บทที่ 7 ครอบครัวเหรอ

1757 คำ
คฤหาสน์ตระกูลวัลพิทักษ์วงศ์ษา “ถึงแล้วลงไปสิ” รอยส์บอกคนที่กำลังนั่งอ้าปากค้างมองบ้านของตัวเอง ไม่ยอมลงไปสักที “นี่มันบ้านหรือพระราชวัง จะใหญ่ไปไหน” ซอลมองบ้านหลังใหญ่ตรงหน้าอย่างอึ้ง ๆ ที่นี่เหมือนบ้านในละครที่เธอเคยเล่นเลย มิน่าล่ะคนต่างตั้งฉายาให้เจ้าของร่างนี้นางฟ้าหรือไม่ก็เจ้าหญิง ที่แท้ก็เป็นลูกมหาเศรษฐีเกิดมาบนกองเงินกองทองนี่เอง “เธอไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับที่นี่บ้างเลยเหรอ?” รอยส์ถามอย่างอดสงสัยไม่ได้ แต่ตามที่เขาให้หมอเก่งสุดในโรงพยาบาลตรวจโดยละเอียดแล้ว ผลการเอกซเรย์ทุกอย่างปกติดีนี่ มันแปลกมากนะที่เรื่องของตัวเองจำไม่ได้ แต่เรื่องของคนอื่นกลับจำได้หมด “ไม่! สมองฉันคงกระทบกระเทือนมั้ง ขนาดตายังเกือบมองไม่เห็นเลย” คิ้วสวยขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย เพราะเธอไม่ค่อยถูกชะตากับเจ้าของร่างคนเก่ามันก็เลยไม่แปลกหรอกที่เธอไม่เคยรู้เรื่องของร่างนี้นอกจากชื่อและต้องทำงานเข้าฉากกันวันไหนบ้าง เธอเลยเลือกที่จะโกหกแต่ก็คิดอยู่แล้วว่าเขาคงไม่เชื่อหรอก “ช่างเถอะฉันแค่สงสัยน่ะว่าเธอเปลี่ยนไปเหมือนคนละคนเลย” [ก็คนละคนไงล่ะ] “ก็ไม่รู้สิ คุณก็ให้หมอที่โรงพยาบาลตัวเองตรวจฉันอีกทีดีไหม?” ซอลทำหน้าตากวน ๆ ใส่อีกฝ่าย “เฮ้อ~~~เอาล่ะเข้าบ้านกันเถอะ” รอยส์ถอนหายใจยาวหนึ่งทีก่อนจะเดินลงรถก่อน ให้ตายเถอะข้างนอกว่าสวยแล้วข้างในคือสวยมาก เจ้าหญิงในคฤหาสน์สุดหรูชัด ๆ ส่วนเธอกว่าจะหาเงินได้แต่ละบาทเลือดตาแทบกระเด็น นี่สินะที่เขาเรียกว่าเกิดบนกองเงินกองทอง “คุณอาริสาสวัสดีครับ” รอยส์พาลูกสาวคนกลางของบ้านเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ที่มีคุณผู้หญิงของบ้านนั่งอยู่กับลูกสาวติดตัวเอง “สวัสดีจ๊ะหลาน คุณพ่อคุณแม่สบายดีหรือเปล่า?” “สบายดีครับ” รอยส์ตอบพร้อมรอยยิ้ม “สวัสดีค่ะแม่” รินที่คิดว่าผู้หญิงวัยกลางคนที่ดูน่าเกรงขามคนนี้คงเป็นแม่ของซอลแน่เธอเลยยกมือไหว้ทักทายทันที “ดูท่าทางไม่เจ็บแค่ตัว แต่สมองคงจะกระทบกระเทือนด้วยละมั้ง” ซอลหันไปมองผู้หญิงอีกคนที่พูดขึ้น เธอรู้จักผู้หญิงคนนี้ พิ้งค์ ดาราปลายแถวที่เคยมาเป็นตัวประกอบในโฆษณาแบรนด์น้ำหอมที่เธอเคยถ่ายตัวหนึ่ง ก็ไม่ได้อยากจะพูดดูถูกใครว่าปลายแถวหรอกนะ แต่นอกจากบทตัวประกอบที่ออกมานิดหน่อยตามละคร เธอก็ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายได้รับบทหลัก ๆ เลย แล้วถ้าจำไม่ผิดทั้งคู่ใช้คนละนามสกุล [ถ้าอยู่บ้านด้วยกันจริงและเรียกผู้หญิงคนนี้ว่าแม่เหมือนซอล งั้นก็คงเป็น!] “ลูกติดเหรอ?” คำพูดของซอลทำให้หญิงสาวทั้งสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาถึงกับแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา โดยเฉพาะพิ้งค์ เธอมีปมเรื่องนี้อยู่แล้วเพราะตัวเองเป็นแค่ผู้อาศัยบ้านหลังนี้ก็ว่าได้ ตอนนี้เธอโกรธจนแทบอยากจะกระโดดไปตบหน้าสวย ๆ ของคนที่พูดให้เสียโฉม แต่ติดที่มีชายหนุ่มมองอยู่ ส่วนซอลที่เห็นอาการของอีกฝ่ายก็คิดว่าตัวเองอาจจะพูดอะไรผิดไปเลยดึงแขนเสื้อของรอยส์เบา ๆ ก่อนจะกวักมือให้เขาก้มหัวลง รอยส์ก็ไม่ได้ขัดขืนยอมทำตามที่อีกฝ่ายบอก “อะไร?” “ฉันพูดอะไรผิดเหรอ ทำไมเหมือนเธอไม่ค่อยพอใจเลย?” รินกระซิบเสียงเบา คนที่ได้ฟังคำถามถึงกับต้องถอนหายใจอีกที แต่ก็ยอมตอบในสิ่งที่เธอถาม “คุณอาริสาเป็นแม่เลี้ยงของเธอ ส่วนอีกคนก็พิ้งค์ตามที่เธอบอกเป็นลูกติดของอาริสา และเธอก็มีน้องสาวพ่อคนเดียวกันอีกคน” ซอลที่ฟังก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่ในวงการบันเทิงมีใครรู้สถานะของสองคนนี้หรือเปล่านะ? “พี่รอยส์ขา พิ้งค์ไม่เห็นพี่รอยส์มาหลายเดือนเลยนะคะ ไปที่คลับก็ไม่ค่อยเห็น” พิ้งค์เดินมาผลักซอลออกห่างจากรอยส์อย่างจงใจ ก่อนจะกอดแขนรอยส์แนบชิดกับอกตัวเอง “ช่วงนี้พี่อยู่ที่โรงพยาบาลน่ะครับ ถ้าน้องพิ้งค์ไปเยี่ยมน้องซอลคงได้เจอพี่” น้องซอล! ซอลขำสรรพนามที่อีกฝ่ายเรียกตัวเอง นั่นสินะตั้งแต่รู้จักเขาในฐานะของซอลไม่เห็นจะเรียกแบบนี้เลย แต่ช่างเถอะเพราะคำพูดของอีกฝ่ายที่ตอบพิ้งค์มันทำให้เธออดยิ้มไม่ได้ ดูเหมือนว่ายายดาราปลายแถวคนนี้จะเกลียดซอลอย่างเห็นได้ชัดเลย [ดูเหมือนว่าการอยู่ที่นี่คงจะมีเรื่องให้เธอลำบากกว่าที่คิด] “เอ่อคือ...พิ้งค์” “ช่วงนี้หนูมีงานถ่ายละครใช่ไหมลูก เลยไม่ได้ไปเยี่ยมซอล” คนเป็นแม่ที่เห็นว่าลูกสาวอึกอักก็รีบแก้ต่างให้ลูกสาว “ใช่ค่ะ...ใช่ช่วงนี้พิ้งค์ทำงานหนักมาก ทั้งละคร โฆษณาแต่พิ้งค์ก็เป็นห่วงซอลมากเลยนะ” พิ้งค์ส่งสายตาอ้อนเพื่อหวังให้รอยส์เชื่อ [แม๊~ งานหนักจริงนะคุณดาราดัง] ซอลกลอกตาไปมาด้วยความหมั่นไส้กับการที่อีกฝ่ายโอ้อวด “ครับ ตอนนี้น้องซอลก็กลับมาแล้ว น้องพิ้งค์ก็ไม่ต้องห่วงแล้วครับ” “เอ่อ...ขอโทษที่ขัดจังหวะ คือว่าห้องน้ำอยู่ไหนเหรอคะ?” ซอลพูดแทรกขึ้นมา นั่นทำให้พิ้งค์ตวัดสายตามามองเธออย่างไม่พอใจ แต่แล้วยังไงล่ะใครกลัว “ไม่มีมารยาท” ริสาพูดขึ้นหลังจากได้ยินคำพูดของลูกเลี้ยง แต่ท่าทางของหญิงสาวที่ยักไหล่อย่างไม่สนใจ ทำให้เธอถึงกับอึ้ง ยัยเด็กคนนี้ไม่เคยกล้าทำแบบนี้เลยสักครั้ง หรือจะเป็นบ้าไปแล้ว “แม่บ้าน!! แม่บ้าน…” เสียงพิ้งค์ตะโกนเสียงดังไปทั่วบ้าน ทำเอารอยส์ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ปวดหูไปหมด “ค่า...คุณหนู นามาแล้วค่ะ” “พาซอลกลับไปที่ของตัวเองหน่อย” พิ้งค์ทำสีหน้ารำคาญอย่างเห็นได้ชัด “ค่ะ” ซอลได้แต่ทำหน้างงแล้วก็หันมองรอยส์ รอยส์พยักหน้าให้เธอตามแม่บ้านไปตามที่พิ้งค์บอก พอเห็นแบบนั้นเธอเลยยอมเดินตามแม่บ้านอย่างว่าง่าย ไม่นานเธอก็เดินมาถึงสวนด้านหลังก่อนจะเจอกับบ้านไม้หลังเล็ก [บ้านใครหรือว่าเป็นบ้านรับรองแขก?] “คุณหนูซอลถึงแล้วค่ะ” “ที่นี่คือที่ฉันอยู่เหรอ?” “ค่ะ” แม่บ้านทำหน้างงกับคำถามแปลก ๆ ของคนตรงหน้า แต่ก็ไม่กล้าที่จะถามเพราะถ้าคุณ ๆ ที่ตึกใหญ่รู้ว่าสนิทสนมกับหญิงสาวตรงหน้าคงถูกไล่ออก ทั้งที่ความจริงแล้วเธอชอบดูละครของคุณซอลมาก เป็นนางเอกในดวงใจของเธอ “อย่างนั้นก็ขอบคุณมาก เธอกลับไปทำงานต่อเถอะฉันไม่รบกวนแล้ว” คำพูดที่ดูไม่หวาดกลัวหรือนอบน้อมแม้แต่กับคนใช้ในบ้าน ทำให้คนที่ฟังอดสงสัยไม่น้อย หลังจากที่แม่บ้านเดินออกไปเธอก็ยกกระเป๋าเดินเข้าบ้านทันที แกร๊ก!!! ทันทีที่ประตูถูกผลักเข้าไปรูปมากมายของคนที่เธอเข้ามาอาศัยร่างอยู่ก็ถูกตั้งอยู่เต็มบ้าน [นี่เธออยู่บ้านหลังเล็ก ๆ แบบนี้จริงเหรอ?] พอเดินเข้ามาในตัวบ้านเธอก็วางกระเป๋าไว้บนโซฟาเล็กกลางบ้าน ก่อนจะเดินสำรวจหาห้องน้ำ หลังจากเข้าห้องน้ำเสร็จเธอก็เดินขึ้นชั้นสองซึ่งน่าจะเป็นห้องนอนเจ้าของร่างคนเก่า ห้องนี้ถูกแต่งด้วยสีฟ้าและน้ำเงินซะส่วนใหญ่ ใครหลายคนคิดว่าโทนสีชนิดนี้คือตัวแทนของความสดใส แต่ใครจะรู้ล่ะว่าในอีกความหมายมันหมายถึงความโดดเดี่ยวได้อีกด้วย “บ้านหลังใหญ่ไม่อยู่ มาอยู่บ้านหลังเล็ก ๆ นี่นะ ทั้งที่ทั้งหมดมันคือของตัวเอง ทำไมต้องหลีกทางให้คนอื่นด้วย เธอเป็นคนดีหรือคนโง่กันแน่” “ซอล! ซอล!” “ใครน่ะ? รอแป๊บกำลังจะไป” พอได้ยินเสียงเรียกชื่อเธอก็รีบวิ่งออกจากห้องลงบันไดไปหาคนที่เรียกหาทันที “คุณนี่เองมีอะไร?” คนที่เรียกหาเธอคือรอยส์นั่นเอง “ฉันจะกลับแล้ว ออ!! ส่วนเรื่องที่เธอขอในรถฉันบอกพ่อเธอให้แล้ว ท่านอนุญาตเดี๋ยววันมะรืนฉันจะมารับ อีกอย่างพ่อเธอบอกว่าถ้าท่านยังไม่กลับมาห้ามออกจากบ้านเด็ดขาด เธอมีโทรศัพท์หรือเปล่า?” “น่าจะไม่มีนะหรือมีฉันก็ไม่รู้ จำไม่เลยจริง ๆ” ซอลพูดพร้อมกับตีหน้าซื่อ “ช่างเถอะ นี่เป็นโทรศัพท์สำรองของฉัน เธอเอาไปใช้ก่อนรหัสเข้าก็หนึ่งหกตัว มีอะไรก็โทรหาฉันด่วนมันเมมเบอร์ว่ารอยส์1เข้าใจหรือเปล่า?” รอยส์ย้ำเสียงหนักแน่น “เข้าใจแล้ว” แต่ยังไม่ทันที่รอยส์จะก้าวขาออกไปเธอก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “เอ่อ นี่คุณตอนนี้ฉันหิวข้าวมาก ต้องทำยังไง?” “งั้นก่อนฉันจะกลับ จะบอกให้แม่บ้านเอาของกินมาให้เธอแล้วกัน” “โอ๊ะ!! แบบนั้นดีเลยยังไงก็ขอบคุณล่วงหน้านะ ต้องรบกวนคุณแบบนี้ฉันล่ะเกรงจ้ายยย เกรงใจ” คนที่พูดว่าเกรงใจฉีกยิ้มกว้างจนคนที่มองต้องส่ายหน้าไปมา “เฮ้อ~อยู่กับเธอแล้วเหมือนฉันจะอายุสั้นลงอีกสิบปีเลย” รอยส์บ่นให้คนตรงหน้าเสร็จก็เดินออกไป ส่วนซอลก็ได้แต่คิดในใจว่าผู้ชายตรงหน้าคนนี้ก็เป็นคนดีกว่าที่คิด และรอยยิ้มบนใบหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นความเศร้า เมื่อความโดดเดี่ยวคืบคลานเข้ามาอีกครั้งเมื่อชายหนุ่มเดินออกไปแล้ว [ยาย รินคิดถึงยายจังเลย]
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม