4 วันต่อมา
“ซอลจำพ่อได้หรือยังลูก?”
คนที่มีเพียงวิญญาณในร่างของซอลได้แต่ถอนหายใจ จะจำได้ยังไงแค่หน้าตาของคนที่เป็นพ่อหญิงสาวเจ้าของร่าง
[จะจำได้ยังไงล่ะ ฉันไม่ใช่ลูกสาวของคุณลุง]
“เอ่อคือ...ฉันจำได้แค่ว่าตัวเองถูกทำร้าย จริงสิคุณลุง…ไม่สิคุณพ่อหรือว่าพอจะรู้ข่าวนางร้ายชื่อรินขับรถตกสะพานบ้างหรือเปล่าคะ?”
รินได้แต่หลอกถามเรื่องตัวเองจากพ่อของซอล เธอได้แต่เพียงหวังว่ามันจะเหมือนบทละครที่เคยเล่น พอเกิดอุบัติเหตุระหว่างตัวเอกทั้งสองฝ่ายแล้วจะสลับร่างกัน
“พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เมื่อสองวันก่อนมีนักข่าวไปดักรอที่หน้าบ้านถามถึงเรื่องอาการป่วยของลูก” อัฐบอกลูกสาวกับเหตุการณ์ที่เจอมา
“คือระ…คือซอลขอยืมโทรศัพท์ของคุณพ่อได้หรือเปล่าคะ?”
“แต่หมอห้ามลูกใช้สายตานะ” คนเป็นพ่อรีบบอกอย่างเป็นห่วงนั่นเลยทำหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเตียงได้แต่ถอนหายใจยาว
“ถ้างั้นช่วยเปิดข่าวของดาราที่ชื่อริน รินดาให้ฟังหน่อยได้หรือเปล่าคะ?”
ถึงจะสงสัยว่าทำไมลูกสาวถึงได้สนใจข่าวผู้หญิงคนนี้นักแต่อัฐก็เลือกที่จะไม่ถามแล้วกดเข้าแอปพลิเคชันสีแดงก่อนจะพิมพ์ตามที่ลูกสาวบอก
‘เป็นที่น่าสะเทือนใจของวงการบันเทิงเป็นอย่างมากเมื่อรินหรือนางสาวรินดา เวียงผาสุข ได้เสียชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุรถยนต์พลัดตกลงข้างสะพาน การจัดงานศพมีเหล่าคนดังร่วมไว้อาลัย…”
เสียชีวิต! ตาย! ตายอย่างนั้นเหรอ?
หัวสมองรินตอนนี้หยุดสั่งงานทันที หัวใจก็เต้นรัวด้วยความหวาดกลัว ทำไมมันถึงไม่เหมือนแบบที่เธอคิดไว้ มันไม่ใช่การสลับร่างเพราะตัวเธอตายแล้ว
ยาย! ตอนนี้ในหัวนอกจากเสียใจกับการตายของตัวเองแล้ว ยังมีเรื่องของยายวัยแก่ชราของตัวเอง ท่านจะเป็นยังไงบ้างเมื่อรู้ว่าหลานสาวแบบเธอเสียไป
“พาฉันไปที่งานศพที”
อัฐแปลกใจกับคำขอร้องของลูกสาวอีกครั้ง สายตาของลูกเขาตอนนี้ดูสับสนไปหมด เขาเลยตัดสินใจดึงลูกเข้ามากอดไว้แน่น เขาไม่กอดซอลแบบนี้มานานแค่ไหนกันแล้ว แต่ทำไมกันนะเขาถึงได้รู้สึกว่าคนที่เขากำลังกอดไม่เหมือนกับอ้อมกอดเดิมของลูกสาว หรือเป็นเพราะเธอลืมเรื่องของเขาเลยทำให้เขาก็รู้สึกแบบนั้นเหรอ?
“ใจเย็น ๆ ตอนนี้ลูกไม่สบายอยู่ควรพักผ่อนนะพ่อว่า”
“ไม่!! พาหนูไปที หนูขอร้องนะคะ...พ่อ” เสียงของคนที่กำลังถูกโอบกอดสั่นเครือมาก
“ได้! งั้นเดี๋ยวพ่อให้คนเตรียมรถไว้”
สายตาของหญิงสาวไม่มีความยินดีเลยสักนิด ตอนนี้เธออยากไปที่ที่มีร่างของตัวเองอยู่มากกว่า
วัดสถานที่จัดงานศพ นางสาวรินดา เวียงผาสุข
ไม่นานรถคันหรูก็ขับมาถึงวัดที่ทำพิธี ลูกน้องคนสนิทได้มายังสถานที่ตามที่มีการแจ้งไว้ในข่าวหลาย ๆ สำนักพิมพ์
รินในร่างของซอลกำลังนั่งอยู่บนรถวีลแชร์เข็นเข้ามาในพิธีงานศพที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า ผู้คนมากมายต่างใส่ชุดสีดำเพื่อไว้อาลัยให้แก่ผู้ล่วงลับ มีทั้งคนในวงการบันเทิงและสื่อมากมายที่มาทำข่าว
น้ำตาของซอลไหลลงอาบแก้มขาวใสทันทีที่เห็นผู้เป็นยายของตัวเองผ่านผ้าบางที่ปิดตาอยู่ กำลังนั่งร้องไห้อยู่กับลูกสาวซึ่งคือป้าของเธอที่น่าจะบินกลับมาจากทำงานเพื่อจัดงานศพของหลานสาวตัวเอง
รินพยุงร่างลงจากรถวีลแชร์ทำให้คนเป็นพ่อตกใจ แต่ถึงแบบนั้นเธอก็ไม่สนใจเลยสักนิด และถึงแม้จะรู้สึกเจ็บแผลแต่เธอก็ไม่ยอมหยุด เดินตรงไปหาร่างของหญิงวัยแก่ชรา
นักข่าวต่างพากันยกกล้องขึ้นถ่ายภาพเมื่อเห็นดาราสาวที่ได้ยินข่าวว่าป่วยหนัก แต่ดูจากการใช้ผ้าพันตากับสภาพร่างกายแล้วคงจะป่วยจริง
“อึก! ยายคะ”
เสียงเรียกของใครสักคนมันทำให้หญิงวัยกลางคนที่กำลังโศกเศร้าซบไหล่ของลูกอยู่เงยหน้าขึ้นมอง ช่างเหมือนน้ำเสียงของหลานสาวที่จากไปของเธอเหลือเกิน แม้เธอจะไม่รู้จักเด็กคนนี้ แต่ทำไมความอบอุ่นและความเศร้าของเด็กคนนี้ที่เธอเห็นมันทำให้เธออยากดึงเข้ามากอดเหลือเกิน
“คุณซอล!” ผู้จัดการสาวอย่างน่านน้ำมองหญิงสาวที่เข้ามาอย่างสงสัย นอกจากจะสงสัยกับการปรากฏตัวแล้วเธอยังสงสัยว่าทำไมเธอคนนี้ถึงได้ทำเหมือนว่ารู้จักยายของเพื่อนเธอได้
รินนั่งลงที่พื้นเย็นเฉียบเพราะเนื่องจากฝนที่เพิ่งตกลงมา ก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นพนมเข้าหากันแล้วก้มกราบเท้าของผู้เป็นยาย หญิงชายที่นั่งโศกเศร้ากับการตายของหลานอยู่บนเก้าอี้พร้อมใจกันจับแขนทั้งสองข้างของหญิงที่เธอไม่เคยเห็นแม้แต่หน้าขึ้นจากพื้น ก่อนจะรวบตัวของเด็กคนนั้นมากอดไว้
ในใจเต็มไปด้วยคำถาม ทำไมเด็กคนนี้ช่างอบอุ่นเหมือนหลานที่เธอรักเหลือเกิน
แสงแฟลชสาดส่องมาถ่ายภาพสถานการณ์ตรงหน้า ดูเหมือนว่าการมาครั้งนี้จะไม่ได้มีแค่ข่าวของคนที่เสียไป
“อึก!!อึก ยายหนู...โทษ” เสียงสั่นเครือบ่งบอกถึงความเสียใจ
“ขอโทษเรื่องอะไรลูก ฮือ~~~หนูไม่ผิดอะไรเลย” ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไรถึงทำให้หญิงสูงวัยไม่อยากให้คนตรงหน้าโทษทุกอย่างว่าเป็นความผิดตัวเอง
“หนูขอโทษ...ฮือ~~~” ร่างของหญิงสาวปล่อยโฮออกมากลางงานทำให้แขกในงานต่างเริ่มมอง
“ผมขอโทษด้วยนะครับ ลูกสาวผมคงจะเสียใจที่เพื่อนร่วมงานจากไป...ช่วงนี้หมอบอกว่าเธอมีสภาพจิตใจที่อ่อนแอด้วยน่ะครับ” พ่อของซอลเดินเข้ามาพยุงลูกสาวให้ลุกขึ้นก่อนอธิบายให้พ่อแม่ของผู้ตายฟัง
[ยายจ๋ารินอยู่นี่…รินของยายอยู่ตรงนี้]
แม้ในใจเธออยากพูดออกแต่มันก็เป็นเรื่องยากที่จะอธิบาย ถ้าเธอบอกออกไปทุกคนคงหาว่าเธอเป็นบ้าแน่ แล้วนักข่าวก็เยอะมากด้วย อีกทั้งตอนนี้สมองของเธอมันก็ไม่สั่งงานอะไรเลย มันจะมีใครในโลกนี้เป็นแบบเธออีกหรือเปล่า ที่ต้องมายืนไว้อาลัยที่งานศพของตัวเองแบบนี้
“แม่หนู ไม่เป็นไรลูก อย่าโทษตัวเองเลย ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ รินไปในที่สงบแล้ว” เสียงที่อ่อนโยนของยายยิ่งทำให้เธอเศร้า
“ยาย”
“อย่าเศร้าไปเลย เรามาส่งรินไปสวรรค์ด้วยกันนะลูก อย่าคิดมาก” ถึงจะบอกหญิงสาวว่าอย่าคิดมากแต่น้ำตาของหญิงแก่กลับไม่แห้งเหือดจากใบหน้าเลยแม้แต่น้อย
รินได้แต่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะตอบรับออกไป
“ค่ะ”
ตลอดทั้งงานน้ำตาของเธอไม่เห็นเหือดแห้งไปเลย จนถึงเวลาที่ต้องนำดอกไม้จันทน์ไปวาง เพื่อไว้อาลัยแก่ผู้ล่วงลับ รินก็ได้แต่ยืนมองรูปภาพของตัวเอง
[ร่างของฉันไปรอฉันอยู่ที่ไหนสักที่ก่อนนะ ถ้าเจ้าของร่างนี้มาทวงร่างคืนเมื่อไหร่ฉันจะรีบตามไป]
จนในที่สุดควันไฟก็ลอยออกจากปล่องไฟของเมรุที่ใช้ในการทำพิธี
“อึก!!โอ๊ยย!” ร่างของซอลทรุดลงกับพื้น ที่จริงแล้วรินรู้มานานแล้วว่าแผลบนร่างกายเกิดอาการฉีก แต่เธอก็อยากที่จะส่งร่างที่ไร้วิญญาณของตัวเองให้เสร็จตามพิธีก่อน
“ซอลลูก...เอก!! เตรียมรถแล้วก็โทรแจ้งรอยส์ด้วยว่าให้พาหมอมารอ รินเลือดออก” อัฐที่ตกใจรีบเข้ามาพยุงลูกสาวแล้วสั่งลูกน้องคนสนิทที่ตามมาด้วย ก่อนที่น่านน้ำจะเข้ามาช่วยพยุงร่างบางไปที่รถอีกแรง
“น้ำฉันฝากดูแลยายด้วยนะ”
น่านน้ำมองซอลที่พยายามข่มความเจ็บปวดแล้วพูดกับเธอ ทำไมซอลต้องห่วงคุณยายเพื่อนเธอขนาดนี้ ทั้งที่ไม่ได้รู้จักหรือสนิทสนมอะไรขนาดนั้น
โรงพยาบาลสุธารารัตน์ (ห้องผู้ป่วย SS-5092)
“เธอคิดว่าตัวเองกำลังแสดงละครอยู่เหรอไง ที่พอเปลี่ยนฉากแล้วแผลจะหาย”
รอยส์ยืนกอดอกมองคนไข้พิเศษที่อยู่ในความดูแลของตัวเองอยู่ด้วยความโมโห ถ้าการฆ่าคนมันไม่ผิดหลักมนุษยธรรม จรรยาบรรณและผิดกฎหมาย คนแรกที่เขาอยากจะสั่งให้หมอฉีดยาให้ตายคงเป็นหญิงสาวที่กำลังนอนหันหลังให้เขาตอนนี้
“คุณไม่ใช่หมอซะหน่อย จะพูดมากเหมือนตัวเองเป็นคนลำบากรักษาไปทำไม”
“ซอลเธอกำลังกวนประสาทฉัน”
“เหอะ!! อุ๊บ!!”
รอยส์มองคนที่อยู่บนเตียงเหมือนกำลังจะอ้วกเขาก็รีบหยิบถังขยะใบเล็กไปรองไว้ก่อนจะช่วยคนป่วยลูบหลัง
“อ้วก! อ้วก!”
“นอนลงฉันจะวัดความดันหน่อย”
หลังจากอ้วกจนเสร็จแล้วรอยส์ก็บอกอีกฝ่าย ความจริงเขาก็จบหมอมาแหละ แต่ไม่คิดรักษาใครที่เรียนเพราะพ่อบังคับเท่านั้น แต่อาการของคนตรงหน้าทำเอาเขาอดห่วงไม่ได้
[อาการมันเกิดจากสภาวะความเครียดสะสม แต่เด็กคนนี้ไปเจออะไรมากันแน่นะ]