รินยืนมองร่างของซอลที่ไม่เห็นชัดนักผ่านกระจกห้องน้ำบานใหญ่เกือบสิบนาทีได้ และถอนหายใจนับครั้งไม่ถ้วน
“ถึงฉันจะอยากมีชีวิตรอด แต่ทำไมต้องเป็นร่างของเธอด้วยซอล”
ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะเริ่มคุ้นชินกับร่างและชื่อของซอลที่ถูกเรียกไปแล้ว เพราะนี่ก็ผ่านมาเกือบเดือนที่เธออยู่โรงพยาบาลแห่งนี้ ที่เธอต้องอยู่นานหน่อยเพราะแผลจากการที่ออกจากโรงพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาตจากหมอต้องรอดูอาการเพราะแผลเปิดกว้างและเกิดการติดเชื้อ แต่แปลกที่เธอที่อยู่ในร่างรินมาเกือบเดือนนอกจากพ่อกับผู้จัดการซอลและผู้ชายคนนั้นแล้วก็ไม่มีใครมาเยี่ยมเลยแม้แต่คนเดียว จนกระทั่งวันหนึ่ง คนที่มาเยี่ยมเธอคือน่านน้ำ ทำให้เธอแปลกใจอยู่ไม่น้อย ซอลไม่สนิทกับเพื่อนเธอขนาดนั้น ถึงแม้ว่าจะร่วมงานกันอยู่บ่อยครั้ง
วันนั้นน่านน้ำแค่มาส่งของเยี่ยมไข้และบอกว่ายายของริน ซึ่งก็คือยายของเธอได้ย้ายไปอยู่กับญาติที่ต่างจังหวัดแล้ว ตอนนั้นเธอทั้งเสียใจและดีใจ เสียใจที่จะไม่ได้กอดยายอีกและดีใจที่อย่างน้อยมีคนดูแลยายแทนตัวเอง
“จนกว่าเธอจะกลับมาทวงร่างคืน ฉันจะดูแลร่างของเธอเป็นอย่างดีเพื่อขอบคุณที่อย่างน้อยทำให้ฉันได้มีชีวิตอยู่ต่อ” รินได้แต่สัญญากับร่างไร้วิญญาณของซอล ต่อจากนี้ไปจะไม่มีรินอีก รินดาได้ตายไปแล้วเหลือเพียงซอลนางเอกผู้แสนดี
“นึกว่าเป็นลมตายในห้องน้ำแล้วซะอีก”
ซอลหันไปมองประตูห้องน้ำที่ถูกเปิดออกด้วยฝีมือของชายที่เธอมองหน้าไม่ชัด ที่คอยดูแลตัวเองมาตลอดเดือน เขาเป็นใครกันนะถ้าเปิดผ้าออกเธอจะรู้จักหรือเปล่า?
“คุณเปิดประตูห้องน้ำคนไข้แบบนี้ไม่มีมารยาทเลยนะคะ ฉันเป็นผู้หญิงถ้าเผื่อเกิดแก้ผ้าอยู่จะทำยังไง?”
“มีอะไรให้น่ามอง?”
ซอลได้แต่ถอนหายใจ ถึงเธอจะไม่อยากยอมรับแต่จะบอกว่าร่างนี้ไม่น่ามองมันก็ยังไงอยู่ สำหรับเธอแล้วนอกจากตัวเองก็คิดว่าร่างนี้ที่อาศัยอยู่สวยและน่ามองสุดแล้ว
“เหอะ!! คุณนะจะมาตามเฝ้าอะไรฉันนักหนา คุณกับฉันเราเป็นอะไรกันเหรอ?” ฉันที่เธอหมายถึงก็คือซอลนั่นแหละ
“เฮ้อ~ ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้นแหละ แต่ที่ฉันตามมาดูแลบ่อย ๆ เพราะพ่อของเธอขอร้องมา ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อของเธอใครจะอยากมาตามผู้หญิงแบบเธอ”
รอยส์บ่นอย่างไม่จริงจังนัก ไม่รู้ทำไมช่วงนี้เขาถึงพูดกับเด็กคนนี้มากกว่าแต่ก่อน ถ้าเป็นแต่ก่อนนะเขาคงแทบไม่อยากเฉียดเข้าใกล้หรือเพราะอีกฝ่ายป่วยอยู่เหรอ?
ผู้หญิงแบบเธอ…ซอลก็เป็นผู้หญิงที่ดีหนิ ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงดูไม่ชอบเธอกันนะ?
“ถ้างั้นวันหลังก็ไม่ต้องมานะคะ เพราะฉันก็ไม่ชอบให้ใครมาตาม…คุณช่วยออกไปก่อนได้ไหมฉันจะทำธุระส่วนตัว?”
รอบนี้รอยส์ออกไปตามที่ซอลบอกโดยไม่อิดออดแม้แต่น้อย
“เฮ้อ~ คนรอบตัวเธอนี้มันน่าหงุดหงิดจริง ๆ”
มือเรียวสวยเริ่มถอดเสื้อผ้าออกจากร่างกาย และนั่นทำให้รินในร่างของรซอลเผลอมองกระจก และเห็นร่างสะท้อนของซอลอีกครั้ง
ยัยนี่สวยเกินไปหรือเปล่านะ ดูแล้วคงจะไม่ศัลยกรรมเลย…แต่เธอก็เหลาแค่คางหนิ นอกนั้นก็ไม่ได้ทำเหมือนกัน
แม้จะมองร่างนี้อยู่ทุกวันแต่เธอก็ยังอดไม่ได้ที่จะชมรูปร่างหน้าตาของคนที่ตัวเองเข้ามาสิงร่างอยู่ หลังจากนั้นเธอก็อาบน้ำชำระร่างกายและสวมเสื้อผ้าที่พ่อของซอล ไม่สิพ่อของเธอเตรียมไว้ให้มาใส่ในวันนี้ ที่เป็นวันออกจากโรงพยาบาลของเธอ นอนอุดอู้ กิน ๆ นอน ๆ มาเป็นเดือนนึกว่าจะเป็นง่อยไปแล้ว
“จะได้ออกจากโรงพยาบาลอารมณ์ดีขนาดนั้น”
“เฮ้ย~~~ผี...เฮ้ย...ไม่ใช่ผี คน!!”
ท่าทีที่ซอลตกใจมันทำให้รอยส์ถึงกับหลุดขำ เด็กคนนี้เวลาไม่ทำตัวเหมือนคุณหนูผู้สูงศักดิ์มันก็ดูน่ารักน่าเอ็นดูขึ้นเยอะ
“ฉันเป็นคนไม่ใช่ผี”
“ก็คุณทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ เหมือนผีหนิ”
“ฮ่า ๆ จะกลับกันเลยหรือเปล่า”
“กลับ?”
คำถามของรอยส์ทำให้รินทำหน้างง
“ใช่กลับ! ฉันจะเป็นคนไปส่งเธอกลับบ้านเอง เพราะคุณอาท่านมีงานด่วนเลยมารับไม่ได้” รอยส์อธิบาย
“อ่อ ค่ะ” รินพยักหน้าเข้าใจ
“เธอก็อย่าไปโกรธพ่อล่ะ”
“ทำไมต้องโกรธด้วยคะ? ไม่ใช่เด็กแล้วสักหน่อยที่ต้องให้พ่อแม่คอยรับส่ง ที่จริงคุณแค่บอกที่อยู่ให้ฉัน ฉันก็กลับเองได้แล้วแค่นั่งรถแท็กซี่”
“อวดเก่งจริง ๆ นะเดี๋ยวนี้ ทั้งที่แต่ก่อนอ้อนให้ฉันไปส่งทุกวัน” รอยส์ลุกขึ้นยืนจากโซฟาก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าใบเล็กขึ้นมาสะพายไว้บนหลัง
“ไม่ได้อวดเก่งค่ะ ฉันขอกระเป๋าถือคืนด้วย” ซอลที่เห็นอีกฝ่ายเอากระเป๋าตัวเองไปถือก็รีบบอกอย่างถือดี
“เดินมาเงียบ ๆ ก็พอ ฉันกลัวว่าเธอจะบ่นว่าหนักแล้วทำอ่อนแอเพราะอยากอยู่โรงพยาบาลต่อ”
“ทำไมฉันต้องทำแบบนั้น อีกอย่างคนบ้าอะไรจะอยากอยู่โรงพยาบาลนาน ๆ”
“ที่ต้องทำแบบนั้นเพราะเธออยากอยู่ใกล้ฉันไง” รอยส์ไม่พูดเฉย ๆ เขาก้าวขายาวของตัวเองเข้าไปประชิดร่างบาง นั่นทำให้คนตัวเล็กกว่ามีท่าทีอึดอัดก่อนจะผลักอีกฝ่ายออก
“คุณนี่ท่าทางจะเป็นโรคบางอย่างนะคะ”
“โรคอะไร?”
“โรคหลงตัวเองไง ตรวจบ้างนะจะได้ไม่ต้องคิดว่าคนนั้นคนนี้อยากอยู่ใกล้ตัวเอง อ่อแล้วเรื่องตาของฉันไหนว่าหายดีแล้ว ทำไมยังต้องพันผ้าไว้คะ?”
“เดี๋ยวฉันถอดให้ นั่งลงสิ”
ความจริงเพื่อนสนิทหมอที่ดูแลก็จะแกะนานแล้วแหละ แต่เป็นเขาเองที่บอกว่าอย่าเพิ่ง
“ก็ดีค่ะ ถ้างั้นรบกวนด้วยนะคะ”
ซอลนั่งลงบนเตียงคนไข้อีกครั้งก่อนที่ชายหนุ่มจะก้าวเข้ามาใกล้ มือของเขาเอื้อมไปด้านหลังถอดที่ล็อกผ้าออก ผ้าผืนบางค่อย ๆ หมุนออกจากตาอย่างช้า ๆ ไม่นานดวงตาคู่สวยก็มองเห็นคนตรงหน้าอย่างเต็มตา เขาหล่อมาก หล่อแบบที่หาตัวจับได้ยากขนาดพระเอกหรือดาราที่เธอเคยร่วมงานด้วยยังไม่ดูหล่อและมีเสน่ห์ขนาดนี้เลย ยิ่งมีเขามีรอยสักที่คอกับแขนเลยทำให้ดูหล่อแบบแบด ๆ
[มิน่าอีตาคนนี้ถึงได้ดูหลงตัวเองขนาดนั้น ที่แท้ก็หล่อมากนี่เอง]
“มองขนาดนี้ฉันหล่อมากเหรอ?”
สีหน้าของซอลตอนนี้ทำให้รอยส์อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ เป็นครั้งแรกเลยไหมนะที่เธอกล้าสบตากับเขานานขนาดนี้
“เหอะ!” ซอลไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ แค่ทำเสียงเหมือนไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “จะไปได้หรือยังคะ?”
“โอเคงั้นไปกันเถอะ”
หลังจากที่รอยส์หันหลังเดินออกไปก่อน ซอลก็ใช้มือจับหัวใจของร่างนี้ดูทำไมหัวใจมันเต้นรัวขนาดนี้นะ
[บ้าเอ๊ย...ยัยรินแกไม่เคยอ่อนไหวกับผู้ชายมาก่อนนะถึงเขาจะแบดตรงสเปกแกก็เถอะ]
หลังจากที่ตั้งสติได้ซอลก็รีบก้าวขาเดินตามรอยส์ออกไปที่ลานจอดรถ ก่อนจะเห็นร่างสูงยืนรอที่ข้างรถบีเอ็มคันหรูสีดำเงา
ต้องขอยอมรับเลยว่าผู้ชายคนนี้หล่อจริง ตัวก็สูง หุ่นก็ดี หน้าตาก็หล่อเหลาเป็นดาราหรือนายแบบได้เลยนะ
“จะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม?” รอยส์ตะโกนถามคนที่หยุดยืนอยู่ไม่ยอมเดินมาสักที
“จะเร่งอะไรนักหนา ไปตอนนี้แหละค่ะ”
[เอาน่ายัยริน ต่อไปนี้แกจงใช้ชีวิตเป็นซอลให้ดีที่สุดอย่างน้อยก็ก่อนที่จะหายไปจากโลกนี้วันไหนก็ไม่รู้ แกคือซอล จำไว้แกคือซอล]