บทที่ 3
“หวาน ลากรักออกมาทำไมล่ะ รักยังไม่พูดไม่จบเลยนะ”
“ขืนปล่อยให้รักพูดจนจบมีหวังหวานได้ตกงานกันพอดี รักนะรักทำกันได้ลงคอ”
แสนหวานถึงกับยกมือขึ้นเท้าสะเอว ตีหน้ายักษ์ใส่แสนรักที่ยังมีสีหน้างุนงง แสนรักไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าตัวเองทำผิดตรงไหนแสนหวานถึงได้ทำหน้ายักษ์ใส่กัน
“ก็รักไม่เห็นว่าคุณบารเมษฐ์จะน่าหยุมหัวอย่างที่หวานว่าเลยสักนิด ดูสุภาพจะตาย”
“รักไม่ได้อยู่กับคุณเมษฐ์ทุกวันอย่างหวานรักไม่มีทางรู้หรอก”
“อ้าว ตอนนี้หวานย้ายไปอยู่กับคุณบารเมษฐ์แล้วเหรอ แล้วย้ายไปอยู่ในฐานะอะไรล่ะ”
แสนรักถามอย่างพาซื่อ ทั้งยังทำท่าเขินอายอย่างคนที่กำลังคิดไปไกลถึงความสัมพันธ์ระหว่างแสนหวานกับบารเมษฐ์จนแสนหวานต้องถอนหายใจ
“หวานไม่คิดเลยว่านะคุณเลขาฯ คนเก่งของประธานบริษัทผลิตเครื่องนอนยักษ์ใหญ่ที่สุดในประเทศจะซื่อใสไร้เดียงสามากขนาดนี้”
“อ้าว ก็หวานบอกเองนี่นาว่าอยู่กับคุณบารเมษฐ์ทุกวัน ทุกวันก็แปลว่าแทบจะตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงไม่ใช่หรอกเหรอ”
แสนรักเอียงคอถามอย่างหน้าซื่อตาใสแบบที่ไม่ใช่การเสแสร้งแต่เพราะเจ้าตัวเป็นแบบนั้นจริงๆ ทำเอาแสนหวานถึงกับต้องยกมือขึ้นกุมขมับ
“โอเครัก เรื่องนี้หวานผิดเองที่พูดไม่ชัดเจน”
“อื้อ รักเข้าใจได้ ไม่เป็นไรนะ รักไม่โกรธหวานหรอก”
แสนรักพยักหน้าหงึกๆ ทำเอาแสนหวานโกรธไม่ลง นี่ถ้าแสนดีอยู่ตรงนี้ด้วยคงจะรู้สึกไม่ต่างจากที่เธอกำลังรู้สึก แสนรักเป็นข้อยกเว้นที่ทำให้เพื่อนในกลุ่มต่างไม่มีใครโกรธลง แสนหวานไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เสียงใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น ทำให้ทั้งแสนหวานและแสนรักต่างหันไปทางต้นเสียงอย่างพร้อมเพรียง
“หวาน รัก”
“หนูดี”
แสนหวานกับแสนรักเรียกแสนดีพร้อมกัน ทั้งสามคนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย เพราะว่าชื่อต้นเหมือนกันเลยทำให้ทั้งสามคนถูกชะตาตั้งแต่ได้เจอกันครั้งแรกและเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
“ไม่รู้เลยว่าหวานกับรักก็มาวันเกิดคุณสิรดาเหมือนกัน”
“หวานก็เพิ่งมาเจอรักในงานเมื่อสักครู่นี่แหละ” แสนหวานบอก “หนูดีมากับเจ้านายเหมือนกันใช่ไหม”
“ใช่จ้ะ เจ้านายของหนูดีเข้างานไปแล้ว พอดีหนูดีลืมหยิบของขวัญออกมาจากรถ ก็เลยต้องเดินกลับไปที่รถ นี่ไง” แสนดีโชว์กล่องของขวัญในมือ “ว่าแต่หวานกับรักทำไมมาอยู่ตรงนี้กันล่ะ”
“เฮ้อ” แสนหวานถอนหายใจ
“ถอนหายใจแบบนี้แสดงว่ารักต้องก่อเรื่องอะไรแน่ๆ ” แสนดีอมยิ้ม
“เปล่านะ รักไม่ได้ก่อเรื่องอะไรเลย แค่ทักทายคุณบารเมษฐ์นิดหน่อยเอง”
“นิดหน่อยของรักแต่อาจทำให้หวานตกงานได้”
“รักแค่จะบอกว่าคุณบารเมษฐ์ออกจะดูสุภาพไม่เห็นจะน่าหยุมหัวอย่างที่หวานเล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆ เลย”
เป็นธรรมดาในยามที่กลุ่มเพื่อนนัดเจอกัน บทสนทนาก็จะหลากหลายทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องงาน โดยเฉพาะอย่างหลังที่แสนหวานมักจะเล่าอย่างหมดเปลือกว่าเจ้านายสุดหล่อของเธอนั้นบ่อยครั้งที่เขาทำตัวให้เธอรู้สึกอยากจะหยุมหัว แต่ลืมไปเสียสนิทว่าแสนรักก็คือแสนรัก เป็นคนที่ซื่อจริงๆ ไม่ใช่เพราะจงใจปั้นแต่ง คราวหน้าคราวหลังแสนหวานคงต้องระมัดระวังไม่ให้อีกฝ่ายเผลอหลุดปาก ไม่ใช่สิ คงจะเรียกว่าหลุดปากไม่ได้ คราวหลังเธอคงจัดการปิดปากแสนรักให้สนิทไม่อย่างนั้นเธอคงได้ตกงาน หรือไม่ก็โดนบารเมษฐ์หยุมหัวแน่ๆ
“หนูดีเข้าใจหวานนะ” แสนดีหัวเราะเบาๆ ได้แต่มองเพื่อด้วยความเห็นใจ และอดเอ็นดูกับความซื่อใสของแสนรักไม่ได้จริงๆ “ไว้เจอกันนะ หนูดีต้องรีบเอาของขวัญไปให้เจ้านาย”
“บ๊ายบายจ้ะ ไว้เจอกัน”
แสนหวานกับแสนรักโบกมือลาแสนดีพร้อมกัน แสนหวานหันมาหาแสนรักที่กำลังเอียงคอมองมาที่เธอคล้ายมีคำถาม
“มองรักอย่างนั้นหวานมีอะไรหรือเปล่า”
“สัญญามาก่อนว่าหากบังเอิญเจอคุณเมษฐ์อีกรักจะไม่เล่าให้คุณเมษฐ์ฟังว่าหวานพูดถึงเขาลับหลังว่ายังไงบ้างโอเคไหม ไม่อย่างนั้นหวานได้หางานใหม่แน่”
“ทุกเรื่องเลยเหรอ”
“ใช่ ทุกเรื่อง รักห้ามพูดเด็ดขาด ห้ามๆๆ ”
แสนหวานยกมือขึ้นทำท่ากากบาท แสนรักเห็นสีหน้าจริงจังของเพื่อนก็พยักหน้ารับปากด้วยสีหน้าจริงจังไม่ต่างจากแสนหวาน
“ได้สิ รักจะไม่ปริปากเด็ดขาด สัญญาเลย”
“หวานมาแล้วค่ะคุณเมษฐ์ รอนานไหมคะ”
แยกจากแสนรักแสนหวานก็ตรงดิ่งมาหาบารเมษฐ์ที่ยังคงยืนรออยู่ที่เดิมตรงซุ้มขนม และตอนนี้ก็ใกล้ได้เวลาที่เจ้าของงานวันเกิดอย่างคุณสิรดาจะเป่าเค้กแล้ว ซึ่งหลังจากที่เจ้าของงานเป่าเค้กบารเมษฐ์ก็ตั้งใจจะกลับทันที
“นาน แต่ผมมีทางเลือกอื่นอีกงั้นหรือ”
แสนหวานแกล้งทำหน้าเจื่อนคล้ายรู้สึกผิดกับคำตำหนินั้น แต่ในหัวก็คืออยากจะโต้แย้งกลับไปว่าอันที่จริงเธอหายไปไม่ถึงสิบนาทีเลยด้วยซ้ำ แต่จำต้องรักษาภาพลักษณ์เลขาฯ ที่พยายามดีเอาไว้
“หวานขออภัยสิบครั้งค่ะ และจะชดใช้ด้วยการตั้งใจทำงานให้คุณเมษฐ์อย่างสุดความสามารถ”
“ตั้งใจทำงานและตั้งใจพูดถึงผมลับหลังอย่างสุดความสามารถด้วยหรือเปล่า”
แสนหวานเผลอทำตาโต เรียวปากเต็มอิ่มเผยอน้อยๆ เพราะความตื่นตกใจที่ได้ยินบารเมษฐ์พูดออกมาแบบนั้น แต่พอตั้งสติได้ก็รีบแก้ไขสถานการณ์
“แหมมมม คุณเมษฐ์ก็อย่ามองโลกในแง่ร้ายนักสิคะ จริงๆ หวานก็แค่แบ่งปันเรื่องราวบางช่วงในชีวิตของหวานให้เพื่อนฟังก็แค่นั้นเองค่ะ”
มาถึงตรงนี้แสนหวานจำเป็นต้องทำทุกทางแม้ว่าสีข้างจะถลอกปอกเปิกไปหมดแล้วก็ตาม ใช้รอยยิ้มจริงใจเข้าสู้ มาถึงขนาดนี้แสนหวานจำต้องไปให้สุด สุดท้ายดวงตาคมปลาบที่จ้องเขม็งก็ยอมพ่ายแพ้เพราะอิดหนาระอาใจกับคุณเลขาฯ ที่แถจนสีข้างถลอกเต็มทน