พรึ่บ!
“ไม่มีมารยาท”
มือเล็กยื่นออกไปเพื่อแย่งโทรศัพท์จากมือแอสตัน แต่อีกฝ่ายรู้ทัน เขาดึงมือตัวเองหลบแล้วจ้องหน้าฉันด้วยสายตาดุ เสียงทุ้มต่ำเอ่ยพูดอย่างราบเรียบเป็นคำด่าที่ทำให้รู้สึกเจ็บในอกได้มากพอสมควร
“คุกคาม แบล็กเมล โคตรเลว” ดวงตากลมจ้องเขม็งคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก อยากกรี๊ด อยากเอาเล็บข่วนหน้าไอ้บ้านี่ที่สุดเลย!
“ใครเป็นฝ่ายเข้ามาหาก่อน ใครหาเรื่องปิดผับฉัน ใครที่พูดต่อหน้าคนอื่นว่าปิดพับเพราะอยากอยู่กับแฟน ใครเริ่ม...สงสัยจะลืม ฉันเป็นฝ่ายไปลากเธอเข้ามามั้ง” ทุกอย่างที่แอสตันพูดทำฉันคิดตาม ก็จริง...เรื่องวันนี้มันเริ่มที่ตัวฉัน เขาแค่แก้เกมให้ทั้งหมดมันพลิกไปเข้าข้างตัวได้
“แต่นายจูบ...”
“แล้วเป็นแฟนกันทำไมจะจูบไม่ได้ ทำมากกว่านี้ยังได้”
“สกปรก”
“ปากแบบนี้ต้องอีกสักรอบ” ยังไม่ทันพูดจบประโยคแอสตันก็โน้มหน้าเข้ามาใกล้ กดร่างบางหลังชิดกับประตูทำให้ฉันยิ่งหมดหนทางดิ้นหนี
“กรี๊ด! อย่านะ!” มือข้างหนึ่งที่ว่างยกดันไหล่กว้างเอาไว้
“ปากดีให้ได้ตลอดหน่อย” เสียงแหบต่ำพูดขึ้นในขณะที่ร่างกายของอีกฝ่ายเบียดชิดเข้ามา มือที่ยกดันไหล่เขาอยู่ถูกจับรวบเอาไว้แล้วกดฝังไว้กับประตู
“แอสตัน! ออกไป!”
“เราเป็นแฟนกันนะเธอพูดเอง พูดย้ำทั้งวันแล้วเรียกร้องให้จูบเองด้วยนิ”
“ไม่ได้เรียกร้องสักหน่อย ใครจะไปอยากจูบกับนาย ปล่อย!” พยายามดันเขาออกแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ เรี่ยวแรงอันน้อยนิดของฉันทำอะไรเขาไม่ได้เลย
“คนที่พูดว่าให้จูบสิ จูบสิไม่ใช่เธอเหรอ...ฉันบันทึกเสียงไว้ด้วยนะอยากฟังมั้ย”
“....” ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง เอียงหน้าหลบสุดตัวแต่ไม่ว่ายังไงก็ดูจะไม่พ้นเพราะแอสตันยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนที่เป่ารดข้างแก้ม เราอยู่ใกล้กันมากจนฉันรับรู้ถึงสัมผัสของเขาได้อย่างชัดเจนอีกด้วย
“ขอโทษฉันเดี๋ยวนี้”
“....” ขอโทษเรื่องอะไร เขาต่างหากที่ต้องขอโทษฉัน!
“ขอโทษแอสตัน จะไม่ทำตัวมีปัญหาอีกแล้ว จะแก้ข่าวเรื่องแฟนด้วย...พูดเร็ว” แรงกดที่ข้อมือเพิ่มขึ้น เป็นการย้ำให้ทำตามที่เขาต้องการเดี๋ยวนี้
“....” ฉันกัดปากล่างจนห้อเลือด ไม่แม้แต่จะหันมามองเขาและไม่คิดจะทำตามด้วย
“พูด” แอสตันย้ำอีกครั้งด้วยเสียงนิ่งดุ
“....” คิดว่ากลัวหรือไง ไม่รู้หรอกว่าเขาจะทำอะไรแต่ถ้าจูบอีกรอบจะกัดคืนจริง ๆ ด้วย
“จะพูดมั้ยหรือต้องให้เอาอะไรมางัดปาก” น้ำเสียงเหมือนคนกำลังใกล้หมดความอดทน แอสตันกำแขนฉันแรงขึ้นมั่นใจได้เลยว่าตอนนี้มันต้องขึ้นเป็นรอยนิ้วและแดงมากแน่นอน
“....” บีบคอให้ตายฉันก็ไม่พูด คนที่หาเรื่องคือเขาไม่ใช่ฉันสักหน่อย
“ได้ จะเอาแบบนี้ใช่มั้ย” สิ้นเสียงใบหน้าของเขาได้ถอยห่างออกไป และเพียงเสี้ยววินาที ได้รับรู้ถึงสัมผัสที่ข้างต้นคอกดปากจูบลงผิวนุ่ม ต้องการสร้างรอยช้ำลงผิวขาว
“อย่านะ แอสตัน!”
เสียงเล็กร้องขึ้นด้วยความตกใจสุดขีดเมื่อจู่ ๆ ก็ถูกอีกฝ่ายทำเรื่องแบบนี้ พยายามดิ้นสุดตัวก็ไร้ประโยชน์ รับรู้ถึงความเจ็บบนผิวตรงจุดที่ริมฝีปากทาบทับอยู่ ปากร้อนขบเม้มดูดย้ำอย่างตั้งใจให้รอยนั้นขึ้นชัดที่สุดแล้วยังไม่พอเพียงเท่านั้น เพราะแอสตันเอียงใบหน้าทำสลับอีกฝั่งอย่างเอาแต่ใจ
พรึ่บ!
เมื่อทำในสิ่งที่ตัวเองพอใจสำเร็จแล้วเขาก็ผละออก ฉันถูกปล่อยให้เป็นอิสระรีบยกมือขึ้นปิดต้นคอบริเวณที่ถูกเขาทำรอย ดวงตากลมจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็งอย่างโมโหแต่ก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้แอสตันมากกว่านี้แล้ว ปกติเราขยะแขยงกันจะตาย เดินเฉียดกันยังไม่มีใครอยากเข้าใกล้กัน แต่นี่เขา...
“อย่าเข้ามาใกล้ฉันอีก อย่าให้เรื่องเป็นแฟนเกิดขึ้นมาด้วย ต่างคนต่างอยู่ไม่อย่างนั้น...” ริมฝีปากแดงยกยิ้มอย่างผู้ชนะ เขาหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาโชว์ภาพของเราให้ได้เห็นเป็นการย้ำเตือน
“....” เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงทำกับฉันไม่เหมือนที่ผ่านมา...เป็นเอาคืนในทุกเรื่องและข่มขู่ให้ฉันยอมแพ้ด้วยตัวเอง
“ในห้องนี้มีกล้องวงจรปิดมียันภาพเคลื่อนไหว”
“....!” ไอ้บ้านี่มัน...หมดคำด่าจริง ๆ
รู้ตัวนะว่าต้องทำยังไงต่อ ถ้าไม่อยากให้ภาพพวกนี้หลุดออกไปฉันทำให้เป็นข่าวยังไงได้เลย บ้านเราสองคนมีแต่คนสนใจอยู่แล้ว นึกถึงถ้าเรื่องนี้ไปถึงหูพ่อแม่สิ...ลูกสาวคนโตของบ้านปริยากรสกุลมาหาผู้ชายถึงที่ มาทำเรื่องแบบนี้ในที่ของอีกฝ่ายในคืนวาเลนไทน์”
“....”
“เรื่องพวกนี้มันทั่วไปในสังคมสมัยนี้ แต่คนเสียไม่ใช่ฉันแน่ แล้วพรุ่งนี้จะไปเรียนไงใช้เครื่องสำอางปกปิดมันคงเลอะบ้างแหละ แล้วคิดว่าคนอื่นเขาไม่รู้เหรอ...ไม่น่านะ” คนในมหาวิทยาลัยรู้มากจะตาย ตาเป็นสับปะรดกันสุด ๆ แต่ก่อนจะข้ามถึงวันพรุ่งนี้วันนี้ฉันต้องจัดการตัวเองให้ได้ก่อน จะเข้าบ้านยังไง!
“ทุเรศ”
“ฉันไม่ใช่คนเริ่ม โดนบ้างจะได้สงบ” เราจ้องหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
“....” น่าหมั่นไส้ โมโห หงุดหงิด อยากกรี๊ด ทุกความรู้สึกถาโถมเข้าใส่ฉันไม่หยุด ยิ่งตอนนี้เหมือนตัวเองแพ้แอสตันทุกทางยิ่งรู้สึกโมโหมากขึ้นไปอีก
“ประตูไม่ได้ล็อก ต้องให้อุ้มไปส่งที่รถด้วยมั้ย”
“มีขาเดินเองได้”
ปึง!
พูดจบก็เปิดประตูเดินออกไปทันทีแล้วยังใช้มือผลักประตูให้ปิดลงเต็มแรง แล้วเดินตรงไปทางประตูท่ามกลางสายตาของพนักงานที่มองมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น ใช้ผมยาวปกปิดต้นคอของตัวเอง มือทั้งสองข้างกำแน่นเก็บความรู้สึกจนกระทั่งในที่สุดก็เข้ามาอยู่ในรถของตัวเอง
“กรี๊ด!!! กรี๊ด!!! กรี๊ด!!!”
เสียงกรีดร้องดังลั่นในรถที่มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่ได้ยิน มือทั้งสองข้างกำพวงมาลัยแน่นก้มหน้าแผดเสียงออกมาสุดความดัง แล้วยังคงกรี๊ดซ้ำ ๆ ไม่หยุด ในอกมันเต็มไปด้วยความรู้สึกอึดอัดที่ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้
เรื่องทั้งหมดกำลังทำให้เข้าใกล้คำว่าเป็นบ้า ฉันกรีดร้องไม่สนว่าเส้นเสียงตัวเองจะแตกหรือพรุ่งนี้จะเจ็บคอหรือไม่ หัวใจยังคงเต้นแรงถี่ไม่หยุดและไม่มีทีท่าว่าจะเบาลงได้เลยด้วยซ้ำ
“กรี๊ด!!!”
(แอสตัน)
ณ บ้านตระกูลพงศ์สานุกรณ์ เวลา 23.45 น.
ตึก ตึก ตึก
“เป็นไงมั่ง”
คำถามที่ดังมาจากทิศทางห้องครัว ทำให้ร่างสูงที่กำลังเดินเข้ามาถึงโถงใหญ่กลางบ้านต้องหยุดชะงักแล้วหันไปมอง จึงพบกับมาร์ตินที่เดินออกมาพร้อมแก้วนมในมือ ท่อนบนเปลือยเปล่าส่วนล่างสวมเพียงกางเกงขายาวสีเทาเข้ม ผมไม่ได้เซตให้เข้าทรงและยุ่งเหยิงรับรู้ได้ว่ามันน่าจะพึ่งตื่นมากลางดึก
“อะไรเป็นไงมั่ง” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ไม่เข้าใจคำถามของมาร์ตินเท่าไร
“เขียนฝันกับมึง” สิ่งที่สงสัยได้ความกระจ่างทันที มาร์ตินยกแก้วนมขึ้นดื่มสายตาจ้องหน้าเขาอย่างรอคำตอบ
“ไม่มีอะไร แต่จากนี้น่าจะเลิกกวนประสาทกูได้แล้ว” ถ้ายังไม่หยุดก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ถ้าจะให้ทำมากกว่านี้ไม่เอาหรอก ใครก็ได้แต่ต้องไม่ใช่...
“ทำอะไรมา” มาร์ตินจ้องหน้าด้วยความสงสัย
“วิธีของกูเองไม่มีไร แล้วแม่ล่ะ” ปากก็ถามมาร์ตินสายตาก็มองซ้าย มองขวาหาแม่ตัวเอง เวลาแบบนี้น่าจะเข้านอนไปแล้ว
“อยู่กับแฟนเขาสิ จะมาสนใจอะไรมึง” มาร์ตินตอบกลับด้วยเสียงปกติ แล้วเดินนำหน้าตรงไปยังบันไดเพื่อกลับไปที่ห้องนอนตัวเอง ซึ่งเขาได้เดินตามหลังแฝดตัวเองไปเช่นกัน
“ออ ลืมไปว่าเป็นแค่ลูก แล้ววันนี้ไม่ไปเฝ้าใคร?”
“เฝ้าใคร” เสียงทุ้มย้อนถามกลับอย่างไม่เข้าใจ ขายาวก้าวเดินขึ้นบันไดตามไปไม่ห่าง จากมุมนี้เขาเห็นเพียงแผ่นหลังเปลือยเปล่าของมาร์ตินเท่านั้น ไม่เห็นสีหน้าและไม่สามารถจับพิรุธมันได้
“เฝ้าไอ้เต๋า”
ไม่มีเสียงตอบกลับ มันสองคนตัวติดกันมากจนคนในมหาวิทยาลัยพูดว่าเป็นมากกว่าเพื่อนไปแล้ว แต่เขาในฐานะที่เป็นฝาแฝดกันย่อมรู้ดีว่าไม่ใช่อย่างที่ทุกคนคิด...