หลังจากเหตุการณ์อุ่นเบาะเมื่อสักครู่ผ่านไปลัลน์ลลิตก็ถึงกับสร่างเมา หญิงสาวควบรถซูเปอร์คาร์ขับลัดเลาะไปตามเส้นทางในจีพีเอสเพื่อมุ่งหน้าไปยังโรงแรมที่จองไว้เมื่อตอนหัวค่ำ แต่จู่ๆ ก็เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น เมื่อจู่ๆก็มีสุนัขตัวสีดำวิ่งตัดหน้ารถของเธอ
"ว้ายยยย"
โครม!
ลัลน์ลลิตหักหลบสุนัขอย่างกะทันหัน จนทำให้รถปีนขึ้นไปอยู่ฟุตบาทข้างทางพุ่งเข้าชนกับเสาไฟฟ้าส่องสว่างอย่างรุนแรง
"โอ๊ย!"
ฝ่ามือเล็กรีบยกขึ้นลูบหน้าผากตัวเองเพียงเบาๆ ก็รู้สึกเจ็บทั้งข้อมือและหน้าผาก เจ็บจนน้ำตาเล็ดออกมาอัตโนมัติ นาทีนั้นรู้สึกเหมือนตัวเองตายไปแล้วถ้าไม่ติดว่าหัวใจยังคงเต้นรัวอยู่ ราวกับจะกระเด็นออกมานอกอก
เธอสะบัดศีรษะเล็กเพื่อเรียกสติ แต่นั่นกลับทำให้เธอปวดหัวมากกว่าเดิม
"โอ๊ย!!"
ตุบ! ตุบ!
"คุณ! คุณเป็นอะไรมากหรือเปล่า ลงมาจากรถไหวมั้ย"
เสียงทุ้มที่เหมือนเพิ่งได้ยินไม่นานทำให้เธอได้สติกลับมาอีกครั้ง ลัลน์ลลิตจึงรีบกดปุ่มลดกระจกรถลง ทำให้พบกับผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังโน้มลงมามองเธอผ่านทางกระจกรถบานนั้น หนุ่มหล่อมีสีหน้าแตกตื่น ตัวเธอเองก็ตกใจไม่ต่างกันเมื่อเห็นคนที่เพิ่งแยกจากกันอยู่ตรงนี้
“หน้าผากคุณแตกหนิ”
"ถึงว่าสิฉันเจ็บมาก"
เธอบอกกับเขาเสียงแผ่วเบา พอมองไปเบื้องหน้ากระโปรงรถก็พบว่า มันกำลังมีควันพวยพุ่งออกมาเป็นจำนวนมาก พอใช้นิ้วแตะลงตรงหน้าผากอีกครั้งปรากฏว่ามันมีเลือดติดออกมาด้วย
ลัลน์ลลิตฟุบหน้าลงพวงมาลัยและเริ่มหายใจติดขัดหลังจากนั้นก็เหมือนโลกของเธอวูบดับลงไป
"คุณ! คุณ!"
ชรัญธรรีบเอื้อมมือเข้าไปปลดล็อกประตูรถ และดึงตัวหญิงสาวออกมาจากรถอย่างทุลักทุเล โชคดีมีพลเมืองดีที่เห็นเหตุการณ์เข้ามาช่วยเหลืออีกแรง
ลัลน์ลลิตถูกนำตัวส่งที่โรงพยาบาลโดยมีชรัญธร ผู้ชายที่เข้าไปช่วยเธอเป็นคนแรกติดตามไปด้วย เขาจัดการกรอกประวัติให้ โดยใช้ข้อมูลจากบัตรประชาชนในกระเป๋าของเธอ ที่เขาถือวิสาสะหยิบติดมือมาจากรถที่ประสบเหตุ
แต่ไม่ลืมหมายเหตุกับทางโรงพยาบาลว่าเขาเป็นเพียงพลเมืองดีผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้น ไม่ได้เป็นญาติของเธอแต่อย่างใด
หลังจากแยกกันที่ลานจอดรถ ชรัญธรเห็นเธอขับรถไม่ตรงนักนึกเป็นห่วงจึงขับรถตามมา และเห็นเหตุการณ์ตอนที่เธอขับรถหักหลบสุนัขที่วิ่งข้ามถนนกะทันหัน จนรถเสียหลักพุ่งชนกับเสาไฟฟ้าส่องสว่าง แต่ที่เธอศีรษะแตกคงเป็นเพราะเธอไม่คาดเข็มขัดนิรภัย และระบบถุงลมนิรภัยไม่ทำงาน ทำให้ศีรษะกระแทกเข้ากับพวงมาลัยรถอย่างจัง
ตอนนี้เธอพ้นขีดอันตรายแล้วแต่ยังไม่ฟื้น เขาเลยตัดสินใจจะอยู่เฝ้ารอจนกว่าเธอจะฟื้น เผื่อจะช่วยอะไรเธอได้บ้าง
เช้าวันต่อมา
"อื้อ...โอ๊ย!"
ร่างเล็กที่อยู่บนเตียงคนไข้ขยับตัวเล็กน้อยแต่ก็ต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด มือของเธอกุมอยู่ตรงผ้าพันแผลบนศีรษะ
"ฟื้นแล้วเหรอคุณ" ชรัญธรที่นั่งอยู่บนโซฟาถัดไปเล็กน้อย เดินเข้ามาถามอาการของเธอด้วยท่าทีเป็นห่วงเป็นใย
"...ที่นี่ที่ไหนคะ"
เธอถามด้วยความสงสัยพลางยันตัวลุกขึ้นนั่ง แต่เหมือนเธอจะไร้เรี่ยวแรงเกินไป เห็นอย่างนั้นชรัญธรจึงช่วยเธอปรับเตียงขึ้นเพื่อให้เธอได้นั่งสะดวกๆ
"โรงพยาบาล"
"คุณพาฉันมาส่งที่นี่เหรอคะ"
"ครับ เดี๋ยวผมเรียกหมอให้นะ" ชายหนุ่มกดกริ่งตรงหัวเตียงเพื่อพยาบาลให้เข้ามาดูแลต่อ
"คนไข้ฟื้นแล้วครับ"
"ขอบคุณนะคะ ลำบากคุณชาร์คแย่เลย" โชคดีที่จำชื่อเขาได้ไม่อย่างนั้นคงน่าเกลียดแย่
"ไม่เป็นไรครับ เป็นใครเจอแบบนี้ก็ต้องช่วยเหลือกันทั้งนั้น"
"เอ่อ...คุณเฝ้าฉันทั้งคืนเลยเหรอคะ"
"ประมาณนั้นครับ คุณลัลน์ลลิต อิงตระกูล" เจ้าของใบหน้าคมส่งยิ้มให้เธอจนตาหยี ยิ้มที่เห็นแล้วหัวใจกระตุกไหวได้ไม่อยาก
"โธ่ เรียกลัลน์เถอะค่ะ เรียกชื่อจริงฉันขนาดนั้นเขินแย่เลย"
"นั่นสินะ คุณลัลน์" ชรัญธรเกาคอแก้เก้อ ระหว่างนั้นโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นขัดจังหวะ
ครืดๆ ครืดๆ
"สงสัยน้องสาวผมจะโทรตาม ขอตัวไปรับโทรศัพท์ก่อนนะครับ"
"เชิญค่ะ"
ลัลน์ลลิตบอกพลางส่งยิ้มบางๆ ให้เขา อดไม่ได้ที่จะชะเง้อคอมองตามคนตัวสูง ที่เปิดประตูเดินออกไปข้างนอกด้วยความอยากรู้ว่าเขาคุยกับน้องสาวจริงหรือเปล่า
"เมื่อคืนเรามีอะไรกันกับเขาจริงๆ เหรอเนี่ย"
ไม่รู้เมาหรือเบลอจากอาการรถชนทำให้ลัลน์ลลิตรจำได้บ้างไม่ได้บ้าง ระหว่างนั้นหมอเจ้าของไข้ก็เข้ามาตรวจอาการของเธอพอดี ลัลน์ลลิตจึงต้องหยุดความสงสัยเอาไว้เพียงเท่านั้น
อีกด้าน
(ฮัลโหลพี่วาฬ พี่ไปหลงทางอยู่ที่ไหน ทำไมไม่รู้จักกลับบ้านกลับช่อง)
"พี่อยู่หัวหินมีเรื่องให้จัดการนิดหน่อยน่ะ ฝากบอกคุณแม่ให้พี่ด้วยว่ากลับถึงบ้านช้านะ"
(มีเรื่อง! เรื่องอะไรพี่ ...ใครมีเรื่องยายดาว ...ก็พี่ชาร์คน่ะสิคะมีเรื่อง!)
"ไม่ใช่อย่างนั้น พี่มีธุระพอดี ฝากบอกคุณแม่ด้วยว่าไม่ได้ไปทำบุญด้วย แค่นี้นะ"
ติ๊ด!
เมื่อเห็นว่าคุณหมอกำลังจะเดินออกมาจากห้อง ชรัญธรจึงกดวางสายของน้องสาวและรีบเข้าไปถามอาการของลัลน์ลลิต
"คุณหมอครับ เธอเป็นยังไงบ้างครับ" เขาพยายามสื่อสารเป็นภาษาไทย แม้สำเนียงจะไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ก็เถอะ
"คนไข้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วครับ จะมีก็แต่แผลบนหน้าผากที่ต้องล้างทุกวัน ถ้าไม่สะดวกล้างเองก็สามารถกลับมาล้างที่โรงพยาบาลได้ รับยาแล้วก็กลับบ้านได้เลยครับ"
"ครับ ขอบคุณนะครับคุณหมอ"
หลังจากที่หมออนุญาตให้ลัลน์ลลิตกลับบ้านได้ ชรัญธรก็อาสาขับรถมาส่งลัลน์ลลิตที่คอนโดมิเนียมของเธอ แม้ว่าอีกฝ่ายจะบอกว่าไม่เป็นอะไรแล้วก็ตาม แต่เขาก็ไม่วางใจเพราะเห็นเธอยกนิ้วขึ้นนวดขมับอยู่เป็นระยะ ทำให้เขากังวลว่าลัลน์ลลิตจะมีอาการวูบไประหว่างเดินทาง ที่สำคัญรถของเธอถูกลาไปซ่อม ส่วนเขามีบ้านอยู่ที่กรุงเทพเหมือนกัน
"คุณพักอยู่ที่นี่เหรอครับ" ชรัญธรเอ่ยถามเมื่อถึงหน้าคอนโดมิเนียมที่ลัลน์ลลิตบอกว่าเธอพักอาศัยอยู่
"ค่ะ คุณจอดให้ฉันลงตรงนี้เถอะค่ะ เดี๋ยวฉันเดินเข้าไปเอง"
"ผมคงทำให้คุณลำบากใจใช่มั้ย เห็นคุณไล่ผมกลับตั้งแต่ที่โรงพยาบาลแล้ว"
ชรัญธรค่อนขอด ทว่ากลับหมุนพวงมาลัยเลี้ยวเข้าไปภายในคอนโดมิเนียมตามใจสั่ง
"ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ"
ลัลน์ลลิตถึงกับรีบยกมือขึ้นปฏิเสธเป็นพัลวัน เมื่อเห็นหน้าเจื่อนๆของชรัญธร เขาน่าจะอายุมากกว่าเธอหลายปีเลยแหละ ท่าทางเป็นผู้ใหญ่ รู้จักเว้นระยะไม่รุ่มร่ามแบบเมื่อคืน แต่แลเธออย่างดีทุกขั้นตอน
"ก็ฉันเห็นคุณเฝ้าฉันทั้งคืน ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักมักจี่กันมาก่อน บ้านช่องก็ไม่กลับ ฉันกลัวว่าคนที่บ้านของคุณจะเป็นห่วง"
“อืม...” เหอะ เชื่อเธอเลย เพิ่งได้กันเมื่อคืนฟื้นขึ้นมาบอกว่าไม่รู้จักมักจี่ แต่ปี้กันแล้วเนี่ยนะ
ลัลน์ลลิตวางมือลงบนต้นขาของเขาพร้อมทำเสียงอ่อนใส่คนโตอย่างที่ไม่เคยทำกับใครมาก่อน
“....เอ่อ...คุณไม่ได้โกรธฉันใช่มั้ย”
"ก็อยากจะโกรธอยู่เหมือนกันนะ ถ้าไม่ติดว่ามีแมวน้อยแถวนี้มาทำเสียงอ้อนใส่ซะก่อน"
"อ๊ะ!" ลัลน์ลลิตสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อชรัญธรเอื้อมมือมาปลดเข็มขัดนิรภัยออกให้เธอ ทำให้ใบหน้าหล่อคมอยู่ห่างจากจมูกรั้นของเธอแค่คืบ
"รีบขึ้นไปพักเถอะครับ ผมบอกที่บ้านไว้แล้วว่าตอนนี้กำลังช่วยแมวน้อยผู้ประสบภัยอยู่"
"ค่ะ เอ่อ งั้นถ้าไม่รังเกียจ ฉันขอเลี้ยงกาแฟคุณสักแก้วนะคะ"
"นั่นล่ะครับ คือสิ่งที่ผมกำลังต้องการมากที่สุดในตอนนี้"
ชรัญธรอ้าปากหาวหวอดๆ เพื่อยืนยันคำพูดจนน้ำหูน้ำตาไหล บ่งบอกว่าเขากำลังง่วงนอนอย่างหนัก
ลัลน์ลลิตยอมใจอ่อนให้ชรัญธรตามขึ้นมาบนห้อง ด้วยว่าเขาดูเป็นคนอัธยาศัยดี ไม่มีพิษภัย แถมยังแลกบัตรประชาชนกับรปภ.ที่ดูแลคอนโดแบบไม่อิดออดอีก
"อเมริกาโนร้อน คุณชาร์คจะใส่น้ำผึ้งด้วยมั้ยคะ"
ลัลน์ลลิตเอ่ยถาม ระหว่างรอเครื่องชงกาแฟ แต่เมื่อเห็นว่าเขาเงียบไปเธอจึงเดินเข้าไปหาคนที่บอกว่าจะนั่งรอดื่มกาแฟอยู่ตรงโซฟากลางห้อง
"อ้าว หลับซะแล้ว"
ภาพที่เห็นคือชรัญธรนอนหนุนแขนตัวเองต่างหมอนหลับอยู่บนโซฟา เสียงพ่นลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอบ่งบอกว่าหลับสนิท คนตัวใหญ่หลับตาพริ้มไม่มีทีท่าว่าจะตื่น
ลัลน์ลลิตเผลอยืนสำรวจใบหน้าหล่อเหลาราวกับคนสร้างตั้งใจปั้นแต่งออกมาอย่างวิจิตร คิ้วเข้มพาดเฉียงขึ้นเหนือดวงตาที่ปิดสนิทรับกับแพขนตาดกดำที่ทาบลงบนผิวแก้ม ใบหน้าใสผุดผ่องไร้ที่ติ น่าแปลกที่ฝรั่งส่วนมากผิวขาวขนาดนี้จะมีร่องรอยของกละ แต่ชรัญธรกลับผิวขาวเรียบเนียนอย่างน่าอิจฉา จมูกของเขาคมสันรับกับปากหยักได้รูปสีแดงดูสุขภาพดีน่าจุมพิต เห็นแล้วพาลให้ใจสั่นจนต้องเบือนสายตาหลบไปมองอย่างอื่นด้วยความขวยเขิน
เห็นอย่างนั้นแล้วเธอก็ไม่ได้ใจดำปลุกให้เขาตื่น กลับเดินเข้าไปหยิบหมอนในห้องนอนออกมาให้เขาหนุน พร้อมคลุมผ้าห่มลายแมวน้อยให้อีกด้วย
"ขอผมงีบสักหน่อยนะคุณ"
ชรัญธรพึมพำจนแทบจะฟังไม่ได้ศัพท์ทั้งๆ ที่เปลือกตายังปิดสนิทเขาพลิกตัวนอนตะแคงข้างเอื้อมมือหนามากุมลงที่มือของลัลน์ลลิต ในขณะที่หญิงสาวกำลังจับผ้าห่มดึงขึ้นคลุมตัวให้เขา
เจ้าของห้องไม่ได้ผลักไส ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับ ได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ ให้เขาอย่างเอ็นดู เผลอคลี่ยิ้มออกมาเมื่อเห็นเขาดึงมือเธอเข้าไปแนบลงบนแก้มอุ่นๆ ของตัวเอง
เธอลังเลและคิดจะดึงมือกลับ แต่กลัวว่าเขาตื่น จึงทำได้เพียงนั่งลงบนพื้นพรม ทิ้งระยะสักพักแล้วค่อยหาวิธีดึงมือของเธอออก
'บอกทีว่าคุณแค่ละเมอ ไม่ได้อ่อย คนอะไรหล่อชะมัด ถ้าไม่เห็นเดินอยู่บนดิน คงคิดว่าเป็นเทพบุตรไปแล้วนะเนี่ย '