เสียงสวรรค์ดังขึ้นทันทีที่เข็มสั้นชี้ไปทางเลขสิบสองและเข็มยาวชี้ไปทางเลขเดียวกัน
“วันนี้เอาแค่นี้ก่อน แต่คาบหน้าอย่าขาดนะอาจารย์มีงานกลุ่มให้ทำ”
พูดจบก็หอบหิ้วอุปกรณ์การสอนของตัวเองออกจากห้องไป
“บ่ายนี้ฉันว่าจะไปยิงธนู แกจะไปด้วยกันไหม”
“ไม่ไป ฉันจะไปโรงพยาบาล”
“โรงพยาบาล?”
ทุกอาทิตย์ฉันมักจะหาเวลาว่างไปโรงพยาบาลเป็นประจำ ไม่ใช่ว่าร่างกายตัวเองมีปัญหาอะไรหรอกนะ แต่เพราะว่ามีคนรอฉันอยู่ต่างหาก
ณ โรงพยาบาล
“มีใครอยู่ในห้องไหมคะ พี่กระต่ายน้อยมาเยี่ยมแล้ว”
ฉันดัดเสียงเล็กเสียงน้อยพลันขยับข้อมือที่สวมใส่ปลอกแขนกระต่ายน้อยปุกปุยไว้ จากนั้นก็จับจังหวะพูดและงับนิ้วมือให้ตรงคำ
ยื่นแขนออกไปให้เด็กน้อยที่กำลังนั่งวาดรูปอยู่บนเตียงผู้ป่วยเห็น ส่วนตัวเองก็แอบหลบอยู่หลังกำแพง
“พี่ไอริน!”
ทันทีที่ได้ยินเสียงใสเอ่ยเรียกชื่อ ฉันก็กระโดดดึ๋งออกมาทักทายด้วยใบหน้าร่าเริงสดใส
“ไงคะคนเก่ง คิดถึงพี่ไอรินไหม”
“คิดถึงค่ะ ไม่ได้เจอกันตั้งสองวัน”
ฉันยกเก้าอี้มาวางไว้ข้างเตียงคนป่วยจากนั้นก็หย่นก้นนั่งลงพร้อมกับกุมมือเล็กไว้หลวมๆ
“พี่ไอรินขอโทษนะคะที่ช่วงนี้ไม่ได้มาหาเลย แล้วเป็นยังไงบ้างโอเคไหม”
“โอเคค่ะ พี่หมอมาเยี่ยมหนูทุกวันเลย”
“พี่หมอเหรอคะ?”
“ค่ะ”
เป็นเขาอีกแล้ว ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเวลาฉันมาหาน้องฉันก็มักจะได้ยินเรื่องราวของพี่หมอเสมอ แต่เชื่อไหมว่าเราไม่เคยเจอกันเลยสักครั้ง ฉันคลาดกับเขาตลอด
“แล้วนี่กำลังวาดรูปอะไรอยู่เหรอคะ”
“วาดรูปเพื่อนค่ะ”
คำตอบนั้นทำให้ฉันรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก เจ้าตัวน้อยของเราเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยครั้ง และแม้จะได้กลับบ้านก็ไม่สามารถไปโรงเรียนได้เนื่องจากสุขภาพร่างกายอ่อนแอ พ่อและแม่ของน้องจึงจ้างคุณครูมาสอนที่บ้านแทน
ดังนั้นไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหนก็มักจะเหงาและเดียวดายเสมอ
“ไหน พี่รินขอดูหน่อย” ฉันหมุนกระดาษแผ่นดังกล่าวเข้าหาตัวเอง
“เอ๊ะคนนี้คล้ายพี่รินเลย”
“ก็พี่รินไงคะ ส่วนคนนี้คือพี่หมอ”
“ว้าว พี่หมอหล่อจัง ทำเอาพี่รินอยากเห็นตัวจริงเลยนะเนี่ย”
“ตัวจริงพี่หมอหล่อมากๆๆๆๆเลยค่ะ” เจ้าจิ๋วป้องมือกระซิบคล้ายกำลังบอกความลับใหญ่
ฉันหัวเราะอย่างเอ็นดู เด็กอะไรก็ไม่รู้น่ารักจริงๆ
‘สีน้ำ’ เป็นเด็กผู้หญิงผมยาว ใบหน้ากลมมนน่ารัก ปกติมักจะถักเปียสองข้าง นิสัยร่าเริงแจ่มใส ใบหน้ามักประดับด้วยรอยยิ้มเสมอ และแม้ตัวเองจะป่วยออดๆแอดๆก็ไม่เคยท้อ มีกำลังใจและสามารถก้าวต่อไปในทุกวันอย่างกล้าหาญ แถมน้องยังเป็นกำลังใจให้คนอื่นด้วย
ฉันและสีน้ำเคยเจอกันครั้งแรกเมื่อสามเดือนก่อน ตอนนั้นคุณปู่ฉันป่วยหนักจนสุดท้ายก็ยื้อไม่ไหว เสียชีวิตในเวลาต่อมาที่โรงพยาบาล ฉันทำใจไม่ได้แต่ก็ไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาจึงแอบหลบมุมมานั่งร้องไห้คนเดียวที่บันไดทางเดินหนีไฟ
สะอึกสะอื้นอยู่นานจนได้ยินเสียงฝีเท้าใครบางคนเดินเข้ามาหยุดด้านหลัง เสียงนั้นเบามากจนฉันเดาได้เลยว่าคนที่เดินเข้ามาไม่ใช่คนในครอบครัวฉันแน่นอน
เมื่อหันหลังกลับไปมองฉันก็ได้เจอกับเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง เธอถักเปียสองข้างมีผมหน้าม้าสลวย รูปร่างเล็กน่ารัก ชุดที่ใส่คือยูนิฟอร์มผู้ป่วยของโรงพยาบาล ในมืออุ้มตุ๊กตากระต่ายน้อยแสนน่ารักไว้หนึ่งตัว
เด็กคนนั้นมีใบหน้าสดใสไม่เหมือนกับผู้ป่วยเลยสักนิด สองเท้าเล็กๆ เดินเข้ามานั่งลงข้างฉันก่อนจะยื่นตุ๊กตากระต่ายให้
“หนูให้ค่ะ”
ฉันรีบปาดน้ำตาแล้วมองหน้าเด็กคนนั้นด้วยความสงสัย
“ให้พี่ทำไมคะ”
“พี่สาวกำลังเสียใจใช่ไหมคะ พี่ชายหนูบอกว่าพี่กระต่ายสามารถเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำได้ หนูให้พี่สาวยืมค่ะ”
เพียงเท่านั้นน้ำตาที่พยายามอดกลั้นเอาไว้ก็ไหลทะลักออกมา ฉันรับตุ๊กตาที่น้องมอบให้มากอดไว้แน่น ร้องแบบไม่อายเด็กเลยก็ว่าได้ กระทั่งเวลาผ่านไปฉันก็เริ่มดีขึ้นโดยมีสีน้ำคอยนั่งเป็นเพื่อนอยู่ตั้งนาน
พอเริ่มคุยกันฉันถึงได้รู้ว่าน้องป่วยเป็นโรคหายาก ไม่สามารถออกแรงเยอะได้ ร่างกายแพ้ง่ายจึงต้องระมัดระวังเรื่องการใช้ชีวิตประจำวันเป็นพิเศษ
น้องมักเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยครั้งจนกลายเป็นที่รู้จักของคุณหมอและพยาบาล บางครั้งก็อยู่นาน บางครั้งก็อยู่แป๊บเดียว ดังนั้นก่อนแยกกันฉันจึงแลกช่องทางติดต่อกับน้องไว้ และทุกครั้งที่น้องเข้าโรงพยาบาลฉันก็มักจะมาอยู่เป็นเพื่อนเสมอ
“แล้วนี่พี่หนูนาไปไหนคะ ทำไมไม่อยู่กับหนู”
“พี่หนูนาไปซื้อข้าวค่ะ อีกเดี๋ยวก็น่าจะกลับมา”
พี่หนูนาที่ว่าคือพี่เลี้ยงของสีน้ำ เนื่องจากพ่อและแม่ไม่สามารถปลีกตัวมาหาลูกได้จึงทำได้เพียงส่งพี่เลี้ยงมาคอยดูแล
ฉันล่ะไม่เข้าใจเลยว่าลูกสาวป่วยหนักขนาดนี้ แถมยังเป็นแค่เด็กเจ็ดแปดขวบเอง ทำไมถึงได้ไม่ไยดีและเย็นชากับแกนัก แต่ก็นะทุกครอบครัวมักจะมีปัญหาเป็นของตัวเอง ฉันเป็นคนนอกไม่มีสิทธิ์วิจารณ์อยู่แล้ว
และสีน้ำเองก็ดูไม่ได้โกรธเคืองพ่อแม่ด้วย
“วันนี้พี่หมอบอกว่าจะมาเล่นด้วย พี่ไอรินรอเจอพี่หมอด้วยกันสิคะ”
วันนี้ฉันเองก็ว่างพอดี
“ได้สิคะ”
จะได้เจอกันสักทีนะ ‘พี่หมอ’ ฉันรู้จักเขาผ่านทางเรื่องเล่าของสีน้ำมา 3 เดือนแล้ว...
“สีน้ำคะ วันนี้พี่รินพาหนูออกไปนั่งเล่นข้างนอกดีไหม”
“ค่ะ” ใบหน้าแย้มยิ้มสดใสพยักหน้าตกลง
แม้จะต้องอยู่แต่ในโรงพยาบาลแต่ก็โชคดีที่ไม่ต้องถูกขังอยู่แต่ในห้องพัก ฉันสามารถพาน้องนั่งรถเข็นออกมาสูดอากาศเย็นในสวนหย่อมบนดาดฟ้าของโรงพยาบาลได้ สามารถอุ้มแกออกมาเดินเลือกซื้อขนมที่ร้านสะดวกซื้อได้
โดยก่อนออกมาฉันก็ไม่ลืมยืมโทรศัพท์มือถือของสีน้ำโทรบอกพี่หนูนาก่อน จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง
“เมื่อวานหนูได้ยินพี่พยาบาลคุยกันเรื่องสามีด้วย พวกเขาต่างแย่งกันอวดสามีว่าของใครดีกว่ากัน แล้วพี่รินล่ะคะมีสามีไหม”
ไปได้ยินอะไรมาเนี่ยเจ้าตัวน้อย
“แล้วรู้ไหมว่าสามีคืออะไร”
“สามีคือคุณพ่อไงคะ หนูไม่ได้บื้อสักหน่อย”
ก็ยอมรับแหละว่าเด็กคนนี้ฉลาดเกินไป แต่การที่มาถามฉันว่ามีสามีไหมมันค่อนข้างรู้สึกแปลกๆ ไปหน่อยนะ
“ไม่มีหรอก ขนาดแฟนยังไม่มีเลยแล้วจะมีสามีได้ไง”
“งั้นมาชอบพี่หมอไหมคะ พี่หมอเองก็ไม่มีแฟนเหมือนกัน”
พี่หมออีกแล้ว แต่ละครั้งที่พูดถึงล้วนทำให้ฉันรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ต้องเป็นเทพยดามาเกิดแน่ๆ ทำเอาฉันรู้สึกว่าเขาเป็นดอกฟ้าส่วนตัวเองเป็นแค่หมาวัดขี้เรื้อนเลย
“อย่าดีกว่า พี่ไม่อยากแตะต้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์”
น้องมองฉันอย่างสงสัย แต่ไม่ต้องงงค่ะ พี่แค่ยกยอเอาพี่หมอของหนูไว้บนหิ้งเท่านั้น
“ว่าแต่ว่าพี่หมอของหนูดีขนาดนั้นทำไมถึงยังโสดล่ะ”
“เขาบอกว่ายังไม่เจอคนที่ถูกใจค่ะ”
อ๋อที่แท้ก็เป็นพวกเลือกมากนี่เอง ก็นะตัวเองออกจะดีเลิศประเสริฐศรีขนาดนั้นจะเลือกมากหาคนที่คู่ควรก็ไม่แปลก แต่คนแบบนี้จะมีคนที่เหมาะสมกับเขาจริงเหรอ
ทั้งหล่อ รวย การศึกษาดี มีความรู้ มีความเป็นผู้นำ อบอุ่น ใจดี ซึ่งที่พูดมานี้ฉันไม่ได้พูดเองนะ แต่เป็นสีน้ำที่ชอบเล่าเรื่องเขาให้ฟังฉันจึงตีความตามคำพูดน้องว่าเขาเป็นผู้ชายแบบนี้ เป็นผู้ชายที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ต้องการ แต่ไม่ง่ายเลยที่จะได้มาครอง
ดูอย่างไอ้ลอตเต้เพื่อนฉันสิ นอกจากหล่อแล้วก็ไม่มีอะไรดีเลย
“พี่หมอเขาดีมากเลยนะคะ แต่เขาไม่ค่อยมีความสุข”
“ทำไมหนูถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”
“ก็เวลาที่พี่หมอยิ้มมันไม่เคยไปถึงดวงตาของเขาเลยน่ะสิคะ คนที่ยิ้มแบบนั้นแปลว่าเขาไม่ได้มีความสุขจริงๆ”
“ใครบอกหนูเรื่องนี้”
“คุณแม่ค่ะ”
พอพูดถึงพ่อและแม่สีน้ำก็ดูมีความสุขทุกครั้ง จนฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกท่านถึงไม่ค่อยมาเยี่ยมลูก
“ว่าแต่เราคุยเรื่องพี่หมอกันมาตั้งนาน พี่รินยังไม่รู้เลยว่าพี่หมอกับหนูเป็นอะไรกันเหรอ ทำไมหนูถึงดูใส่ใจและรู้จักเขาดีจัง”
“พี่ชายค่ะ แต่ตอนที่หนูเกิดมาพี่เขาก็ไม่ได้อยู่กับพวกเราแล้ว”
“หมายความว่าไง”
ประโยคเมื่อครู่นี้สามารถตีความได้ว่าพี่หมอที่ว่าเป็นผีได้เลยนะ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริงฉันก็พอเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมถึงได้คลาดกับเขาทุกครั้งเลย
“เราสองคนมีพ่อคนเดียวกันแต่คนละแม่ค่ะ หนูรู้แค่ว่าพี่หมอกับพ่อทะเลาะกัน ดังนั้นหนูจึงห้ามพ่อกับแม่ไม่ให้มาโรงพยาบาลบ่อยๆ พี่หมอจะได้มาหาหนูบ่อยๆ แทน เพราะถ้าพี่หมอรู้ว่าพ่อกับแม่มาก็จะไม่ยอมมาเจอหนู”
ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง เป็นครอบครัวที่ซับซ้อนชะมัดเลย ไม่เหมือนครอบครัวฉันรักกันดีตีกันทุกวัน
ถ้าวันไหนไม่เห็นแม่ฉอดพ่อก็ต้องเป็นพ่อฉอดแม่ ฝีปากร้ายกันทั้งคู่ดังนั้นจึงอย่าแปลกใจที่ฉันดูเป็นผู้หญิงหยาบคายแบบนี้
พอดีเชื้อพ่อแม่มันแรง
“สีน้ำหิวหรือยังคะ เดี๋ยวพี่รินไปซื้ออะไรให้กินเอาไหม”
สีน้ำพยักหน้าลง ฉันจึงเอ่ยต่อ
“งั้นหนูรอพี่รินตรงนี้แป๊บนึงนะ เดี๋ยวพี่รินมา”
“ได้ค่ะ”
“ห้ามไปไหนนะ”
พอเห็นน้องพยักหน้าอย่างเชื่อฟังฉันจึงรีบวิ่งไปที่ร้านสะดวกซื้อ หาอาหารที่คาดว่าเจ้าตัวเล็กจะชอบกินพร้อมกับขนมหวานอีกเล็กน้อยติดมือไปด้วย
แค่นี้ก็น่าจะพอนะ..
จ่ายเงินเสร็จฉันก็รีบวิ่งกลับมาหาสีน้ำ แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวเข้าไปหาเธอ สองเท้าของฉันก็หยุดชะงัก
ตอนนี้มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งชันเข่าบนพื้นอยู่ตรงหน้าสีน้ำ ฉันมองเห็นจากไกลๆ ก็รู้สึกได้ทันทีว่าเขาจะต้องเป็นคนที่หล่อมากๆ ถึงขนาดที่ว่าเดือนมหาลัยอย่างไอ้ลอตเต้ยังเทียบไม่ติด ทั้งไหล่กว้าง แขนยาว นิ้วเรียวสวย ยอมรับเลยว่าฉันไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนแล้วรู้สึกสะดุดตาขนาดนี้มาก่อน
นิยามคำว่าหล่อฉิบหายไม่เกินจริงเลยสักนิด
ผู้ชายคนนี้คงจะเป็นพี่หมอคนนั้นสินะ...