พี่หมอคนนั้น

1975 คำ
เสียงสวรรค์ดังขึ้นทันทีที่เข็มสั้นชี้ไปทางเลขสิบสองและเข็มยาวชี้ไปทางเลขเดียวกัน “วันนี้เอาแค่นี้ก่อน แต่คาบหน้าอย่าขาดนะอาจารย์มีงานกลุ่มให้ทำ” พูดจบก็หอบหิ้วอุปกรณ์การสอนของตัวเองออกจากห้องไป “บ่ายนี้ฉันว่าจะไปยิงธนู แกจะไปด้วยกันไหม” “ไม่ไป ฉันจะไปโรงพยาบาล” “โรงพยาบาล?” ทุกอาทิตย์ฉันมักจะหาเวลาว่างไปโรงพยาบาลเป็นประจำ ไม่ใช่ว่าร่างกายตัวเองมีปัญหาอะไรหรอกนะ แต่เพราะว่ามีคนรอฉันอยู่ต่างหาก ณ โรงพยาบาล “มีใครอยู่ในห้องไหมคะ พี่กระต่ายน้อยมาเยี่ยมแล้ว” ฉันดัดเสียงเล็กเสียงน้อยพลันขยับข้อมือที่สวมใส่ปลอกแขนกระต่ายน้อยปุกปุยไว้ จากนั้นก็จับจังหวะพูดและงับนิ้วมือให้ตรงคำ ยื่นแขนออกไปให้เด็กน้อยที่กำลังนั่งวาดรูปอยู่บนเตียงผู้ป่วยเห็น ส่วนตัวเองก็แอบหลบอยู่หลังกำแพง “พี่ไอริน!” ทันทีที่ได้ยินเสียงใสเอ่ยเรียกชื่อ ฉันก็กระโดดดึ๋งออกมาทักทายด้วยใบหน้าร่าเริงสดใส “ไงคะคนเก่ง คิดถึงพี่ไอรินไหม” “คิดถึงค่ะ ไม่ได้เจอกันตั้งสองวัน” ฉันยกเก้าอี้มาวางไว้ข้างเตียงคนป่วยจากนั้นก็หย่นก้นนั่งลงพร้อมกับกุมมือเล็กไว้หลวมๆ “พี่ไอรินขอโทษนะคะที่ช่วงนี้ไม่ได้มาหาเลย แล้วเป็นยังไงบ้างโอเคไหม” “โอเคค่ะ พี่หมอมาเยี่ยมหนูทุกวันเลย” “พี่หมอเหรอคะ?” “ค่ะ” เป็นเขาอีกแล้ว ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเวลาฉันมาหาน้องฉันก็มักจะได้ยินเรื่องราวของพี่หมอเสมอ แต่เชื่อไหมว่าเราไม่เคยเจอกันเลยสักครั้ง ฉันคลาดกับเขาตลอด “แล้วนี่กำลังวาดรูปอะไรอยู่เหรอคะ” “วาดรูปเพื่อนค่ะ” คำตอบนั้นทำให้ฉันรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก เจ้าตัวน้อยของเราเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยครั้ง และแม้จะได้กลับบ้านก็ไม่สามารถไปโรงเรียนได้เนื่องจากสุขภาพร่างกายอ่อนแอ พ่อและแม่ของน้องจึงจ้างคุณครูมาสอนที่บ้านแทน ดังนั้นไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหนก็มักจะเหงาและเดียวดายเสมอ “ไหน พี่รินขอดูหน่อย” ฉันหมุนกระดาษแผ่นดังกล่าวเข้าหาตัวเอง “เอ๊ะคนนี้คล้ายพี่รินเลย” “ก็พี่รินไงคะ ส่วนคนนี้คือพี่หมอ” “ว้าว พี่หมอหล่อจัง ทำเอาพี่รินอยากเห็นตัวจริงเลยนะเนี่ย” “ตัวจริงพี่หมอหล่อมากๆๆๆๆเลยค่ะ” เจ้าจิ๋วป้องมือกระซิบคล้ายกำลังบอกความลับใหญ่ ฉันหัวเราะอย่างเอ็นดู เด็กอะไรก็ไม่รู้น่ารักจริงๆ ‘สีน้ำ’ เป็นเด็กผู้หญิงผมยาว ใบหน้ากลมมนน่ารัก ปกติมักจะถักเปียสองข้าง นิสัยร่าเริงแจ่มใส ใบหน้ามักประดับด้วยรอยยิ้มเสมอ และแม้ตัวเองจะป่วยออดๆแอดๆก็ไม่เคยท้อ มีกำลังใจและสามารถก้าวต่อไปในทุกวันอย่างกล้าหาญ แถมน้องยังเป็นกำลังใจให้คนอื่นด้วย ฉันและสีน้ำเคยเจอกันครั้งแรกเมื่อสามเดือนก่อน ตอนนั้นคุณปู่ฉันป่วยหนักจนสุดท้ายก็ยื้อไม่ไหว เสียชีวิตในเวลาต่อมาที่โรงพยาบาล ฉันทำใจไม่ได้แต่ก็ไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาจึงแอบหลบมุมมานั่งร้องไห้คนเดียวที่บันไดทางเดินหนีไฟ สะอึกสะอื้นอยู่นานจนได้ยินเสียงฝีเท้าใครบางคนเดินเข้ามาหยุดด้านหลัง เสียงนั้นเบามากจนฉันเดาได้เลยว่าคนที่เดินเข้ามาไม่ใช่คนในครอบครัวฉันแน่นอน เมื่อหันหลังกลับไปมองฉันก็ได้เจอกับเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง เธอถักเปียสองข้างมีผมหน้าม้าสลวย รูปร่างเล็กน่ารัก ชุดที่ใส่คือยูนิฟอร์มผู้ป่วยของโรงพยาบาล ในมืออุ้มตุ๊กตากระต่ายน้อยแสนน่ารักไว้หนึ่งตัว เด็กคนนั้นมีใบหน้าสดใสไม่เหมือนกับผู้ป่วยเลยสักนิด สองเท้าเล็กๆ เดินเข้ามานั่งลงข้างฉันก่อนจะยื่นตุ๊กตากระต่ายให้ “หนูให้ค่ะ” ฉันรีบปาดน้ำตาแล้วมองหน้าเด็กคนนั้นด้วยความสงสัย “ให้พี่ทำไมคะ” “พี่สาวกำลังเสียใจใช่ไหมคะ พี่ชายหนูบอกว่าพี่กระต่ายสามารถเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำได้ หนูให้พี่สาวยืมค่ะ” เพียงเท่านั้นน้ำตาที่พยายามอดกลั้นเอาไว้ก็ไหลทะลักออกมา ฉันรับตุ๊กตาที่น้องมอบให้มากอดไว้แน่น ร้องแบบไม่อายเด็กเลยก็ว่าได้ กระทั่งเวลาผ่านไปฉันก็เริ่มดีขึ้นโดยมีสีน้ำคอยนั่งเป็นเพื่อนอยู่ตั้งนาน พอเริ่มคุยกันฉันถึงได้รู้ว่าน้องป่วยเป็นโรคหายาก ไม่สามารถออกแรงเยอะได้ ร่างกายแพ้ง่ายจึงต้องระมัดระวังเรื่องการใช้ชีวิตประจำวันเป็นพิเศษ น้องมักเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยครั้งจนกลายเป็นที่รู้จักของคุณหมอและพยาบาล บางครั้งก็อยู่นาน บางครั้งก็อยู่แป๊บเดียว ดังนั้นก่อนแยกกันฉันจึงแลกช่องทางติดต่อกับน้องไว้ และทุกครั้งที่น้องเข้าโรงพยาบาลฉันก็มักจะมาอยู่เป็นเพื่อนเสมอ “แล้วนี่พี่หนูนาไปไหนคะ ทำไมไม่อยู่กับหนู” “พี่หนูนาไปซื้อข้าวค่ะ อีกเดี๋ยวก็น่าจะกลับมา” พี่หนูนาที่ว่าคือพี่เลี้ยงของสีน้ำ เนื่องจากพ่อและแม่ไม่สามารถปลีกตัวมาหาลูกได้จึงทำได้เพียงส่งพี่เลี้ยงมาคอยดูแล ฉันล่ะไม่เข้าใจเลยว่าลูกสาวป่วยหนักขนาดนี้ แถมยังเป็นแค่เด็กเจ็ดแปดขวบเอง ทำไมถึงได้ไม่ไยดีและเย็นชากับแกนัก แต่ก็นะทุกครอบครัวมักจะมีปัญหาเป็นของตัวเอง ฉันเป็นคนนอกไม่มีสิทธิ์วิจารณ์อยู่แล้ว และสีน้ำเองก็ดูไม่ได้โกรธเคืองพ่อแม่ด้วย “วันนี้พี่หมอบอกว่าจะมาเล่นด้วย พี่ไอรินรอเจอพี่หมอด้วยกันสิคะ” วันนี้ฉันเองก็ว่างพอดี “ได้สิคะ” จะได้เจอกันสักทีนะ ‘พี่หมอ’ ฉันรู้จักเขาผ่านทางเรื่องเล่าของสีน้ำมา 3 เดือนแล้ว... “สีน้ำคะ วันนี้พี่รินพาหนูออกไปนั่งเล่นข้างนอกดีไหม” “ค่ะ” ใบหน้าแย้มยิ้มสดใสพยักหน้าตกลง แม้จะต้องอยู่แต่ในโรงพยาบาลแต่ก็โชคดีที่ไม่ต้องถูกขังอยู่แต่ในห้องพัก ฉันสามารถพาน้องนั่งรถเข็นออกมาสูดอากาศเย็นในสวนหย่อมบนดาดฟ้าของโรงพยาบาลได้ สามารถอุ้มแกออกมาเดินเลือกซื้อขนมที่ร้านสะดวกซื้อได้ โดยก่อนออกมาฉันก็ไม่ลืมยืมโทรศัพท์มือถือของสีน้ำโทรบอกพี่หนูนาก่อน จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง “เมื่อวานหนูได้ยินพี่พยาบาลคุยกันเรื่องสามีด้วย พวกเขาต่างแย่งกันอวดสามีว่าของใครดีกว่ากัน แล้วพี่รินล่ะคะมีสามีไหม” ไปได้ยินอะไรมาเนี่ยเจ้าตัวน้อย “แล้วรู้ไหมว่าสามีคืออะไร” “สามีคือคุณพ่อไงคะ หนูไม่ได้บื้อสักหน่อย” ก็ยอมรับแหละว่าเด็กคนนี้ฉลาดเกินไป แต่การที่มาถามฉันว่ามีสามีไหมมันค่อนข้างรู้สึกแปลกๆ ไปหน่อยนะ “ไม่มีหรอก ขนาดแฟนยังไม่มีเลยแล้วจะมีสามีได้ไง” “งั้นมาชอบพี่หมอไหมคะ พี่หมอเองก็ไม่มีแฟนเหมือนกัน” พี่หมออีกแล้ว แต่ละครั้งที่พูดถึงล้วนทำให้ฉันรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ต้องเป็นเทพยดามาเกิดแน่ๆ ทำเอาฉันรู้สึกว่าเขาเป็นดอกฟ้าส่วนตัวเองเป็นแค่หมาวัดขี้เรื้อนเลย “อย่าดีกว่า พี่ไม่อยากแตะต้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์” น้องมองฉันอย่างสงสัย แต่ไม่ต้องงงค่ะ พี่แค่ยกยอเอาพี่หมอของหนูไว้บนหิ้งเท่านั้น “ว่าแต่ว่าพี่หมอของหนูดีขนาดนั้นทำไมถึงยังโสดล่ะ” “เขาบอกว่ายังไม่เจอคนที่ถูกใจค่ะ” อ๋อที่แท้ก็เป็นพวกเลือกมากนี่เอง ก็นะตัวเองออกจะดีเลิศประเสริฐศรีขนาดนั้นจะเลือกมากหาคนที่คู่ควรก็ไม่แปลก แต่คนแบบนี้จะมีคนที่เหมาะสมกับเขาจริงเหรอ ทั้งหล่อ รวย การศึกษาดี มีความรู้ มีความเป็นผู้นำ อบอุ่น ใจดี ซึ่งที่พูดมานี้ฉันไม่ได้พูดเองนะ แต่เป็นสีน้ำที่ชอบเล่าเรื่องเขาให้ฟังฉันจึงตีความตามคำพูดน้องว่าเขาเป็นผู้ชายแบบนี้ เป็นผู้ชายที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ต้องการ แต่ไม่ง่ายเลยที่จะได้มาครอง ดูอย่างไอ้ลอตเต้เพื่อนฉันสิ นอกจากหล่อแล้วก็ไม่มีอะไรดีเลย “พี่หมอเขาดีมากเลยนะคะ แต่เขาไม่ค่อยมีความสุข” “ทำไมหนูถึงคิดอย่างนั้นล่ะ” “ก็เวลาที่พี่หมอยิ้มมันไม่เคยไปถึงดวงตาของเขาเลยน่ะสิคะ คนที่ยิ้มแบบนั้นแปลว่าเขาไม่ได้มีความสุขจริงๆ” “ใครบอกหนูเรื่องนี้” “คุณแม่ค่ะ” พอพูดถึงพ่อและแม่สีน้ำก็ดูมีความสุขทุกครั้ง จนฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกท่านถึงไม่ค่อยมาเยี่ยมลูก “ว่าแต่เราคุยเรื่องพี่หมอกันมาตั้งนาน พี่รินยังไม่รู้เลยว่าพี่หมอกับหนูเป็นอะไรกันเหรอ ทำไมหนูถึงดูใส่ใจและรู้จักเขาดีจัง” “พี่ชายค่ะ แต่ตอนที่หนูเกิดมาพี่เขาก็ไม่ได้อยู่กับพวกเราแล้ว” “หมายความว่าไง” ประโยคเมื่อครู่นี้สามารถตีความได้ว่าพี่หมอที่ว่าเป็นผีได้เลยนะ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริงฉันก็พอเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมถึงได้คลาดกับเขาทุกครั้งเลย “เราสองคนมีพ่อคนเดียวกันแต่คนละแม่ค่ะ หนูรู้แค่ว่าพี่หมอกับพ่อทะเลาะกัน ดังนั้นหนูจึงห้ามพ่อกับแม่ไม่ให้มาโรงพยาบาลบ่อยๆ พี่หมอจะได้มาหาหนูบ่อยๆ แทน เพราะถ้าพี่หมอรู้ว่าพ่อกับแม่มาก็จะไม่ยอมมาเจอหนู” ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง เป็นครอบครัวที่ซับซ้อนชะมัดเลย ไม่เหมือนครอบครัวฉันรักกันดีตีกันทุกวัน ถ้าวันไหนไม่เห็นแม่ฉอดพ่อก็ต้องเป็นพ่อฉอดแม่ ฝีปากร้ายกันทั้งคู่ดังนั้นจึงอย่าแปลกใจที่ฉันดูเป็นผู้หญิงหยาบคายแบบนี้ พอดีเชื้อพ่อแม่มันแรง “สีน้ำหิวหรือยังคะ เดี๋ยวพี่รินไปซื้ออะไรให้กินเอาไหม” สีน้ำพยักหน้าลง ฉันจึงเอ่ยต่อ “งั้นหนูรอพี่รินตรงนี้แป๊บนึงนะ เดี๋ยวพี่รินมา” “ได้ค่ะ” “ห้ามไปไหนนะ” พอเห็นน้องพยักหน้าอย่างเชื่อฟังฉันจึงรีบวิ่งไปที่ร้านสะดวกซื้อ หาอาหารที่คาดว่าเจ้าตัวเล็กจะชอบกินพร้อมกับขนมหวานอีกเล็กน้อยติดมือไปด้วย แค่นี้ก็น่าจะพอนะ.. จ่ายเงินเสร็จฉันก็รีบวิ่งกลับมาหาสีน้ำ แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวเข้าไปหาเธอ สองเท้าของฉันก็หยุดชะงัก ตอนนี้มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งชันเข่าบนพื้นอยู่ตรงหน้าสีน้ำ ฉันมองเห็นจากไกลๆ ก็รู้สึกได้ทันทีว่าเขาจะต้องเป็นคนที่หล่อมากๆ ถึงขนาดที่ว่าเดือนมหาลัยอย่างไอ้ลอตเต้ยังเทียบไม่ติด ทั้งไหล่กว้าง แขนยาว นิ้วเรียวสวย ยอมรับเลยว่าฉันไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนแล้วรู้สึกสะดุดตาขนาดนี้มาก่อน นิยามคำว่าหล่อฉิบหายไม่เกินจริงเลยสักนิด ผู้ชายคนนี้คงจะเป็นพี่หมอคนนั้นสินะ...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม