ใครๆ ก็เกลียดเฮดว๊ากกันทั้งนั้น จู่ๆ ก็ถูกตะคอกใส่หน้าใครมันจะไปชอบบ้างล่ะ ตอนปี 1 ฉันเองก็ไม่ชอบเหมือนกันเรียกว่าเกลียดจนอยากจะตั๊นหน้าเลยก็ว่าได้ แต่สุดท้ายเวรกรรมก็ทำให้ฉันต้องมาทำหน้าที่นี้
แล้วรู้ไหมว่าทำไมฉันไม่ปฏิเสธทั้งที่ไม่ได้ชอบการเป็นเฮดว๊ากเลยสักนิด
คำตอบก็เพราะว่าฉันติดหนี้ไอ้ลอตเต้ไง ไอ้เพื่อนเวร! กล้าเอาเรื่องเงินมาขู่ฉัน
“ไงไอรินเพื่อนรัก”
มาละไอ้ตัวดี
คนที่กำลังเดินเข้ามากอดคอฉันคือไอ้ลอตเต้ เพื่อนสนิทมิจฉาชีพของฉันเอง ไม่น่าไปยืมเงินให้มันคิดดอกเบี้ยราคาเพื่อนสนิทเลย
ไม่ใช่ว่าถูกลงหรอกนะ แต่แพงขึ้นกว่าเดิมตั้งสองเท่าต่างหาก
สุดท้ายฉันก็ไม่มีปัญญาใช้หนี้มัน ไอ้คุณชายก็เลยใช้เรื่องเฮดว๊ากมาเป็นข้อต่อรองเพราะถ้าหาคนแทนไม่ได้มันก็จะถูกพวกรุ่นพี่รุมด่า
ซึ่งกว่าฉันจะเป็นเฮดว๊ากได้ก็ไม่ง่ายเลย ทั้งถูกทดสอบนู้นนี่นั่น ทั้งถูกบางคนเหยียดหยามเพราะเห็นว่าเป็นผู้หญิง ฉันล่ะไม่เข้าใจเลยว่าทำไมในขณะที่สังคมพัฒนาแล้วความคิดบางคนกลับยังจมปลักอยู่ที่เดิม
คร่ำครึซะไม่มี
แต่ก็ช่างเถอะเพราะที่พูดมาทั้งหมดได้กลายเป็นแค่อดีตไปแล้ว ตอนนี้ฉันกลายเป็นอิสระไม่ต้องแบกรับหน้าที่เฮดว๊ากอีกต่อไป เย้!
“ว่าแต่แกไปหาเงินที่ไหนมาคืนฉันวะ ห้าหมื่นเลยนะ นี่แกคงไม่...”
ไอ้สายตานั่นมันอะไรกันวะนั่น
โป้ก!
ฉันเขกหัวมันแรงๆ หนึ่งทีข้อหาที่กล้าใช้สายตาดูหมิ่นฉัน
“ฉันรู้นะว่าแกคิดสกปรกอะไรอยู่”
“ก็แหม มันน่าคิดนี่นาเพราะฉันมั่นใจว่าแกไม่มีทางแบมือขอเงินที่บ้านแน่นอน”
ทำเป็นรู้ดี แต่ก็จริงของมันนั่นแหละ ใครจะไปกล้าแบมือขอเงินจากคนที่บ้านกัน
พ่อฉันน่ะไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่แม่ฉันนี่สิคงได้ถามแน่ว่าเอาเงินไปทำอะไรตั้งห้าหมื่น ซึ่งที่จริงฉันก็ไม่ได้เอาไปทำเรื่องไร้สาระนะ ก็แค่...เอาไปแต่งรถมอเตอร์ไซค์เอง
“สรุปว่าไง มีเสี่ยเลี้ยงเหรอ”
“เสี่ยบ้านป้าแกสิ ฉันก็แค่บังเอิญชนะพนันมา”
“พนัน...นะ นี่แกอย่าบอกนะว่าไปลงสนามเถื่อนอีกแล้ว!”
“ก็ใช่น่ะสิ ใครสั่งให้แกเป็นเจ้าหนี้หน้าเลือดล่ะ ฉันไม่รู้ว่าในอนาคตแกจะเอาเรื่องหนี้มาข่มขู่อะไรฉันอีก ดังนั้นฉันก็เลยรีบสะสางให้ไง”
“ไอเชี้ยริน แกก็รู้เปล่าวะว่าที่นั่นมันนรกของพวกแข่งรถชัดๆ สนามนั่นไม่มีกฎนะเว้ย ใครๆ ก็รู้ว่ามันอันตราย”
“แล้วไงล่ะ แกก็รู้ว่าฉันไม่กลัวอยู่แล้ว ไม่งั้นแกคิดว่าตัวเองจะได้เงินคืนเหรอ”
“มันใช่ประเด็นที่ไหนเล่ายัยบ้า ขืนพ่อแม่แกรู้ว่าแกไปลงสนามเถื่อนเพราะต้องการหาเงินมาคืนฉัน พ่อแม่แกได้เฉือนคอฉันแน่”
“ไม่เห็นต้องกลัวเพราะก่อนที่พวกเขาจะไปเฉือนแก ฉันนี่แหละจะถูกเฉือนก่อน” ไอ้ลอตเต้ทำหน้าสยดสยองจนฉันอดกลั้นหัวเราะไม่ได้
“เคยได้ยินไหม คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย สามคนกลับบ้านสบาย แต่น่าเสียดายที่เราน่าจะตายก่อนได้กลับบ้าน ดังนั้นรูดซิปปากแกให้แน่นอย่าแพร่งพรายเรื่องนี้ให้พ่อแม่ฉันรู้เชียว”
หึ ขู่แค่นี้มันก็ยอมหุบปากเงียบไม่บอกพ่อแม่ฉันแล้ว
ลอตเต้น่ะกลัวพ่อแม่ฉันเสียยิ่งกว่าพ่อแม่ตัวเองอีก
ฉันกับลอตเต้โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กๆ พ่อแม่เราเป็นเพื่อนสนิทกัน ฉันกับมันเลยเหมือนพี่น้องคลานตามกันมา แต่ก็มักโดนทักบ่อยๆ ว่าฉันควรเกิดมาเป็นผู้ชาย ส่วนลอตเต้ควรเป็นผู้หญิง
ฉันเป็นคนไม่ชอบความสำอางทุกวันนี้แค่ตื่นมาทากันแดดพร้อมกับลิปสติกหนึ่งแท่งก็ออกจากบ้านได้แล้ว ไม่เหมือนไอ้คุณชายที่กว่าจะประทินโฉมเสร็จก็รอไปเกือบครึ่งชั่วโมง
“แต่ฉันขอเตือนแกไว้หน่อยก็ดี อย่าไปที่นั่นอีกเลย”
“หมายถึงไอ้สนามเถื่อนนั่นน่ะเหรอ”
“อืม ฉันได้ข่าวมาว่าถ้าลงสนามแล้วก็ต้องแข่งให้จบไม่งั้นจะไม่ได้ออกมา”
ก่อนฉันลงแข่งในสนามก็มีคนมาพูดแบบนี้กับฉันเหมือนกัน แต่มันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดหรอกนะ เหมือนเป็นคำขู่เพื่อคัดกรองคนที่จะลงสนามมากกว่า ถ้าใจไม่กล้าพอก็ไม่มีใครกล้าลงหรอก เพราะสนามนี้มีแค่กฎเดียวคือต้องชนะ ไม่ว่าจะแลกมาด้วยวิธีไหนก็ตาม
ก่อนหน้านี้ฉันเคยลงแข่งแค่สองครั้ง ซึ่งระดับในการแข่งขันเทียบชั้นกับพวกมือโปรไม่ได้เลยสักนิด ถ้าเทียบฉันเป็นเด็กอนุบาล พวกนั้นก็เด็กมหาลัยวัยซ่าเลยแหละ
แข่งกันแต่ละทีมีคนเจ็บเป็นว่าเล่น ยังดีที่ไม่เคยมีคนตายไม่งั้นสนามนี้คงโดนสั่งปิดไปแล้ว (มั้ง) ที่มีมั้งเพราะไม่แน่ใจเหมือนกัน ได้ข่าวว่าเจ้าของสนามเส้นใหญ่ไม่งั้นคงเปิดสนามเถื่อนสร้างความเพลิดเพลินให้ตัวเองไม่ได้หรอก
ครั้งล่าสุดที่ไปลงแข่งฉันเจอคนบาดเจ็บสาหัสด้วย แต่ก็โชคดีที่วันนั้นมีหมอคนหนึ่งไปนั่งดูการแข่งขันพอดีจึงสามารถช่วยชีวิตเขาไว้ได้ทัน
“ข้างหน้าเขาทำอะไรกันอะ ดูคึกคักเชียว”
ฉันทอดสายตามองไปยังสุดทางเดินซึ่งเป็นจุดเชื่อมระหว่างคณะวิศวะและคณะแพทย์ แปลกนะที่สองคณะนี้อยู่ข้างกันได้
และเพราะอยู่ข้างกันฉันจึงมักเห็นเด็กวิศวะเป็นแฟนกับเด็กแพทย์อยู่บ่อยๆ
“เหมือนที่คณะแพทย์จะมีคนดังมานะ”
“เหรอ”
ฉันพยายามเพ่งสายตามองกระทั่งเห็นคนที่กลายเป็นจุดสนใจของเด็กแพทย์เหล่านั้น แต่น่าเสียดายที่เห็นแค่แผ่นหลังของเขา ซึ่งดูจากมุมนี้แล้วเหมือนเขาจะไม่ใช่นักศึกษานะ
จะว่าไปแค่เห็นจากด้านหลังไกลๆ ก็รู้แล้วว่าหล่อ ออร่าไม่ธรรมดาเลยแฮะ
“ไอริน!”
“อะไร!”
จู่ๆ ไอ้ลอตเต้ก็ตะโกนขึ้นมาทำเอาฉันตกใจหมด
“แม่”
“ฮะ?”
“วิชาแม่แกไง ไอ้เชี้ยเอ้ยวันนี้เข้าสายไม่ได้นะเว้ยรีบไปเลย”
ชะ ชะ เชี้ย!!
ลืมไปเสียสนิทเลยว่าวันนี้มีวิชาของยัยป้าตัวตึงคณะ ขืนไปสายกว่าป้าแกได้โดนเรียกออกไปหน้าห้องอีกแน่ เผลอๆ อาจจะได้ยืนทั้งคาบ
บ้าจริง!
ทั้งฉันและลอตเต้ต่างรีบวิ่งกุลีกุจอขึ้นมาบนอาคารเรียนแปดสิบปีของคณะวิศวะ ซึ่งเป็นอาคารเรียนหลักของพวกเราเอง
พอมาถึงห้องเรียนก็รีบผลักประตูเข้าไป ซึ่งก็โชคดีที่ป้าแกยังไม่เข้าห้อง
ฮู้ว รอดหวุดหวิดเลยว่ะ
ที่พูดแบบนี้เพราะนั่งได้ไม่ถึงห้าวินาทียัยป้าที่ฉันว่าก็เดินเข้ามาในห้องพอดี
“วันนี้ป้าแกดูอารมณ์ดีนะว่าไหม” ลอตเต้หันมากระซิบฉัน
“เออจริงด้วย วันนี้ป้าแกยิ้มแปลว่าเราโชคดี”
ถ้าวันไหนเข้ามาแล้วทำหน้าบึ้ง ก็เตรียมใจไว้ได้เลยว่าวันนั้นจะมีการสอบเก็บคะแนนอันแสนหฤโหดเกิดขึ้น เรียกได้ว่าป้าแกชอบเทสนักศึกษาตามอารมณ์ไม่เน้นบอกล่วงหน้า แกชอบกำชับว่า
‘ถ้าพวกเธอตั้งใจเรียนยังไงก็ทำข้อสอบได้ ฉันไม่ได้หยิบยกแม่น้ำทั้งห้ามาสอบพวกเธอ แต่ถ้าใครว่อกแว่กไม่สนใจก็เชิญเอาไข่ต้มไปกิน’
เพราะแบบนี้ไงพวกฉันเลยไม่กล้าขาดวิชาป้าแก เพราะไม่รู้ป้าแกจะสอบเก็บคะแนนตอนไหน ถ้าไม่เข้าก็จะไม่อนุญาตให้สอบย้อนหลังด้วย เว้นก็แต่มีเรื่องสำคัญให้ต้องลาจริงๆ ถ้าไม่มีหลักฐานมายื่นก็จบเห่
“นี่ๆ รู้ไหมว่าวันนี้ที่คณะแพทย์มีอะไร ฉันเห็นเด็กคณะนั้นเอะอะโวยวายกันใหญ่เลย”
ฉันเงี่ยหูฟังพวกสาวๆ ด้านหลังกระซิบกัน ซึ่งก็ยอมรับแหละว่าขี้เสือก
“เหมือนจะมีอาจารย์จากข้างนอกเข้ามาบรรยายนะ น่าจะเป็นคนมีชื่อเสียงล่ะมั้ง”
“ต้องเป็นอาจารย์หมอที่หล่อขนาดไหนเชียวนะ นักศึกษาถึงได้ทำตัวเป็นผึ้งตอมน้ำหวานขนาดนั้น”
“อยากรู้ก็ไปดูกันไหมล่ะ ได้ข่าวว่าช่วงบ่ายเขาก็มีบรรยายนะ”
“ไม่เอาหรอก ฉันขี้เกียจไปนั่งแช่ในห้องแอร์กับพวกเด็กแพทย์พวกนั้น เอาเวลาว่างไปนอนเล่นที่ห้องดีกว่า”
พอเริ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนาฉันก็เลิกสนใจ
ที่แท้คนที่พวกเด็กแพทย์กรี๊ดกร๊าดกันก็เป็นอาจารย์หมอนี่เองนึกว่าดาราที่ไหนเสียอีก