“ปล่อย!”
พรึ่บ!
แขนเรียวสะบัดออกจากการถูกเกาะกุม ทำให้ร่างสูงหยุดชะงักก่อนหันกลับมาสบตา ฉันล้วงหยิบเอากระดาษทิชชูเปียกขนาดพกพาออกจากกระเป๋า หยิบออกมาหนึ่งแผ่นเช็ดไปตามแขนข้างที่ถูกเขาจับ แล้วเช็ดช่วงเอวตัวเองที่ถูกแขนเขากอดก่อนหน้านี้
“....” แอสตันจ้องมองการกระทำคนตรงหน้าจนกระทั่งฉันเงยหน้ามาสบตา จึงได้เห็นริมฝีปากแดงมุมปากยกยิ้ม รอยยิ้มยียวนราวกับกำลังนึกเรื่องตลกอยู่ในใจ
“ยิ้มอะไร”
“ขำ” เสียงทุ้มตอบกลับเพียงสั้น ๆ ยิ่งทำให้ฉันสงสัยหนักเข้าไปอีก
“ขำอะไร” สติไม่ดีเข้าไปทุกวันแล้ว อยู่ดี ๆ ก็มาบอกว่าขำใส่คนอื่น
“หน้า” คำตอบที่ออกมาจากปากผู้ชายตรงหน้าทำเอาฉันหน้าชาไปชั่วขณะ ไอ้บ้านี่...
“ปากหมา”
“หึ...” แทนที่จะโกรธที่ถูกฉันด่า กลับกันดันหัวเราะออกมาซะอย่างนั้น
“ไม่คืนดีกับแฟนหน่อยเหรอ สงสารน้องเขานะ” จะว่าไปแอสตันกับของขวัญก็ดูเหมาะสมกันดีนะ พวกไม่ปกติดูเข้ากันมาก ๆ
“สงสารตัวเองก่อนเถอะ” พูดจบก็หันหลังเดินหนีไปซะดื้อ ๆ พูดแล้วเดินหนีทิ้งให้ฉันคิดเองแบบนี้เหรอ ใครมันจะไปเข้าใจ!
“ทำไม พูดแล้วเดินหนีไม่มีมารยาท” เสียงแหลมเล็กพูดอย่างไม่ยอม สองเท้าก้าวเดินตามแอสตันไปติด ๆ
“....” อีกฝ่ายไม่ตอบโต้ขายาวก้าวในความเร็วปกติ เดินผ่านพนักงานของเขาที่มองมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น พึ่งเป็นแค่นักศึกษาแท้ ๆ แต่เป็นเจ้าของผับตั้ง 3แห่ง ทำตัวเหมือนพวกมาเฟียมีอิทธิพลไม่มีผิด
ออ...ลืมไปเลยว่าเขานามสกุลอะไร ‘พงศ์สานุกรณ์’ บริษัทส่งออกอาหารอันดับ 1 ของเอเชียเชียวนะ
ปึง! กริ้ก!
ฉันเดินตามเขามาจนกระทั่งเข้ามาในห้องห้องหนึ่ง ถือวิสาสะไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายอนุญาต พาตัวเองเข้ามาอยู่ในห้องด้วยอีกคนพร้อมดันประตูปิดให้ และเสียงล็อกกลอนที่ดังตามหลังมานั้นทำให้ฉันรับรู้ได้ว่าประตูเป็นระบบล็อกอัตโนมัติ
“ไม่มีหูหรือไง” ร่างบางหยุดยืนหน้าประตู จ้องมองร่างสูงที่ทำเหมือนฉันเป็นอากาศ แอสตันหันกลับมาประจันหน้ายืนพิงขอบโต๊ะทำงาน สายตาของเรามองกันอย่างไม่มีใครยอมใครและไม่มีใครหลบสายตาด้วย
“ยังไม่ได้เชิญเข้ามาทำไม บ้านไม่สอนมารยาท” ต่างฝ่ายต่างไม่มีมารยาท ถ้าฉันด่าเขาแล้วไม่สะเทือนคำด่าจากอีกฝ่ายก็ไม่สะเทือนเหมือนกัน
“ทำไมจะเข้าไม่ได้ ก็เป็นแฟนกันนี่” ริมฝีปากยกยิ้มบาง ๆ หลังพูดจบ พอแอสตันได้ยินคำพูดของฉันสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เมื่อกี้ยังทำหน้ากวนประสาทอยู่เลยตอนนี้หน้าบึ้งซะแล้ว...สนุกดีแฮะ
“....”
“แล้วแฟนเก่ามาหาถึงที่เลยเหรอ แอบมาหากันเหรอแบบนี้ต้องเหมาทุกคืนเลยมั้ยนะ อืม...แต่พวกมักมากมันก็หาที่สมสู่กันได้อยู่ดี” มือเล็กยกขึ้นจับปลายคางใช้ปลายนิ้วถูไถเบา ๆ กลอกสายตาไปมาอย่างใช้หัวคิด
“....”
“ถ้าพูดไปคนในมหาลัยจะคิดยังไงนะ คุณแอสตันนอกใจแฟนไปกินรุ่นน้องในมอทั้งที่บอกคนอื่นว่าเลิกยุ่งไปแล้ว...อืม ทำตัวเป็นหมาไปได้กินไม่เลือกที่ ไม่เลือกคน”
“....” นัยน์ตาคมจ้องมองมายังฉันไม่ละสายตา ในขณะที่กำลังก้าวเดินตรงเข้าไปหยุดยืนตรงหน้า
“เสียแย่เลย ถ้าข่าวออกไปข้างนอกเสียไปถึงนามสกุลแน่ ๆ พงศ์สานุกรณ์ไม่ได้ไก่กาซะด้วยสิ” ฉันพูดเรื่องจริงทั้งนั้น แม้ว่าจะยังไม่ได้เข้าไปทำงานของที่บ้านเต็มตัว แต่มั่นใจได้เลยว่ายังไงสังคมก็จับตามองพวกเขาอยู่ไม่น้อยหรอก
“เหมาร้านเพื่อมาหาเรื่อง?” แอสตันยังอยู่ในท่าเดิม คำถามที่ย้อนกลับมานั้นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเป็นปกติ ท่าทีไม่สะทกสะท้านกับคำพูดของฉันแม้แต่นิดเดียว
“อย่าเอานิสัยตัวเองมายัดเยียดให้คนอื่น ใครเริ่มก่อนแล้วเหมาร้านเพราะอยากมาอยู่กับแฟนแต่บังเอิ๊ญ บังเอิญมาก มาเจอแฟนติดสัตว์พอดีเลย แฟนเก่ามาหาถึงที่ นัดมาเหรอไม่คิดว่าฉันจะมาจริง ๆ” หรือความจริงเขานัดยัยของขวัญเพราะไม่เชื่อล่ะสิว่าฉันมาแน่ ๆ แล้วที่เลือกมาร้านนี้แทนที่จะไปอีก 2 แห่งซึ่งฉันก็เหมาไว้เช่นกัน เพราะแอสตันมาที่นี่ตลอด
“หึงบอกหึงไม่ต้องหาเรื่องทะเลาะ” เขาเริ่มขยับตัวเปลี่ยนท่าเล็กน้อย
ร่างสูงยกสะโพกขึ้นนั่งกับขอบโต๊ะอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งยืน มือข้างหนึ่งวางค้ำลงกับโต๊ะมืออีกข้างล้วงเข้าในกระเป๋ากางเกง ล้วงหยิบเอาโทรศัพท์ออกมาวางลงบนโต๊ะ ท่าทีการวางตัวสบาย ๆ นั่นไม่ได้ทำให้ฉันรู้สนใจขึ้นมาได้
“มั้ง หงุดหงิดจริง...” คำตอบของฉันไร้อารมณ์แต่ประโยคหลังเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ยกแขนขึ้นกอดอกหันมองไปทางอื่นอย่างพยายามข่มอารมณ์ตัวเอง
หน้าฉันบ่งบอกว่าหึงเขามากสินะ เอาสมองซีกไหนคิดไม่ทราบ!
“ให้จูบง้อมั้ยจะได้อารมณ์ดี” เสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยพูดคำนั้นออกมาทำเอาหันขวับไปมอง พูดคำว่า ‘จูบ’ ออกมาสองรอบแล้วนะ
“....” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ขนลุกเป็นบ้าเลยพูดอะไรออกมา!
“หึ!” แอสตันยิ้มมุมปาก กลั้นเสียงหัวเราะไว้ในลำคอกับท่าทีตกใจของคนตรงหน้า ออ...เข้าใจแล้ว ไม่ได้จะจูบจริง แต่ปั่นประสาทกันให้ฉันกลัวในตัวเขา
“ตอนอยู่ข้างนอกเมื่อกี้ก็พูดว่าจะจูบนี่เนอะ...เอาสิ” สิ้นเสียงคำท้าทายรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อได้หายไป ในขณะเดียวกันฉันกลับเดินเข้าไปหาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาอยู่ในระยะประชิด